บทที่ 29:
ฉึก!!
หมาป่าแดนหิมะตัวสุดท้ายถูกดาบเล่มใหญ่สับลงกลางตัว พร้อมกับร่างที่ทรุดลงของชายหนุ่มในชุดเบลดมาสเตอร์
หยาดเหงื่อซึมจากถุงมือสีเข้มสู่ด้ามดาบที่พันไว้ด้วยผ้า เขาทิ้งดาบลงพลางพยุงวิซาร์ดผู้หนึ่งขึ้นมาในอ้อมแขน
แสงจากท้องนภาแห่งเหมันต์ฤดูสีแดงหม่นส่องลงมากระทบบาดแผลฉกรรจ์บนเรือนร่างที่แสนบอบบาง
รอยอนุสรณ์ จากการโจมตีของกลุ่มหมาป่าเมื่อครู่... โลหิตสีคล้ำย้อมหิมะโดยรอบให้กลายเป็นสีแดงอ่อน
“หลิน เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ!!” เบลดมาสเตอร์หนุ่มร้องคร่ำครวญพลางปาดเลือดออกจากรอบบาดแผลของวิซาร์ดหญิง
เหมือนว่าเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายจะโดนจุดสำคัญหลายจุด ยิ่งพยายามห้ามเลือดก็ยิ่งทำให้บาดแผลช้ำหนักขึ้น
“ไซเฟอร์.. ท่านต้อง.. ดูแล...” เสียงของนางสิ้นลงพร้อมกับลมหิมะกรรโชกแรงพุ่งผ่านผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม
แขนที่ซีดราวกับหิมะห้อยลงจากห่อผ้าที่นางพยายามปกป้องมานาน ในนั้นมีทารกหญิงนอนคู้ตัวราวกับไม่ทราบถึงความเป็นไปรอบตัว
“แม้แต่ชื่อของลูก เจ้ายังไม่ทิ้งไว้ให้ข้า เวลาของเราจะจบลงแค่นี้หรือ.. โชคชะตาเล่นตลกเสียจริง!!” นักดาบหนุ่มตะโกนด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา
พลางโยนดาบลงปักกองหิมะที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยในห่อผ้าเริ่มร้องงอแงเพราะขาดไออุ่นจากแม่
“ชะรอยชาติที่แล้วเราคงทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้...” ไซเฟอร์รำพึงเบาๆพลางอุ้มทารกตัวน้อยขึ้นมา เสียงร้องแทบจะหยุดลงไปในทันที
เขาหันไปมองหิมะสีแดงอ่อนจนแทบจะเป็นสีชมพู สายตาพินิจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาพูดเบาๆกับเด็กน้อย“ข้าจะให้เจ้า ชื่อว่า พิ้ง ละกัน...”
ปึ้ก!!!! พลั่กๆๆๆ
เสียงของวัตถุหนักๆกลุ่มหนึ่งตกลงมาแทนเสียงเรียกปลุกของใครซักคน เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นด้วยสีหน้างงๆว่าตนอยู่ที่ไหน
“เอ้า ลูก ทำไมหน้าซีดงั้นล่ะ?” ซิสเตอร์แนนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พิ้งยังคงยืนเกาะขอบระเบียงพลางนึกถึงความฝันเมื่อครู่
“เห้ ตื่นสายเดี๋ยวข้าวเช้าก็หมดก่อนซะหรอก พี่ยิ่งหิวๆอยู่นา” ชายในร่างแอสแซสซินท่าทางอารมณ์ดีกระโดดลงมาจากชั้นหนังสือ
ท่าทางกลุ่มพายุหนังสือเมื่อครู่คงจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือแมวดำในร่างมนุษย์ตัวนี้นี่เอง
“โหยยยย ไข่ดาวภาษาไรเนี่ย มันยิ่งกว่าพื้นรองเท้าอีกมั้ง??” ไฮค์ตะโกนลั่นห้องครัว ส้อมที่ไฮค์ใช้จิ้มไข่ดาวชิ้นนั้นงอเพราะถูกกดติดกับจาน
“อะไรนะ?!” บาสโมโหพลางกระโดดเหยงๆ “ผมไม่ได้คิดจะเป็นพ่อครัวซะหน่อย ทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว”
“ชั้นว่ามันเหมือนพื้นรองเท้าจริงๆล่ะบาส แห้งแบนๆกรอบจนเหนียว ขอเบียร์หน่อยได้มั้ย?” พาลาดินหนุ่มเรียกร้องหาน้ำประทังชีวิต
“ว่าแต่ ได้ข่าวคราวของรอสกับเชสบ้างมั้ย นักล่าสมบัติกับทหารของทางการที่ไปสำรวจวิหารจตุรกรอ่ะ”
เพนเงยหน้าขึ้นจากจานพร้อมวางช้อนส้อม ความสนใจของเขาเริ่มต้นจากคำว่าวิหารจตุรกร “ยังไม่กลับมาเลยนิ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ”
“รอสเป็นสุดยอดนักล่าสมบัติ ส่วนเชสก็เป็นยอดฝีมือผู้นำการบุกจู่โจม พวกเค้าคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
บาสเอ่ยอย่างใจเย็น พลางเงยหน้ามองพิ้งที่กำลังค่อยๆฉีกไข่ดาวออกเป็นส่วนๆ
“อย่าใช้ภาพพจน์ตอนอยู่กับกองทัพเป็นมาตราฐานสิลูก” แนนเตือนอย่างใจดี อีกมือแอบเอาไข่ดาวลงไปใต้โต๊ะ มัดจังค่อยๆคาบไปกิน
มันกัดเข้าไปได้คำเดียวก่อนจะเมินอย่างไร้เยื่อไย “ไข่ดาวกำลังจะกลายเป็นพื้นรองเท้าอีกแล้วนะลูก”
ว่าแล้วบาสก็รีบตักไข่ดาวที่ไหม้เกรียมใส่จานด้วยท่าทีร้อนรน
ชายหนุ่มแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์อันร้อนแรง ถือถุงอาหารขนาดใหญ่หลายถุง
“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทำไมมันร้อนงี้ฟะ” แมวหันไปบ่นกับเด็กหนุ่มข้างตัวที่เดินตัวปลิวตามมาเรื่อยๆ
แอสแซสซินหนุ่มออกแรงแทบหมดตัว ยัดถุงอาหารไปไว้บนหลังม้าสีน้ำตาลตัวเขื่อง ไม่นานสงสัยเขาต้องขอให้เพนเสกช้างมาขนอาหาร....
“เอ้า พ่อหนุ่ม บ้านเธอมีงานเลี้ยงหรือ ถึงซื้อเยอะขนาดนี้?” อาแป๊ะขายผลไม้ร้องทักทายเขา
“เทศกาลขอบคุณพระเจ้าพึ่งผ่านไปไม่ใช่รึไง หรือว่าวันเกิดใครหนอ?”
แมวไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้ารีบจูงม้ากลับไปที่โรงแรม บาสกระโดดขึ้นไปบนกองเสบียงบนหลังม้า การคุมม้าไม่ให้เดินเฉนั้นไม่ง่ายเลย
แต่การทำให้ม้าดินไม่กลับไปเป็นธุลีธาตุมันยากยิ่งกว่า...
คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอคนคุ้นเคยที่หน้าประตูโรงแรม? ชายทั้งสองหยุดมองผู้มาเยือน
“เฮ้ หวัดดีสหาย~!” ไรอัน ทหารยามซึ่งมีหน้าที่เฝ้าบ้านที่มีขนาดใกล้เคียงกับพระราชวังของเซอร์อเล็กซ์เอ่ยทัก
“ไรอัน? ท่านมาได้ไงนี่ มีธุระอะไรหรอ?” บาสกระโจนลงมาจากหลังม้าพลางค่อยๆดึงถุงอาหารลงมา
ฟุ่บ!
ม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งพุ่งออกมาจากมือของไรอันที่ขยับเพียงเล็กน้อย แมวคว้ามันไว้ก่อนที่มันจะชนจมูกของเด็กหนุ่ม
“อ่านซ้า~ บะบาย” ว่าแล้วไรอันก็เดินออกนอกกำแพงเมืองไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ทั้งสองยืนงง
เวลาผ่านไปซักพักบาสจึงได้สติ ก่อนจะลากถุงอาหารเข้าไปในห้องของตน
....ด้านนอกกำแพงเมืองเซาท์เทิร์นฟอร์ทบังเกิดลมหมุนสีทมิฬขนาดใหญ่
ร่างจำแลงของพันตรีไรอันสลายไป พร้อมด้วยร่างของหญิงในชุดคลุมสีดำสนิทมาแทนที่
นางยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นเส้นไหมสีดำสนิทกระจายไปในอากาศธาตุ
ปึ้ง!!
ถุงอาหารจำนวนมากถูกวางลงบนพื้นห้อง พร้อมกับฮอล์ลอฟที่ตบโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกึ่งโกรธเคือง
“ให้มันได้งี้ดิหลานรัก .. แกซื้อโซดามา แต่.... แกลืมซื้อเบียร์มาให้ช้านนนนนนนนน”
“เอ่อ.. ร้านเหล้าไม่ขายเบียร์ให้กับเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปด และไม่จำหน่ายในช่วยเทศกาลครับผม” บาสพูดเสียงเรียบ พลางจัดของลงไปในเป้ใบใหญ่
คิ้วของเพนถูกกระตุกมาชนกัน ดูท่าเนื้อหาของจดหมายที่เขาอ่านอยู่ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องที่ดีซักเท่าไร...
“จะบ้าตาย รอสกับเชส หายสาปสูญไปในวิหารจตุรกร ทางเข้าถูกปิดตาย หินถล่มลงมาแบบนี้ คาดว่าจะถูกทำลายทั้งวิหาร”
“ยังต้องรออะไรอีกมั้ย?” ฮอล์ลอฟพูดพลางคว้าหอกด้ามยาวของตนขึ้นมาควง สายตาเหลือบไปเห็นใบหอกที่สูญหายไปอย่างไร้ร่อยรอย
“หอกชั้น เกิดอะไรขึ้นกับม๊านนน” ฮอล์ลอฟที่พึ่งจะทำมาดเท่มาหยกๆเกิดอาการกระตุกเมื่อหาใบหอกของตนไม่เจอ
บาสหน้าซีดพร้อมกระตุกมือคว้ากระทะเหล็กไปซ่อนไว้ที่หลังเป้
“ก็ เมื่อเช้าบาสมันจะทำอาหารให้กิน แต่กระทะโดนใครเอาไปวางไว้ไหนไม่รู้ ข้าก็เลยลองวิชาเล็กน้อย”
เพนขำอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับวาดวงเวทย์ในอากาศ ฮอล์ลอฟวิ่งไปทั่วห้องเพื่อหากระทะที่หลอมจากใบหอกของเขา
ทุกอย่างยังดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่น้อย ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
สายลมอ่อนๆพัดผ่านผ้าม่านพร้อมกับผีเสื้อสีดำที่เกาะริมหน้าต่างมานานบินหายไปในแสงของดวงอาทิตย์ยามเช้า
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ฮอล์ลอฟนำทางทุกคนฝ่าทะเลทรายเข้าไปบริเวณซากอารยธรรมเก่าแก่ของชนเผ่าอสุรา
และแล้วก็ถึงเวลาพักหลังจากเดินทางมานานแสนนาน...
บาสแสนจะปลื้มใจเมื่อเห็นทุกคนยอมให้เขาทำอาหารแก้ตัวอีกมื้อ แม้กระทั่งพิ้งที่นั่งนิ่งเงียบ... เงียบเกินไปจนเริ่มน่ากลัว
“กินข้าว!!” เด็กสาวคำรามเสียงโหด มือคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเขา “กินข้าว! กินข้าว!! ชั้นอยากกินแกงกระต่ายป่า!!”
...กินข้าวก็กินข้าวสิแม่คู๊ณ ทำไมต้องทำเหมือนจะกินเนื้อคนด้วย...
“คุณไม่ได้บอกผมว่าจะกินแกงเนื้อ” เขาตอบตะกุกตะกัก “ผมลืมซื้อหอมใหญ่มา”
“ใส่กระเทียมแทนเซ่!! แง่งงง” จากสาวน้อยที่แสนน่ารัก แปรสภาพเป็นมือสังหารกระต่ายทันทีด้วยความหิว
ตุ๊บ ....
เจ้าตัวขาวปุกปุยชะตาขาดดันกระโดดออกมาซะงั้น... ให้ตายสิ โลกนี้ช่างโหดร้ายแท้...
ฉัวะ!!
กระต่ายน้อยที่ไม่ทันระวังตัวถูกคมดาบเฉือนผ่านแบบไม่ทันจะร้องซักแอะ พร้อมบริการตวัดปลายดาบส่งร่างของมันปลิ้วลิ่วขึ้นสูงเหนือหัว
เลือดสีแดงยังไม่ทันจะตกถึงพื้น แม่คุณใช้เท้าตวัดชามเหล็กไปรองเลือดมันซะก่อน...
พิ้งเชิดหน้าไม่มองชามใส่เลือดพลางแก้ตัวว่าไม่ได้กลัวเลือด แต่กำลังสะใจ นางมารชัดๆ...
...สงสัยจะต้องเอาหม้อขนาดต้มวัวได้มาใช้แล้ว บาสถึงกับหน้าซีด เขาหั่นผักอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลังหินก้อนใหญ่ที่ใช้ต่างห้องครัว
“แกงเนื้อกระต่าย! แกงเนื้อกระต่าย! แกงเนื้อกระต่าย!!!!” เสียงดังโครมใหญ่ปะทุขึ้น เด็กหนุ่มรีบชะโงกหัวข้ามก้อนหินไปดู
...หินแผ่นใหญ่ที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารร้าวเป็นรอย ชามของคนอื่นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ.... ที่น่าชื่นชมคือช้อนน้ำแกง อาวุธของสาวน้อยไม่บุบเบี้ยวเลย
แม้กระทั่งจานก็ยังไม่เสียหาย
“มองอะไร!!” พิ้งระเบิดโทสะอย่างยากที่จะพบเห็น “ชั้นอยากกินข้าว!”
เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปเร่งไฟต้มน้ำให้เดือดโดยไว เขาคงไม่อยากเป็นแบบโต๊ะหินตัวนั้น แม้เพนจะซ่อมแซมจานชามทุกใบด้วยเวทย์มนต์แล้ว
...ชะรอยจอมอสูรจะเข้าครอบงำเด็กสาวที่แสนน่ารักซะแล้ว กระต่ายเป็นๆยังเชือดได้หน้าตาเฉย....
ทันทีที่อาหารถูกวางลงบนแผ่นหิน ทั้งข้าวและแกงกระต่ายหายวับไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ...
ฮอล์ลอฟมองอย่างตกตะลึง แม่คุณกินอีท่าไหนนะนั่น ขนาดช้อนยังไม่เปราะน้ำต้มเนื้อ แม้มัดจังจะอยู่กับพิ้งมานาน แต่มันก็ยังผงะ
“บาส กินเถอะลูก” แนนกระซิบเบาๆ
“กิน?” บาสที่กำลังตะลึง เหม่อถามอย่างงงๆ “ผมดูพิ้งกินจนท้องจะแตกตายแทนแล้ว”
ในที่สุด อย่างที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อารมณ์ของสาวน้อยก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนกระต่ายที่ถูกสังเวยไป
“พิ้งจ้า พิ้งกำลังกินจนลำไส้กระเพาะอาหาร ตลอดจนร่างกายกำลังจะพังพินาศนะจ้า ” แม้ไร้ประโยชน์เขาก็ต้องเตือนนาง
“บาสไม่รู้หรอ กินอิ่มแล้วจะอารมณ์ดี” ผิดคาด.. นางมารเมื่อครู่กลายเป็นนางฟ้าในฉับพลัน พิ้งคว้าน้ำส้มในเหยือกมาเท พลางยื่นให้เขาดื่ม
บาสส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างหมดแรง พิ้งจึงดื่มลงไปเอง.. สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวประหลาดๆ...
“ไม่ใช่งี้อ่า โอ๊ยยยยยย!! ชั้นอยากดื่มไวน์แดง!” พิ้งผลักเหยือกน้ำส้มคั้นสดๆออกไป “ของแบบนี้จะกินลงได้ไง ชั้นจะเอาไวน์ชั้นเยี่ยมปี1916!!”
มัดจังงับกระตุกแขนเสื้อของบาสที่ทรุดตัวลงกับพื้นเป็นเชิงว่าอย่าใส่ใจ เขาทำหน้างงๆพลางลูบหัวแมวตัวน้อย
“จากไม่อร่อยสุดๆ พัฒนาเป็นไม่อร่อยเฉยๆแล้วสินะ”
ฮอล์ลอฟที่เริ่มกินอิ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางตั้งหน้าตั้งตาเตรียมของและอาวุธ ... ราวกับจะไปบุกเมืองทรอย ...
“จะไปตอนนี้เลยรึ วิหารจตุรกรน่ะ?”
เพนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ สัตว์ป่าในเวลากลางวันของที่นี่มันน่ากลัวกว่าตอนกลางคืนหลายเท่านัก ต่างกับที่อื่นๆซึ่งสัตว์ป่าจะหากินเวลากลางคืน
“บ้าดิ ชั้นแค่เตรียมของเฉยๆ หัวค่ำแล้วเราค่อยไปกัน จะทำไรก็ทำไป๊” หลังจากโดนฮอล์ลอฟแว้งกัด เพนก็พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเข้าใจ
เด็กหนุ่มเดินมานั่งบริเวณลานโล่งบนยอดเขา ...ไม่สิ กลางหุบเขาก็มีหน้าผ้าสูงเกือบครึ่งกิโลเมตรแล้ว ดูผิวเผินพิ้งอาจจะอารมณ์เสียง่าย
แต่ลึกๆนางเป็นคนนิสัยดีมาก ...มากพอที่จะมัดใจใครซักคนได้ง่ายๆ...
“บาส.. นายคิดว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับฉัน?”
เสียงของพิ้งดังขึ้นเบื้องหลังเด็กหนุ่ม เขาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ...
“มีอาหารกิน?”
พิ้งมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ จนบาสคิดว่าตัวเองตอบผิด... “มันก็ใช่ล่ะนะ มีครอบครัวที่ดี มีคนทำอาหารให้กิน ที่สำคัญ...แม่”
“แม่?”
“ใช่ แม่ของชั้นเสียไปตั้งแต่ชั้นยังเป็นทารกแดงๆ พ่อบอกว่าพ่อเดินฝ่าหิมะเป็นวันๆ กว่าจะพาชั้นกลับมาได้”
“แล้ว..ตอนนี้พ่อเธออยู่ไหนหรอ?” เด็กหนุ่มยิงคำถามไม่ถูกเวลา
“อิตาบ้านี่!! ไซเฟอร์ไงพ่อของชั้น นายไม่เคยจำอะไรเลยรึ?” ว่าแล้วเด็กสาวก็หันหลังกลับและออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ผิดอีกสินะ.. ชั้นผิด..” เสียงรำพึงเบาๆลอยไปตามสายลมที่พัดมาจากสถานที่บางแห่ง
กลิ่นของความเก่าแก่ กลิ่นอายของกระแสจิตชั่วร้ายเจืออยู่ในคลื่นลมที่พัดมา หากแต่ไม่มีใครรับรู้.....
“เฮ้.. ตื่น...” เสียงทุ้มต่ำของใครซักคนดังขึ้น พร้อมกับด้ามหอกกระทุ้งเข้าที่ร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น“ตื่นเว้ยยย ค่ำแล้ว”
...บรรยากาศยังคงเงียบสงบ ไร้ซึ่งสุ่มเสียง แม้แต่จิ้งหรีดก็ยังไม่คิดจะร้องซักแอะ...
ฮอล์ลอฟเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อสายตาทุกคู่ล้วนมองมาที่เขา.. แหงล่ะ ชายคนเดียวยังปลุกไม่ได้ ขี้เกียจแบกไปด้วยจริงๆ!
เขาวาดนิ้วเป็นยันต์จำลองบนหน้าผากของแมว มองซ้ายมองขวาหาอะไรซักอย่าง ก่อนจะคว้าหมวกเหล็กใบเก่ามาแปรเป็นกระดิ่ง
กริ้ง~
เป็นดังคาด.. พอสั่นกระดิ่ง แมวก็กระโดดผลุงขึ้นมา
เพนทนดูต่อไปไม่ไหว “ให้ข้าปลุกให้ละกัน! จับคนดีๆมาเป็นผีดิบ คิดได้ไง …. ลูกไฟเวทย์!!” ว่าแล้วศรอัคคีลูกจิ๋วก็พุ่งเข้าปะทะต้นแขนของแมว
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงพร้อมกับตื่นจากภวังค์
“อ๊ากก บ้าเอ้ย เสื้อเป็นรูเลย” ยังไม่ทันขยี้ตาก็โวยวายซะลั่นป่า เหล่านกกาที่พึ่งเข้ารังต่างกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง
“ชาวอสุรามีเวทย์มนต์งี้ด้วยเรอะ?” เดินทางพร้อมๆกับฟังฮอล์ลอฟเล่ามานานเพนก็เริ่มสงสัย
แหงล่ะ.. อะไรกันแม้กระทั่งเวทย์ที่ใช้เคลื่อนย้ายสถานที่ยังจะมี มันไม่ใช้จอมเวทย์เป็นร้อยเลยหรือ
“โห…” บาสตื่นตกใจ “ถ้าพวกนั้นคิดจะย้ายเมืองหนี เราไม่ตามหาจนแย่หรอกหรือ”
“อย่ากังวลไปเลย สมัยนี้จะเหลือชนเผ่าอสุราที่มีพลังเวทย์มากพอรึเปล่าเรายังไม่รู้เลย”
เฝ้าดูอย่างเย็นชาอยู่หลายนาที สุดท้ายไฮค์ก็ทำท่าจะพูด ... ถ้าไม่โดนใครขัดคอไว้ซะก่อน...
“ที่จริงนะ.. แกไม่ต้องคิดมากก็ได้” นินจาแมวดำเอ่ยเบาๆกับไฮค์ที่หันมาฟังเพราะนึกว่าจะให้คำปรึกษาในเรื่องไหนซักเรื่อง
“นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ชอบก็คือชอบ เพศมันไม่เกี่ยวซะหน่อย แกกับเพนน่ะนะ!!!” แมวดำหนุ่มพูดด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทพลางพิงต้นไม้
ฉับ!!!
ดาบใหญ่ของไฮค์เหวี่ยงลงกลางต้นไม้ข้างตัวแมว “วิปริต! เข้าใจว่าคนทั้งโลกเหมือนตัวเองเรอะ???” ไฮค์ค้อนไปหนึ่งวงก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาต่อ
“มันก็ยังไม่เท่าใครบางคนละมั้ง ที่เอาน้ำยาล้างห้องน้ำไปขัดดาบน่ะ?!” ว่าแล้วไฮค์ก็ทนมาถึงจุดสิ้นสุด โทสะบันดาลให้ร่างกายวิ่งไล่สับแมวนรก
“แก ต๊ายยยยยยยย!!!!”
“หนุ่มๆดูรื่นเริงกันจริงๆน้า” แนนชี้ให้พิ้งมองตามพลางหัวเราะอย่างร่าเริง อีกมือก็ร่ายเวทย์สนับสนุนพละกำลังให้ไฮค์ที่กำลังวิ่งนำหน้าไป
บาสกับฮอล์ลอฟสำรวจหินก้อนใหญ่ที่ปิดทางเข้าวิหารอยู่ หากแต่ไม่ได้สัมผัส ดูเหมือนมันจะปกคลุมไปด้วยพลังบางอย่างที่แข็งแกร่ง
อาจจะเพราะยังไม่ทันตั้งตัวจากพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไฮค์เลยทำดาบเล่มใหญ่หลุดมือพุ่งไปที่หลังของชายจอมกวนเบื้องหน้า
“เฮ้ยระวัง!!!”
“อ่าโช๊ะ!! แอ๊ก…” แมวสะดุดขาตัวเองล้มหน้าทิ่ม ดาบของไฮจึงพุ่งเลยร่างของโจรหนุ่มไปปะทะก้อนหินใหญ่แทน
ฟุ่บ!!
... ผิดคาด.. ดาบไม่ได้ปะทะกับก้อนหิน แต่มันทะลุเข้าไปโดยแทบจะไร้เสียง??! ฮอล์ลอฟกับบาสทำหน้าเหวอราวกับเจอไดโนเสาร์วิ่งผ่าน
“หา?! อะไรกันเนี่ย??” บาสลองเอามือยื่นออกไป ปรากฏว่าหินที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา มันสลายไปทันทีที่โดนมนุษย์สัมผัส
คลื่นวิญญาณบางเบากระจายออกไปเป็นวงกว้างโดยไม่มีใครรับรู้ นอกจากบุคคลเพียงสองคน... เพนและผู้สร้างภาพลวงตานี้...
“โว้ว จะลองเข้าไปเลยม๊าย??” แมวลุกขึ้นปัดฝุ่นพลางยิ้มร่าโดยไม่สนรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากบุคคลเบื้องหลัง
“ลองเข้าไปคนแรกเลย ไป๊!!!” ว่าแล้วแขนของไฮค์ก็ล็อคคอชายหนุ่ม ก่อนจะโยนตัวเข้าไปในทางเข้าวิหาร
ตุ๊บ!!
ผิดคาด... ใครบางคนรับร่างของจอมโจรแมวดำไว้ก่อนที่เขาจะกระแทกพื้นในวิหาร... แสงไฟจากปลายไม้เท้าของเพนส่องสว่างไปทั่วปากทางเข้า
แมวตกลงไปในอ้อมแขนของบางสิ่ง.. ร่างของบางสิ่งที่เต็มไปด้วยโลหิต .. ในเงามืดข้างๆปรากฏแววตาสีแดงฉานราวกับปิศาจ
พร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำๆตลอดเวลา.... สติของชายหนุ่มแทบขาดผึง สิ่งที่เขากำลังประสบนั้นคือ?!
ขออภัยที่หายไปนาน วันนี้ได้เวลามาปัดฝุ่นเล็กน้อย
จากไม่สนุกสุดๆ จะกลายเป็น ไม่สนุกเฉยๆแล้ว นิยายเรื่องนี้