บทที่21: อาณาจักรแห่งเอลฟ์
ไกลออกไปจากคณะเดินทาง ในสถานที่แห่งหนึ่งที่หนาวเหน็บตลอดปี....
“ฮิฮิ... มาถึงที่ได้นะเจ้าพวกมนุษย์ ความพยายามไม่เลวเลยนิ ” เสียงหวานๆเสียงหนึ่งดังขึ้น
ท่ามกลางสายลมอันหนาวเหน็บในถ้ำน้ำแข็ง อสูรสาวตนหนึ่งยืนประจันหน้ากับมนุษย์สองคน แสงจากผลึกน้ำแข็งส่องสว่างไปทั่วถ้ำ
ผู้ที่มาเยือนนั้นคือเบลดมาสเตอร์และวอลอค ไซเฟอร์และเรน่านั่นเอง...
“กำจัดพวกมัน!!”
บรรดาอสูรโดยรอบ เมื่อได้ยินคำบัญชาแห่งไอซ์ซี่ นางพญาน้ำแข็งต่างก็วิ่งเข้ามาหมายจะฆ่าผู้ที่บุกรุกถิ่นแดนของมัน
เรน่าเปิดตาขึ้น อัญมณีบนยอดไม้เท้าของเธอเรืองแสงสว่างไปทั่วถ้ำ
“คำสาปแห่งอาทรัม!!”
เหล่าสัตว์อสูรต่างแปลกใจเมื่อโดนเวทมนต์มารเข้าไปแต่กลับไม่ได้รับบาดเจ็บ
ไซเฟอร์พุ่งเข้าไปกลางวง ชายผ้าคลุมของเขาสะบัดอย่างรุนแรงด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
“ดาบพิโรธ!!”
เขาเงื้อดาบเล่มใหญ่ที่มีน้ำแข็งเกาะขึ้น ก่อนจะปักลงบนศีรษะโพล่าแบร์เต็มแรง!!แรงปะทะจากดาบส่งผลให้กะโหลกของโพล่าแบร์แตกกระจาย
โลหิตสีแดงไหลลงมาเป็นสายพร้อมรัศมีเปลวเพลิงพวยพุ่งออกไปเป็นวงแหวน เผาผลาญบรรดาอสูรให้เป็นเถ้าผงธุลี
“แฮ่... กรร...”
โพล่าแบร์และวินโดเนียฮัสกี้ที่ยังไม่สิ้นใจบางตัวลุกขึ้นมาสู้ต่อหนึ่งในนั้นพุ่งเข้ามาพร้อมกับเงื้อกรงเล็บหมายจะตะปบเรน่า!!
ฟู่ว...!!
สายพลังสีดำพุ่งเข้าเสียบร่างอสูรที่ยังเหลือรอดจากไม้ตายมังกรพิโรธ สร้างบาดแผลเป็นทวีคูณ
เลือดสีแดงฉานไหลนองทั่วบริเวณ อสูรทั้งหมดขาดใจตาย ผลจากคำสาปแห่งอาทรัมนั่นเอง...
นางพญาน้ำแข็งถึงกับผงะไปชั่วครู่ ดวงตาสีฟ้าใสเบิกกว้าง
“ฝีมือไม่ธรรมดานิ... สายลมแห่งเหมันต์!!”
สายลมเยือกแข็งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เรน่าวาดไม้เท้าเป็นวงกลม ม่านพลังถูกเสกขึ้นมาป้องกันทั้งสอง!!
ฟิ้ว~!!
ทันทีที่สายลมแช่แข็งปะทะกับม่านพลัง มันก็กระจายเป็นริ้วๆก่อนจะสลายไปอย่างง่ายดาย
“ไม่... ไม่จริง... ข้าไม่เชื่อ!!เหล่าอัศวินน้ำแข็ง วิญญาณทาสรับใช้ผู้ซื่อสัตย์!! ฆ่ามันให้หมด ”
อัศวินน้ำแข็งนับสิบตนพุ่งเข้าหาไซเฟอร์ มันมีร่างกายที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า หากแต่ไร้จิตใจ
ฉัวะ!!
ไซเฟอร์ถูกฟันเข้าที่ลำตัว เขากระเด็นออกไปก่อนจะค่อยๆลุกขึ้นมาตั้งหลัก
เหล่าอัศวินน้ำแข็งยกดาบขึ้นเตรียมพิฆาตเป้าหมาย นัยน์ตาของพวกมันเรืองแสงขึ้นพร้อมกัน
อัศวินตนหนึ่งพุ่งเข้ามาก่อนจะฟาดดาบลงที่คอของไซเฟอร์!!!
กึก...
การเคลื่อนไหวของมันหยุดลง ไซเฟอร์เงยหน้าขึ้น ปลายดาบอยู่ห่างจากคอของเขาเพียงลมหายใจเดียว
เพล้ง!!
อัศวินน้ำแข็งทั้งหมดแตกสลายเป็นเศษซาก พร้อมกับไอซ์ซี่ที่คุกเข่ากุมขมับอย่างทุรนทุราย
“สาปให้คลั่งยังไงล่ะ.... เมื่อขาดจิตที่ควบคุม อัศวินพวกนั่นก็จะสลายไป… แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้เป้าหมายมีพละกำลังเพิ่มขึ้นด้วย...”
เรน่าเอ่ยขึ้นเพื่อไขข้องใจของไซเฟอร์ พร้อมกับก้าวเข้าไปใกล้ไอซ์ซี่เรื่อยๆ
ผัวะ!!
“เจ้า... บังอาจนัก!!” ไอซ์ซี่หวดฝ่ามือเข้าที่ท้องของเรน่าอย่างแรง สีหน้าของวอลอคหญิงซีดลงทันที
ส่งร่างบอบบางกระเด็นไปกระแทกกับเสาน้ำแข็ง ก่อนจะไถลลงไปนอนแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
“เรน่า!!” ไซเฟอร์ตะโกนขึ้นอย่างตกใจ ก่อนจะพุ่งเข้าหาไอซ์ซี่ด้วยแววตาเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่ง
“ตวัดดาบทำลาย!!”ไซเฟอร์ใช้ดาบของตนตวัดใส่จนไอซ์ซี่ล้มลงคุกเข่า เขาเงื้อดาบขึ้นสุดแขนก่อนจะพลิกตัวฟาดดาบซ้ำที่แผ่นหลัง
“อึก....” โลหิตของนางพญาน้ำแข็งไหลนองเต็มพื้น ย้อมพื้นน้ำแข็งจากสีฟ้าใสให้กลายเป็นสีแดงฉาน
พลั่ก!!!
ไซเฟอร์หมุนดาบเสยไอซ์ซี่ขึ้นมาอย่างไม่ปรานี ไอซ์ซี่หงายหลังล้มลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“เจ้า... พวกเจ้ามาที่นี่... เพื่ออะไรกันแน่... รึว่า...” ไอซ์ซี่ถามขึ้น พร้อมกับลิ่มเลือดที่ไหลนองจากปากเพราะการโจมตีเมื่อครู่
“ข้ามาเพื่อค้นหาสิ่งๆหนึ่ง ที่เจ้าปกป้องมันมากว่าหกร้อยปี... ส่งมันมาซะ!!!”
“ข้ายอมตายดีกว่าจะยกมันให้เจ้า” ไอซ์ซี่พูดด้วยแววตากร้าวแกร่งพร้อมสบตากับไซเฟอร์ สายตาของเขาดูชั่วร้ายยิ่งกว่าสิ่งใด
ฉึก!!
ไซเฟอร์ปักดาบลงบนอกของไอซ์ซี่ เสียงร้องเฮือกสุดท้ายถูกปลดปล่อยพร้อมเลือดสีแดงที่สาดกระเซ็น
ไอซ์ซี่แอ่นตัวอย่างเจ็บปวด แววตาสุดท้ายของนางพญาน้ำแข็งมองชายหนุ่มอย่างอาฆาตแค้นก่อนจะล้มตัวลงไปกับพื้นน้ำแข็ง
ไซเฟอร์ก้มลงก่อนจะกระชากสร้อยของไอซ์ซี่ออกมา สายพลังสีฟ้าหมุนเป็นเกลียวเข้าไปในอัญมณีบนสร้อยเส้นนั้น…
“ใกล้เข้าไปอีกก้าวแล้วสินะ... วันที่ท่านจะได้คืนชีพ... องค์อาทรัม...”
เสียงแผ่วเบาของเรน่าดังขึ้น พร้อมกับเรน่าที่ใช้ไม้เท้าพยุงตนเองเดินเข้ามา เธอเสกลูกแก้วขึ้นมา
ในนั้นเผยให้เห็นภาพคณะเดินทางของบาสที่กำลังยืนอยู่ ณ ทางเข้าป่าแกรนด์ ฟอร์เรสต์
“เราคงจะต้องรีบหน่อยซะแล้ว... เพื่อการคืนชีพที่สมบูรณ์แบบของเทพผู้ที่จะลิขิตชะตาของมวลมนุษย์ อาทรัม...”
ไซเฟอร์เอ่ย แววตาของเขาสีแดงฉายแววอำมหิตเกินกว่ามนุษย์ทั่วไป...
แกร๊ป... ซวบ... เสียงฝีเท้าของบุคคลทั้งหกย่ำลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยพรรณไม้ แสงอาทิตย์ส่องทะลุยอดไม้ลงมาเพียงน้อยนิด
“จะถึงรึยังฟะ หมู่บ้านของพวกเอลฟ์เนี่ย เดินมาหลายชั่วโมงแล้วนะ หนาวก็หนาว” เสียงของพี่แมวบ่นขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศยามเย็นบนผืนป่า
“ข้าว่า... อีกไม่นานหรอก.. โอ๊ะ!!” เพน วิซาร์ดหนุ่มผู้ชำนาญทางพูดขึ้น ก่อนจะชะงักที่หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“อะไร??” ไฮค์เอ่ยปากถามพร้อมเดินเข้ามาสมทบ เบื้องหน้าของเพนคือต้นไม้ต้นหนึ่ง ที่เปลือกไม้มีรอยบากที่เกิดจากกริชของเพน
“พวกเราเดินผ่านที่นี่มาแล้ว.... เป็นไปได้ยังไง” เพนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แสดงความกังวล
“บาส... พิ้งว่าที่นี่มันแปลกๆนะ...” พิ้งเริ่มหวาดกลัวบรรยากาศโดยรอบที่กำลังมืดลงเรื่อยๆ เธอขยับเข้ามาชิดกับบาสและแนน
“ว้าว... สวยจัง.. ดูนั่นสิ” แนนชี้มือไปที่สิ่งๆหนึ่ง พร้อมกับทุกสายตาที่หันไปมอง หิ่งห้อยนั่นเอง
พวกมันเกาะกลุ่มกระพริบแสงแวววาวอยู่ตามยอดไม้แทบทุกต้น ที่น่าประหลาดคือต้นไม้บางต้นกลับไม่มีหิ่งห้อยเลย
หนึ่งในนั้นคือต้นที่เพนทำสัญลักษณ์ไว้...... เพนพิจารณาต้นไม้ต้นนั้นอยู่นาน ก่อนจะเอากริชปักลงไปเต็มแรง!!!!
ฟุ่บ!! พลั่ก!!!
กิ่งไม้แขนงใหญ่ฟาดลงมาอย่างแรง ส่งร่างชายหนุ่มกระเด็นไปกระแทกกับโขดหิน
“อะไรกัน!!” บาสตะโกนขึ้นอย่างแปลกใจ พร้อมกับไฮค์ที่ยกดาบขึ้นมาเตรียมพร้อม
“แม่ว่ามันเริ่มจะไม่ดีแล้วนะ...” แนนพูดขึ้นพร้อมลากทุกคนออกมาอย่างช้าๆ สิ่งที่เคยคิดว่าเป็นต้นไม้ในขณะนี้กลับลุกขึ้นมายืนด้วยสองขา
มันเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ที่มีร่างกายคล้ายกับต้นไม้ มอสและเฟิร์นปกคลุมทั่วตัวของมันจนดูไม่ออกว่าเป็นตัวอะไรกันแน่
“เฮ้ย!! ในป่ามันมีของอย่างงี้ด้วยเรอะ?!” แอสแซสซินหนุ่มพูดขึ้น แสงยามโพล้เพล้กระทบกับมีดที่เขาถืออยู่
“แรงเยอะเป็นบ้า เล่นซะมึนหัวแทบตาย ไอสัตว์อสูรชั้นต่ำเอ้ย!!” เพนพูดอย่างมึนๆ พร้อมเดินเข้ามาหาทุกคนก่อนจะพิงลงที่ต้นไม้ต้นหนึ่ง
ฟุ่บ!! ฉึก!!
ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งออกมาจากความมืด ปักเข้าที่ต้นไม้ที่เพนพิงอยู่ ห่างจากศีรษะของเขาเพียงนิดเดียว!!
“กริ๊ด~!!” พิ้งกรีดร้องอย่างตกใจ เพราะมีบางสิ่งกระโดดลงมาจากต้นไม้มาอยู่ข้างๆเธอ
“พวกเจ้าเข้ามาที่นี่ทำไมกัน รู้หรือไม่ว่าการบุกรุกเขตของพวกเรามีโทษถึงตาย!!” เจ้าของเสียงคือเอลฟ์หนุ่มที่แผลงศรใส่เพนเมื่อครู่
“พวกข้ามาเพื่อขอความช่วยเหลือจากพวกท่าน โปรดพาพวกเราไปหาประมุขของท่านด้วยเถิด”
“ความช่วยเหลือ?!” เอลฟ์หนุ่มทวนคำอย่างแปลกใจ
“คำทำนายเมื่อหกร้อยปีก่อนกำลังจะเกิดขึ้น ก่อนถึงเวลานั้น พวกข้า...” แนนเริ่มเล่าเหตุการณ์ ก่อนจะโดนเอลฟ์แปลกหน้ายกมือขึ้นห้ามปราม
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าคงเป็นคนที่ท่านราชินีได้มองเห็นผ่านบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ตามข้ามาละกัน...” เขาพูดขึ้นก่อนจะเดินนำทางไป
“นี่.. ยืนบื้ออยู่ทำไม รีบเดินมาสิ ก่อนที่จะมืดค่ำ” เอลฟ์หันมาหาคณะเดินทาง ก่อนจะเดินนำไปต่อพร้อมกับทุกคนที่เดินตามมา
“นี่ๆๆ คุณเอลฟ์ ไอตัวบ้ามะกี้มันคือตัวอะไรหรอ?” แมวเป็นคนแรกที่เริ่มชวนเอลฟ์หนุ่มสนทนา หลังจากที่เริ่มเดินมาได้สักพัก
“มันคือผู้พิทักษ์แห่งอีเดน เจ้านั่นทำหน้าที่เฝ้าป่านี้มานานแล้ว แล้วก็ข้าชื่อว่าอิลราเรียส อย่ามาเรียกว่าเอลฟ์”
“แล้วทำไม... พวกเราถึงหลงทางในป่านี้ล่ะ ทั้งๆที่มันเคยถูกสำรวจจนระบุเส้นทางได้หมดแล้วนิ อีกนานมั้ยกว่าจะถึง”
“ป่านี้ถูกร่ายเวทย์ให้เผ่าพันธุ์อื่นเดินเข้ามาได้แค่ครึ่งเดียวเท่านั้น หากไม่มีเอลฟ์นำทาง จะล่วงล้ำเข้ามาไม่ได้
มหาสงครามเมื่อหกร้อยปีก่อนทำให้พวกเราต้องมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่.... อีกไม่นานก็จะถึงแล้ว” อิลราเรียสเอ่ยขึ้น
แสงสว่างสีเขียวฉายทั่วป่าในบริเวณนี้ ขับไล่ความมืดมิดให้ถอยร่นไป เบื้องหน้าของคณะเดินทางคือเมืองของเผ่าเอลฟ์
บ้านทุกหลังล้วนแต่อยู่บนต้นไม้ใหญ่ เมืองทั้งเมืองล้วนเป็นต้นไม้ขนาดยักษ์ โคมไฟสีเขียวสวยงามต่างถูกประดับไว้ที่ทุกประตูบ้าน
ใจกลางของต้นไม้ทุกต้น คือต้นไม้ขนาดใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมแทบทั้งเมืองไว้ ด้านบนเป็นพระราชวังของราชินีแห่งป่า
แม้ระยะไกลจะเห็นเป็นเพียงแสงสีทองเรืองรองบนยอดไม้ แต่ทุกคนก็สัมผัสได้ถึงความงดงามวิจิตรของสถานที่แห่งนั้น….