GAMEINDY: Asura Online
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 12
ผู้เขียน หัวข้อ: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์บทที่ 31 (23/02/53)  (อ่าน 5921 ครั้ง)
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 25 17/10/52)
« ตอบ #105 เมื่อ: 17-10-2009, 20:02:57 »

อ้างจาก: ! ยัยนู๋เมย์ (Me'Y) ! ที่ 17-10-2009, 19:41:42
อ๊ากกก

พ่อบาส

ลงเยอะมาก

สู้ๆ นะคะ พ่อ~



(ใจร้ายนะ เอาคารินไปทิ้งกะไปป์ เชอะ~)


 Evil Evil


ขอบคุณมากนะลูก ที่ยังเป็นกำลังใจ  laugh

ปล. บทหลังๆตอนจะจบ ถ้าไม่มีคาริน เรื่องนี้ไม่มีทางจบ  Evil

ปลล. เอาอีก2บทมั้ย? เสร็จแล้วนะ  Evil!!

• Who ?! •
Sr. Member
****
กระทู้: 1,969

?!


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 25 17/10/52)
« ตอบ #106 เมื่อ: 17-10-2009, 20:05:13 »

กรี๊ด~

พ่อบาส ลงเลย

ลูกสาวจอมซน คนงาม

รออ่านอยู่นะคะ

ไม่ได้ ปั้ม ไม่ได้ เกรียน

แค่ เกรี๊ยน เกรียน เอง
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 25 17/10/52)
« ตอบ #107 เมื่อ: 17-10-2009, 20:15:20 »

 บทที่ 27 : ราชันย์แห่งอสูร และการชำระวิญญาณของอนูบิส

   “อนูบิส... ”
 เสียงทุ้มต่ำสะท้อนไปในความมืดที่ดูราวกับไม่มีที่สิ้นสุด แอสแซสซินหนุ่มตื่นขึ้นมาท่ามกลางผืนป่าแห้งเฉา
ต้นไม้ล้วนไร้ใบ ท้องฟ้าและพื้นดินเป็นสีโลหิต ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง เขามองไปรอบตัวเพื่อหาต้นเสียงที่ปลุกเขาขึ้นจากการหลับใหล
   “อนูบิส...”
 เสียงประหลาดนั้นร้องเรียกเป็นครั้งที่สอง พร้อมกับเงาบางสิ่งที่พุ่งย่อตัวอยู่เบื้องหน้าชายหนุ่ม ผ้าคลุมสีดำขาดวิ่นผืนใหญ่โบกสะบัดราวกับปีกนก
มันคือสิ่งมีชีวิตคล้ายมนุษย์ตนหนึ่ง หน้าตาเหมือนแอสแซนซินชายทุกประการ เว้นเสียแต่เส้นผมที่เป็นสีแดงเพลิงและนัยน์ตาสีโลหิต
“แก... ไม่สิ .. นายเป็นใคร ที่นี่ที่ไหน” พี่แมวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสับสน ก่อนจะสะดุ้งสุดตัว
“ง่ะ .. ที่นี่เป็นนรกเรอะ?! ส่งชั้นกลับไปเดี๋ยวนี้ เพื่อนๆของชั้นกำลังตกอยู่ในอันตราย!!” ชายหนุ่มโวยวายยกใหญ่ ก่อนจะพยายามขุดดินหาทางกลับไป
“หึหึ.. อย่าบ้าไปหน่อยเลย ที่นี่คือใต้จิตสำนึกของนาย ขุดลงไประวังเจอกระดูกตัวอะไรไม่รู้นะ... แล้วคิดว่านายในตอนนี้จะช่วยพวกพ้องของนายได้รึไง”
คำพูดของฝาแฝดแปลกหน้าทำเอาพี่แมวหยุดชะงัก... ไม่ใช่เพราะความกลัวสิ่งแปลกประหลาดใต้ดิน หากแต่เป็นความกลัวว่าตนจะช่วยเพื่อนไว้ไม่ได้
     
“แล้ว...ชั้นควรจะทำไงล่ะ .. ถ้างั้น” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง เขาเงยหน้าขึ้นสบตากับคู่แฝด
“ยอมรับพลังนั้นซะ สิ่งที่เคยสถิตอยู่กับนายเมื่อหลายร้อยปีก่อน .. แต่จำไว้นะ .. มันต้องแลกด้วยบางสิ่งที่มีค่าเท่าเทียมกัน ...” ร่างจำแลงพูดขึ้นอย่างมีเลศนัย
แอสแซนซินหนุ่มผงะ พลางนึกไปเรื่อย... ‘สิ่งที่เท่าเทียม.. มื้อเช้าวันพรุ่ง!? น้อยไปมั้ง เงินหรอ ชั้นมีไม่กี่พันบิลล่า รึว่าชีวิตชั้น.. คงไม่ใช่..’
“นายนี่ คิดมากไปแล้วมั้ง” อสูรที่หน้าตาคล้ายพี่แมวเดินวนรอบตัวชายหนุ่มอย่างเหนื่อยใจ พลางปลุกเขาขึ้นจากภวังค์
“มันก็แค่ ... ความทรงจำเก่าแก่อันแสนน่ารักน่าชังของนายจะกลับมา” แฝดอสูรเอ่ยพลางยิ้มระรื่น หากแต่แววตายังเฉยชาไม่เปลี่ยนแปลง
“แค่ความทรงจำงั้นเรอะ ... เอาสิ” พี่แมวหลงรื่นเริงไปตามรอยยิ้มนั้น หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนกำลังจะพบนั้นคืออะไร ...
“แค่?!  แค่ความทรงจำงั้นรึ... แต่ในเมื่อเลือกแล้ว ข้าจะคืนมันให้เจ้า...” รอยยิ้มน้อยๆเกิดขึ้นที่มุมปากของร่างจำแลงอีกครั้ง ก่อนที่ร่างนั้นจะค่อยๆหายไป
“เฮ้ย จะทิ้งกันไปงี้เลยเรอะ!? กลับมาก่อนเด้!!” ชายหนุ่มสติกระเจิงทันทีที่ต้องอยู่คนเดียวในที่แห่งนี้ เขามองไปบนฟ้าด้วยสัญชาติญาณของตน
ฟ้าด้านบนเปิดกว้างไร้กลุ่มเมฆ บรรดานกกาตัวใหญ่ต่างบินวนไปทั่ว ในมุมนี้แม้เห็นเป็นเพียงจุดสีดำเล็กๆ แต่มันก็สร้างความสยองให้กับพี่แมวอย่างหนัก
ที่ผิดสังเกตคือพระจันทร์เสี้ยวสีโลหิตสองดวงบนท้องฟ้า....  ใช่ ... จันทร์เสี้ยวสีเลือดสองดวง

    เปรี้ยง!!
 สายฟ้าสีแดงผ่าลงมาบนยอดต้นไม้ใหญ่ใกล้ตัวพี่แมว เขาไม่แสดงท่าทีตกใจหรือตอบสนองใดๆ สายตาจ้องไปยังพระจันทร์ทั้งสอง
ความทรงจำในอดีตหวนกลับเข้ามาในตัวเขา แม้จะเป็นมโนภาพ แต่แอสแซนซินหนุ่มกลับรู้สึกราวกับว่ามันกำลังเกิดขึ้นรอบตน
ทั้งภาพนักเวทย์ชายผมสีขาวกับชายหนุ่มที่ใช้พลังลึกลับเข่นฆ่าผู้คนบริสุทธิ์ ภาพการวางแผนแย่งชิงเศษลูกแก้วแห่งอาทรัมของผู้นำเผ่าอสูร
สงครามล้างแผ่นดินเมื่อหกร้อยปีก่อน ทุกภาพล้วนสร้างความเจ็บปวดให้กับเขา และสุดท้าย... ภาพการสังหารหมู่ที่วินโดเนีย และการพบกับคณะเดินทาง...
ร่างกายของแอสแซนซินหนุ่มกระตุกอย่างรุนแรง ก่อนจะหยุดลงพร้อมกับความทรงจำทั้งหลายที่หวนกลับมา...

“ดูลาฮาน... เพื่อนรักเพื่อนแค้นของข้า... โชคชะตาช่างเล่นตลกเสียจริง...”
 ชายหนุ่มคลายมือที่กุมขมับอยู่ออก เส้นผมกลายเป็นสีแดงเพลิง แววตาสีโลหิตส่องประกายสีแดงฉาน
ร่างเขาจางหายไปช้าๆพร้อมกับจิตวิญญาณที่กลับสู่ความจริง  ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในห้วงจิตสำนึก แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น .....

        สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าเบลดมาสเตอร์สาวในตอนนี้ คือวิญญาณร้ายในร่างชุดเกราะเหล็กสีดำสนิท โล่และดาบสีนิลเรืองแสงสีฟ้าอ่อนๆตลอดเวลา
ศีรษะของมันขาดหายไป แต่ที่ชุดเกราะกลับมีดวงตาสีแดงฉานและคมเขี้ยวที่เรียงรายกันอยู่มาแทน และแน่นอน... มันมีความคิดเหมือนมนุษย์....
พิ้งยกดาบทั้งสองขึ้นมาเตรียมพร้อม ดวงตาของดูลาฮานที่ฝังอยู่ในชุดเกราะส่องแสงสีแดงเรืองรอง มันพุ่งเข้ามาปะทะทันที!!

ฟุ่บ!!
เงาของบางสิ่งพุ่งตัดหน้าเบลดมาสเตอร์สาวและจอมอสูรไป ในวินาทีนั้นเหมือนมีเปลวไฟปะทุขึ้น มันเบี่ยงเบนความสนใจของดูลาฮานไปชั่วขณะ
เคล้ง!! เปรี้ยง!!
ร่างในเงามืดเผยตัวขึ้นพร้อมกับใบมีดที่ดูราวกับเหล็กร้อนจัดเสียบเข้าที่ข้อต่อของเกราะแขนซ้าย พี่แมวออกแรงสะบั้นมันลงอย่างไม่ยากเย็น
มือที่ถือโล่ตกลงกระแทกพื้นพลางกลายเป็นฝุ่นผง ที่น่าแปลกใจคือภายใต้ชุดเกราะนั้น มันว่างเปล่า....

“พี่แมว ระวัง!!” พิ้งร้องขึ้นสุดเสียง มืออีกข้างของดูลาฮานฟาดดาบลงมาใส่ชายหนุ่มจากด้านหลัง

ฟุ่บ!! เปรี้ยง!!
 เขาชูมือขวาขึ้นรับดาบพลางกระแทกร่างของดูลาฮานออกไป รอยทางยาวบนพื้นลากเข้าไปในเงามืดพร้อมฝุ่นหินกระจาย
 ร่างของดูลาฮานคงกระแทกเข้ากับแผ่นหินหน้าสุสานจนแตกละเอียด สายพลังสีดำจากมือของพี่แมวพุ่งเข้าไปในตัวผู้บาดเจ็บ
คำสาปแห่งพสุธาสลายไปจากร่างที่สลบอยู่ ทุกคนกลับมามีชีวิตอีกครั้งหากแต่ยังไร้สติ

“พะ.. พี่ รีบพาทุกคนออกไปจากที่นี่เถอะ ..” พิ้งพูดพลางมองเข้าไปในความมืดอย่างไม่มั่นใจ ดูลาฮานอาจจะฟื้นตัวและพุ่งเข้ามาทำร้ายเมื่อไรก็ได้
“ไม่ต้องห่วงน่า.. หลบไปซะ เดี๋ยวผมจัดการเอง” พี่แมวพูดพลางคลายผ้าพันคอสีโลหิต มันสยายออกราวกับมีชีวิต

ฟุ่บ!!
ถุงมือเหล็กข้างหนึ่งพุ่งทะลุขึ้นมาจากดินพร้อมกับคว้าขาของชายหนุ่มไว้ เป็นเวลาเดียวกับที่ผ้าพันคอของเขาเสียบลงไปในพื้นและกระชากร่างใต้นั้นขึ้นมา
“ฉลาดนิ ดำดินมาเพื่อจะลากชั้นลงหลุม แต่ความสามารถในการเคลื่อนทะลุพื้นของแกมันก็มีขีดจำกัดนะ” แอสแซสซินชายพูดอย่างอารมณ์ดีอย่างน่าแปลก
“วันนี้ถึงคราวลงทัณฑ์ที่แกทรยศพวกชั้นไว้แล้ว... แม้จะเป็นจอมอสูร แต่มันก็คือคนที่หักหลังเพื่อนฝูงดีๆนี่เอง” ชายหนุ่มเอ่ยด้วยความโกรธ
แววตาของดูลาฮานเริ่มหวั่นไหว มันรู้แล้วว่าสิ่งที่ตนกำลังประสบไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา หากแต่เป็นอสูรที่มีพลังเท่าเทียม หรือมากกว่าตนซะอีก

“จบกันเสียที ราชันย์แห่งอสูรใต้พิภพ!! จงก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เจ้าก่อขึ้นมาซะเถิด!!”  ผ้าพันคอสีโลหิตพันธนาการร่างจอมปิศาจไว้ พลางยกขึ้น
วิญญาณที่ถูกดูลาฮานสังหารลงจากทั้งสมัยสงครามเมื่อหกร้อยปีก่อนจนถึงปัจจุบันลอยขึ้นมาจากผืนดิน พลางพุ่งเข้าเสียบร่างของอัศวินแห่งความมืด
แม้มันจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สำหรับพิ้งที่ยืนดูอยู่มันราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์ วิญญาณที่เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้นนั้นมีมากมายเหลือเกิน...

    “ข้าขอสาปแช่ง... เจ้าจะต้องจบชีวิตด้วยมือของเทวีอาทรัม!!”
เสียงแหบแห้งของดูลาฮานดังก้องพร้อมกับร่างที่สลายเป็นฝุ่นผง บางสิ่งตกลงมาจากร่างที่กำลังกลายเป็นธุลีดิน
“ก่อนจะตายยังจะสาปอีก... เหอะๆ.. ” พี่แมวส่ายหัวราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น พลางหันมาพบกับพิ้งที่กำลังหวาดกลัวและงุนงง

   “อ่า.. พิ้ง ช่วยกันแบกทุกคนขึ้นไปด้านบนได้มั้ย?” พี่แมวพูดพลางกวาดตามองร่างของทุกคนที่เหมือนจะพยายามลุกขึ้น “อ้าว.. ตื่นกันแล้วหรอคร้าบ”
“โอย.. ข้านึกว่าจะไม่รอดแล้วซะอีก ... เอ๋ ดูลาฮานมันหายไปไหน?” ฮอล์ลอฟที่พึ่งฟื้นตัวขึ้นมาถามอย่างแปลกใจ
“มันโดนวิญญาณที่ถูกมันสังหารลากไปลงนรกแล้วล่ะ.. รวมถึงวิญญาณของผู้ที่นำทางเรามาที่นี่ด้วย...” พี่แมวลดน้ำเสียงลง พลางกึ่งลากกึ่งดึงให้บาสเดินนำ
“ห๊ะ.. ชาร์ปชูตเตอร์ฝาแฝดนั่น.. ตายแล้วรึ?!” ไฮค์เอ่ยถาม
“ใครว่าสองคนนั้นมีชีวิตล่ะ... พวกเขาเป็นคนกลุ่มแรกที่เข้ามาที่นี่.. เขากลายเป็นวิญญาณที่คอยห้ามไม่ให้ใครลงมาทิ้งชีวิตอีก แต่ก็ไม่มีใครฟังพวกเขา...”
ฮอล์ลอฟเอ่ย เขายังจำวันแรกที่พบบุคคลทั้งสองได้ดี เพนถึงกับหน้าซีดที่รู้ว่าตนเดินทางร่วมกับวิญญาณมาตั้งนาน

“เอาเป็นว่า... กลับถึงโรงแรมเมื่อไร พิ้งกะพี่แมวเล่าให้พวกผมฟังทีนะ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” บาสพูดขึ้นหลังจากที่เงียบมานาน
ปึ้ก!!
“แม่ว่าลูกมองทางดีๆก่อนจะดีกว่ามั้ย” แม่ชีตัวป่วนลดมือที่ถือคบไฟลงจนแสงส่องไปไม่ถึงประตู บาสนั่งลงกุมหัวที่กระแทกเข้ากับประตูอย่างจัง
“โอย... เจ็บง่ะ” บาสโอดครวญ พร้อมกับแอสแซนซินหนุ่มที่ผลักประตูสุสานให้เปิดออกและผลักบาสให้พุ่งออกไป บาทหลวงในโบสถ์มองอย่างฉงน
หารู้ไม่ว่าเพนเดินตามหลังมาเพื่อลากพี่แมวไปนอกโบสถ์ สีหน้าของชายหนุ่มซีดลงทันที “ง่ะ.. ตอนนี้ก็ไม่เว้นเรอะ?! ช่วยด้วยคร้าบบบ!!”
ไฮค์เดินไปดึงคอเสื้อเพนราวกับจะห้ามปราม เพนหันมามองด้วยสายตาอำมหิตจนไฮค์รีบปล่อยมือ
“สรุปแล้ว แม่ว่าเราเตรียมโลงให้คุณแมวเลยดีกว่านะคะ” แม่ชีสาวยังคงอารมณ์ดีราวกับไม่ได้พบเหตุการณ์เลวร้ายในวันนี้

           พิ้งค่อยๆเดินตามหลังทุกคนมา ในมือของเธอถือดาบสีดำสนิทเล่มหนึ่ง มันคือดาบที่อัศวินปิศาจหลงเหลือเอาไว้...
“หืม.. แม่หนู ดาบในมือของเจ้า อาตมาขอดูมันหน่อยได้มั้ย?” บาทหลวงสูงอายุคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ
“อะ.. อะไรหรอคะ?” พิ้งสะดุ้งสุดตัวก่อนจะส่งดาบในมือให้กับบาทหลวงช้าๆ นิ้วมือเรียวยาวของท่านสาธุคุณหยิบดาบเล่มนั้นขึ้นมาพิจารณา
สายตาของเขามองไปตามใบดาบ จนมาสะดุดที่ด้ามของดาบ สีหน้าแสดงถึงความพรั่นพรึง

       “ดาบเล่มนี้.. มันเคยถูกใช้สังหารผู้คนนับพัน พลังของวิญญาณที่สถิตอยู่ช่างรุนแรงยิ่งนัก” บาทหลวงเอ่ยเสียงสั่น
“เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าลองดูที่นี่สิ” แนนและพิ้งก้มตัวลงมองดาบในมือของบาทหลวง
มันมีอัญมณีสีดำสนิทฝังอยู่ แสงจากโคมไฟบนเพดานส่องลงมากระทบจนเกิดประกายสีม่วงดำ
“ชิ้นส่วนของลูกแก้วนั่น... แม่หวังว่ามันคงจะไม่ใช่…” แม่ชีสาวเอ่ยขึ้นอย่างหวาดๆ บาทหลวงพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจ
“มันคือต้นเหตุของการที่อัศวินปิศาจสามารถอยู่มาได้ถึงทุกวันนี้ พลังของมันน่ากลัวยิ่งนัก หากใช้ในทางผิด...” เขาส่งดาบกลับคืนให้กับเจ้าของ
“จงใช้มันเพื่อปกป้องมวลชน เมื่อถึงเวลาโปรดนำมันมาพร้อมกับชิ้นส่วนลูกแก้วที่เหลือ”
เสียงที่เต็มไปด้วยความหวังของบาทหลวงชราทำให้พิ้งถึงกับกลืนน้ำลาย ระหว่างครอบครัว กับชีวิตของผู้คนจำนวนมาก เธอควรจะทำอย่างไร....

     “เอ้า อย่ามัวแต่ยืนคุยกัน กลับได้แล้ว” ไฮค์แง้มประตูโบสถ์พลางกวักมือเรียกพิ้งและแนน
 ช่องว่างของประตูเผยให้เห็นบาสกับเพนที่ลากกระสอบใบใหญ่ไปทางหัวมุมถนน บางสิ่งในกระสอบกำลังดิ้นให้หลุดจากพันธนาการ

ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของห้องพักในโรงแรมเซาท์เทิร์นฟอร์ท คณะเดินทางต่างจับกลุ่มพูดคุยกันตามมุมห้อง
พาลาดินหนุ่มกำลังเล่าบางสิ่งให้บาสและเพนฟัง สีหน้าของเด็กหนุ่มทั้งสองดูตื่นเต้นราวกับได้พบกับสิ่งเหนือธรรมชาติ

     “วิชาเล่นแร่แปรธาตุน่ะ เจ้าของได้ยินจากคาร์เตอร์มาแล้วว่าข้าศึกษามันอยู่” ฮอล์ลอฟเอ่ยขึ้นพลางยิ้มอย่างภูมิใจ
“กฎสำคัญของวิชานี้มีไม่มากนัก ข้อแรก ห้ามหลอมมนุษย์”
“หมายความว่าไง?” เพนเอ่ยถามอย่างสงสัยพลางหยิบผงถ่านในถุงขึ้นมาโปรยไปยังกระดาษเบื้องหน้า บนนั้นมีวงเวทย์ทรงกลมที่เขียนด้วยหมึกวาดอยู่
“การหลอมวิญญาณนับเป็นวิชาต้องห้าม ถ้าผิดพลาดนั่นหมายถึงชีวิต  ข้อที่สอง... ห้ามหลอมทองคำขึ้นมาใช้เอง” สีหน้าของฮอล์ลอฟดูระรื่นขึ้นทันที
“หลอมทองไม่ได้... งั้น...นี่ล่ะ?” เพนลดเสียงลงเล็กน้อย พลางชูบางสิ่งในมือให้ฮอล์ลอฟเห็น มันคือเพชรเม็ดจิ๋วที่เกิดจากคาร์บอนในถ่านถุงใหญ่เมื่อครู่

“เฮ้ย ?!” บาสกับฮอล์ลอฟอุทานขึ้นพร้อมกัน ก่อนที่พาลาดินหนุ่มจะทำให้เพชรกลายเป็นผงถ่านเหมือนเดิม
“อย่างนี้ก็ไม่ได้โว้ย เดี๋ยวไม่สอนซะเลย กฎข้อสุดท้าย ข้อนี้สำคัญที่สุด อย่าลืมมันเด็ดขาด” ฮอล์ลอฟเอ่ยด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ
“การหลอมสิ่งต่างๆขึ้นมานั้น... ต้องแลกเปลี่ยนด้วยสิ่งที่เท่าเทียมกัน... เจ้าคงได้เห็นแล้ว ผงถ่านที่ใช้ในเตาผิงนั้นมีมากมาย แต่ได้เพชรเม็ดแค่นี้
แม้ตามความจริง มันจะต้องผ่านแรงกดดันและความร้อนมากมาย จากถ่านก้อนใหญ่จะเหลือเพชรเม็ดจิ๋ว แต่ด้วยวิชานี้ มันใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที” 
ฮอล์ลอฟพล่ามต่อไป หารู้ไม่ว่าเพนกำลังเอาหอกของฮอล์ลอฟไปหลอมเป็นอย่างอื่นเล่นอยู่ บาสนั่งมองอย่างสนใจแต่ไม่ได้ลงมือทำเพราะเขาไร้พลังเวทย์

    “การหลอมมนุษย์ที่ตายไปแล้วจึงเป็นไปไม่ได้ เพราะขาดองค์ประกอบสำคัญ มันคือวิญญาณ..... เฮ้ย!! หอกของชั้น เดี๋ยวเถอะ!!”
ฮอล์ลอฟอุทานอย่างตกใจพลางดึงหอกของตนกลับมา ใบหอกที่เคยแหลมคมกลายเป็นก้อนเหล็กกลมๆไปซะแล้ว
“เดี๋ยวเถอะๆ” ฮอล์ลอฟดุทั้งสองพลางวาดวงเวทย์ไปที่ใบหอก ก่อนจะประทับมือลงไป มันกลับเป็นเหล็กแหลมเหมือนเดิม
“โทษทีๆ เผอิญอยากลองวิชาน่ะ เวลาจะหลอมอะไร วงเวทย์นี่มันขาดไม่ได้เลยรึไงนิ” เพนถามอย่างสงสัยเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน
“วงเวทย์นั่น แสดงถึงวัฏจักรแห่งพลัง ผู้ชำนาญแล้วเท่านั้นจึงจะสามารถทำได้โดยไม่มีมัน เจ้าจงจำไว้..   ทุกสิ่งคือหนึ่งเดียว  ”
บาสมองฮอล์ลอฟด้วยสายตางุนงง แม้จะไม่เข้าใจแต่ก็ยังมีอารมณ์ยิงมุขเล่น “ผมแปรธาตุเป็นเหมือนกันนะ  จากเงินเป็นอาหาร จากเงินเป็นอย่างอื่น อิอิ”
“งั้นฮอล์ลอฟก็คงเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุที่เก่งใช้ย่อย แปรเงินเป็นเหล้าได้ทุกวัน” แม่ชีตัวป่วนรับมุขพร้อมเสียงหัวเราะของทุกคนที่ดังลั่นห้อง

    “เอ้อ.. ว่าแต่เรารอดมาได้ไง ดูลาฮานมันโหดยิ่งกว่ากองทัพของทางการอีกนี่...” ไฮค์เดินเข้ามาร่วมวงสนทนาพร้อมกับแนนและพิ้งที่ค่อยๆนั่งลง
“พลังของใครซักคนในกลุ่มพวกเรานี่แหละ ลองมองไปรอบๆสิ มีใครเปลี่ยนแปลงไปบ้าง” ฮอล์ลอฟเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พลางเดินไปที่ประตู
แอสแซสซินหนุ่มที่กำลังกินข้าวต้มชามใหญ่เงยหน้าขึ้นมอง พาลาดินชายที่ยืนคาประตูอยู่ “คุยกันเองละกัน ชั้นขอตัวไปนอนก่อนล่ะ”

    “ความจริง... พี่เป็นร่างสถิตของอสูร มันชื่อว่าอนูบิส มันเป็นอสูรที่กำเนิดเมื่อหลายร้อยปีก่อน” พี่แมวเอ่ยขึ้นเบาๆ ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองพี่แมวทันที
“แม่พอจะจำได้นะ วันนั้นที่วินโดเนีย ลูกสะกดพลังของมันไว้ในตัวโดยแลกกับความทรงจำ” แนนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เธอกำลังนึกไปถึงวันที่พบกับแมว
“ตอนนี้ ความทรงจำของอนูบิสกับผมรวมกันแล้ว เรากลายเป็นวิญญาณดวงเดียวกัน ตอนนี้เรื่องของชายลึกลับนั่นก็กระจ่างแล้ว” ชายหนุ่มเล่าต่อ

  “มันคือนักเวทย์อสูรคนหนึ่งที่เป็นสหายเก่าของข้า เราสองคนเดินทางไปทั่วพิภพ เข่นฆ่าผู้คนเพื่อค้นหาความอมตะ...”
สุดท้าย มันจุดชนวนสงครามที่เมืองแห่งหนึ่ง ประกาศสงครามระหว่างเผ่าพันธุ์ทั้งห้า เดิมพันด้วยชิ้นส่วนลูกแก้วแห่งอาทรัม
มันปั่นหัวพวกซอเรี่ยนให้ชิงขุมพลังนั้นมา เอลฟ์และอสุราร่วมมือกันเพื่อปกป้องชิ้นส่วนลูกแก้วเอาไว้ มนุษย์กลายเป็นเพียงเครื่องมือของอสูรเท่านั้น”
เพนฟังพลางจดบันทึกลงสมุด ไฮค์นั่งจ้องแอสแซสซินหนุ่มราวกับเด็กที่นั่งฟังนิทานของคนเฒ่าคนแก่
“สุดท้าย...  หลังจากที่พ่ายแพ้สงครามไปกว่าหกร้อยปี มันพยายามรวบรวมลูกแก้วนั่นกลับมาอีกครั้ง ความโลภในพลังของมันไม่สิ้นสุดลงซะที”
  น้ำเสียงของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความเป็นกังวล แววตาของเขาสั่นคลอน
“ความเป็นอมตะ ไม่ได้ดีเสมอไปหรอกนะ สูญเสียพวกพ้อง ต้องอยู่ตัวคนเดียวตลอดกาล ไม่มีใครอยู่ร่วมเป็นคู่ชีวิตได้นิจนิรันดร์”
ความโศกเศร้าแผ่ลงมาปกคลุมทั่วทั้งห้อง ทุกคนนั่งเงียบอยู่นาน จนพิ้งเสนอข้อคิดเห็นขึ้นมา “นี่ก็ดึกแล้ว.. พิ้งว่าทุกคนไปนอนดีกว่านะคะ”
เพนกับไฮค์พยักหน้าเป็นเชิงเห็นด้วย พลางเดินออกไปยังห้องของตน บาส พิ้ง และแนนต่างแยกย้ายไปพักผ่อน พิ้งฝืนยิ้มอย่างเศร้าๆ
เธอเดินไปที่ขอบระเบียง แสงจันทร์สีนวลส่องมากระทบใบหน้าที่แสนงดงาม กระทบหยาดน้ำตาเป็นประกายสีเงิน 
‘พ่อเลือกที่จะเป็นอมตะ โดยแลกกับชีวิตของผู้คนจริงหรือ... แม่จะดีใจรึเปล่าถ้าได้กลับมาจากความตาย แต่ต้องแลกกับชีวิตนับไม่ถ้วน....’
 
    “ผมไม่รู้นะว่าคุณคิดอะไร ไม่ว่าพิ้งจะมีอะไรปกปิดพวกเรา แต่พิ้งควรจะจำไว้ ทุกคนจะยืนเคียงข้างพิ้งเสมอ” เด็กหนุ่มเดินเข้ามาข้างๆอย่างสงบ
 พิ้งคุกเข่าลงกับพื้นพลางร้องไห้โฮ บาสพยายามปลอบใจเด็กสาว แสงจันทร์ส่องกระทบพื้นบริเวณรอบ พระจันทร์เต็มดวงสีขาวดูอบอุ่นยิ่งนัก
 รัตติกาลที่ไม่มืดมนอย่างที่คิดผ่านไปช้าๆ พร้อมกับทั้งสองที่นั่งหลับอยู่ที่ระเบียงจนถึงเช้า....



จัดให้จ๊ะ... ลูกเมย์ Evil

• Who ?! •
Sr. Member
****
กระทู้: 1,969

?!


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 27 17/10/52)
« ตอบ #108 เมื่อ: 18-10-2009, 01:55:38 »

คุณพ่อบาส สุดที่รัก~

ลูกสาวคนงาม อยากบอกว่า


" รออ่านนิยาย ของคุณพ่ออยู่นะคะ "

ไม่ได้ ปั้ม ไม่ได้ เกรียน

แค่ เกรี๊ยน เกรียน เอง
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 27 17/10/52)
« ตอบ #109 เมื่อ: 18-10-2009, 09:15:47 »

บทที่28 :

    ซวบ... ซวบ...
เสียงฝีเท้าของเบลดมาสเตอร์ชายและวอลอคหญิงคู่หนึ่งที่เดินฝ่าวงพายุหิมะมาจากหุบเขาลึก
เรน่าถอดหมวกของชุดคลุมออกช้าๆพลางเอามือกุมไม้เท้า เบื้องหน้าของนางคือเงาสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ ป้อมปราการที่แข็งแกร่งราวกับไม่มีวันล่มสลาย
กำแพงเหล็กสีนิลถูกประดับด้วยหิมะสีขาว พายุหิมะโหมกระหน่ำรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

      แกร๊กๆๆ!!...
“ใครกัน แสดงตัวเดี๋ยวนี้!!” ปลายกระบอกปืนไรเฟิลนับสิบถูกเล็งมาที่ทั้งสอง พร้อมกับเซนจูเรี่ยนชายผู้หนึ่งที่นำทีมเดินเข้ามาล้อมวงไว้

ฟุ่บ!!
หมวกของไซเฟอร์ตกลงกับพื้นเพราะแรงลม แววตาที่กร้าวแกร่งของเขาทำให้ทหารหลายคนผงะ
“ข้าเอง... เจ้าช่วยพาเรน่าไปรักษาตัวที ข้ามีเรื่องที่จะต้องทำนิดหน่อย”  ไซเฟอร์สั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด กองกำลังทหารเปิดประตูให้เขาผ่านเข้าไปทันที

   เคล้ง!!
ยังไม่ทันก้าวข้ามธรณีประตู มีดบินสีดำสนิทเล่มหนึ่งถูกซัดเข้ามาเสียบที่ปลอกดาบของไซเฟอร์ทันที เขาพยายามชักดาบออก แต่มันไม่ขยับ....
 “กลับมาแล้วหรอคะ ท่าน!!” เสียงของ เมย่า หัวหน้าสมาคมนักลอบสังหารเอ่ยขึ้นทันที เธอเป็นแอสแซนซินสาวที่อยู่ในชุดปกปิดหน้าตา
“ทักทายกันแบบนี้ไม่ดีเท่าไรนะ...” ไซเฟอร์เอ่ยพลางโยนบางสิ่งให้กับเมย่า ก่อนที่เขาจะเดินเข้าไปในห้องของตน
เมย่าคลายมือที่กำสิ่งนั้นไว้ช้าๆเพราะความเย็น มันคือเศษมีดบินที่ถูกแช่แข็ง สายตาของมือสังหารสาวเปลี่ยนไปทันที เธอรีบวิ่งตามไซเฟอร์ไป

ปัง!!
  “ท่าน!! ท่านได้มันมาแล้วหรอ?!” เมย่าตะโกนถามพร้อมกับผลักประตูเข้ามาอย่างแรง ไซเฟอร์ยืนหันหลังให้ สีหน้าของเขาราวกับครุ่นคิดบางสิ่งอยู่
“เจ้าพร้อมที่จะอยู่ฝ่ายเดียวกับข้ารึเปล่า...” ไซเฟอร์ถามทั้งๆที่ยังไม่ได้หันหน้ากลับมา
“ฝ่าย?! ท่านคิดอะไรอยู่กันแน่... ” สีหน้าของแอสแซสซินสาวซีดลง สัญชาติญาณของเธอบอกว่าหายนะใหญ่หลวงกำลังจะเกิดขึ้น

แกร๊ป....
น้ำแข็งลามขึ้นมาจากพื้นห้อง ขาของเมย่าถูกมันยึดติดไว้กับพื้น ไอเย็นประหลาดแผ่กระจายออกจากตัวของไซเฟอร์อย่างต่อเนื่อง
“ข้าขอถามเป็นคำถามสุดท้าย... เจ้าจะช่วยข้าปฏิวัติรึไม่?” น้ำเสียงของเบลดมาสเตอร์ฟังเฉียดขาดจนเมย่าอยากจะหลีกหนีไปให้ไกล... ถ้ายังทำได้...
“ไม่.. ข้าและพรรคพวกจะไม่มีทางร่วมมือกับเจ้าเด็ดขาด!!” สิ้นเสียงของเมย่า ไซเฟอร์หันหน้ากลับมาพร้อมกับร่างของแอสแซสซินสาวที่กลายเป็นน้ำแข็ง

ปึง!!
“ออกมาเดี๋ยวนี้ ท่านไซเฟอร์!!” เซนจูเรี่ยนที่เฝ้าประตูอยู่ทุบประตูอย่างแรง ไซเฟอร์กุมดาบเล่มใหญ่แน่น ก่อนจะกระแทกประตูออกไป
   เปรี้ยง!!
กระสุนจากปืนไรเฟิลกระบอกหนึ่งถูกยิงมาในตำแหน่งที่ไซเฟอร์เคยยืนอยู่ในวินาทีที่แล้ว ทหารคนนั้นถูกอำนาจบางอย่างแช่แข็งทั้งเป็นทันที
   ฉึก!!
เบลดมาสเตอร์หญิงผู้หนึ่งใช้ดาบเสียบลงที่กลางหลังของแอสแซนซินที่เข้ามาล้อมไซเฟอร์ไว้ มือสังหารผู้โชคร้ายสิ้นใจลงทั้งๆที่ยังไม่ทันได้ขยับตัว

  แกร๊ป...... เปรี๊ยะ...
เบลดมาสเตอร์หนุ่มสะบัดชายผ้าคลุมพลางเดินผ่านกองทัพเซนจูเรี่ยนและแอสแซสซินที่กลายเป็นหุ่นน้ำแข็งไปช้าๆ
บรรดาเบลดมาสเตอร์ผู้จงรักภักดีทั้งสามของไซเฟอร์ค่อยๆขยับตัวเดินผ่านร่างที่ถูกแช่แข็งเข้ามาสมทบ

แกร๊ก..
เสียงประตูข้างๆเปิดออกช้าๆ ไซเฟอร์กระตุกดาบชี้ไปที่ประตูทันที เรน่าเดินออกมาช้าๆด้วยสีหน้าแสดงถึงความพอใจ
“ยอดมาก.... ถึงเวลาเดินทางต่อซะที...” นางเอ่ยพลางแกะผ้าพันแผลที่ใช้หลอกบรรดาเซนจูเรี่ยนและแอสแซสซินออก
 ลมหิมะที่พัดผ่านประตูป้อมปราการเข้ามาทำให้ผมของนางสยายราวกับเส้นไหมสีดำ
ไซเฟอร์เดินนำกลุ่มเบลดมาสเตอร์และเรน่าออกไปท่ามกลางพายุหิมะ แววตาของเขาดูน่ากลัวราวกับอสูรร้าย....

   กองทัพล้วนพ่ายแพ้.. ป้อมปราการตะวันออกเหลือเพียงหุ่นน้ำแข็งที่จะถูกทิ้งไว้ชั่วนิรันดร์ ...เป้าหมายของกลุ่มกบฏ.. ชิ้นส่วนลูกแก้วแห่งอาทรัม ...


     ห่างไกลออกไปจากป้อมปราการตะวันออก... ณ โบราณสถานที่แทบไม่เคยมีใครย่างกรายเข้ามา....
     แกร๊ก...
หินขนาดเล็กจำนวนหนึ่งกลิ้งลงจากวัตถุโบราณหน้าตาแปลกประหลาด
 หญิงสาวในชุดนักสำรวจผู้หนึ่งนั่งคู้ตัวอยู่ท่ามกลางซากปรักหักพัง เธอหยิบมันขึ้นมาดู ดวงตาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้น
มันคือวัตถุโบราณของชนเผ่าที่หายสาปสูญไปเมื่อหกร้อยปีก่อน  ชาวอสุรา
  “ท่าทางจะขายได้ราคาดี เครื่องปั้นดินเผาพวกนี้ยิ่งเก่าแก่ยิ่งมีค่า” น้ำเสียงที่ฟังดูตื่นเต้นของนักล่าสมบัติสาวเอ่ยขึ้น

  “รอส เรากำลังหาทางออกจากที่นี่นะ ไม่ใช่มาหาของเก่าของแก่ไปขาย”
เซนจูเรี่ยนชายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงตำหนิ พลางเล็งปืนกระบอกยาวเข้าไปในความมืด
“ใครขอให้ชั้นมาสำรวจที่นี่เป็นเพื่อนล่ะ?” รอสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกวนอารมณ์ ในมือถือไฟฉายส่องลงไปที่กระดาษแผ่นหนึ่ง
“ช่วยไม่ได้หนิ คำสั่งของทางการ เราจะขัดขืนได้ยังไง…” พลทหารเอ่ยขึ้นอย่างเสียมิได้
“อย่ามาใช้คำว่าเรานะ!! นายนี่!!” กำปั้นน้อยๆของนักล่าสมบัติสาวถูกยกขึ้นหมายจะทุบลงบนไหล่ของทหารชายที่ทำท่าป้องกันตัวเอง

เสียงของทั้งสองที่ดังขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนไปมาภายในวิหารที่ถูกปิดตาย ฝูงค้างคาวที่ตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นบินกระเจิงออกมาจากความมืด
    “ว๊าย!!”
 รอสล้มลงพลางเอามือปัดอย่างตกใจ  เชส พลทหารมือใหม่กราดกระสุนเข้าไปในความมืด ค้างคาวโชคร้ายหลายตัวตกลงมาเป็นซากศพ
“คิดไปคิดมา.. ชั้นว่า... ที่นี่มันน่ากลัวใช่ย่อยเลย…” น้ำเสียงของรอสเริ่มสั่น เธอกอดแจกันใบเก่าแก่ไว้แน่นพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

    แสงจากไฟฉายปลายกระบอกปืนส่งให้เห็นทางในระยะไม่กี่เมตร พื้นที่สร้างจากแผ่นหินสีเทามีตะไคร่เกาะ
ซากของเสาต้นใหญ่ที่หักโค่นลงมาราวกับถูกบางสิ่งพุ่งเข้ากระแทกอย่างแรง ร่องรอยเล็บของบางสิ่งที่ถูกลากไปตามพื้นเป็นทางยาว
บางรอยนั้นเหมือนจะพึ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน... ความมืดมิดที่ดูเหมือนจะทวีขึ้นทุกขณะยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบกลายเป็นสถานที่สุดสยองไปโดยปริยาย

“นายคิดว่า... มันจะมีอะไรอาศัยอยู่ในนี้มั้ย เช่นพวกอสูรในตำนวน ที่กินมนุษย์เป็นอาหาร..”
“มันไม่มีจริงหรอกน่า.. เอ๋?!” ปืนของพลทหารถูกกระตุกขึ้นมาในท่าเตรียมพร้อม เป้าหมายคือบางสิ่งที่อยู่ในความมืดเบื้องหน้า
รอสกลั้นเสียงของตนไว้อย่างสุดกำลัง ในสถานการณ์เช่นนี้การกรีดร้องยิ่งจะทำให้ทุกอย่างแย่ลง

    ดวงตาสีแดงคู่หนึ่งส่องแสงสีชาดออกมาจากความมืด มันค่อยๆเข้ามาใกล้อย่างช้าๆ  ทั้งสองค่อยๆก้าวถอยหลังเพื่อป้องกันไม่ให้มันตกใจ
ที่สุดปลายแสงไฟร่างทั้งสี่ปรากฏขึ้นอย่างไร้ซุ่มเสียง มันคือบางสิ่งที่มีหน้าตาเหมือนผีตาโขน
พร้อมด้วยสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ลิงสีขาวขนาดยักษ์ มันอ้าปากอวดเขี้ยวแหลมคมจำนวนมากพร้อมกับคำรามขู่ทั้งสอง

เปรี้ยง!!!  “วิ่ง!!” เชสตะโกนขึ้นพร้อมจับมือรอสให้วิ่งเข้าไปในความมืด เขาหันมากราดยิงเข้าใส่ลิงยักษ์สีขาว
 มันคำรามอย่างเจ็บปวดพลางก้มลงหยิบหินก้อนใหญ่ทุ่มเข้าใส่เชส เขาหลบทันอย่างฉิวเฉียด
หุ่นผีตาโขนลอยเข้ามาหมายจะจู่โจม เชสปิดไฟฉายที่กระบอกปืนพร้อมกับรีบวิ่งลากรอสเข้าไปในความมืด

พวกมันเคลื่อนไหวได้ว่องไวกว่าที่เชสคิดไว้ ควันสีขาวที่เกิดจากลมหายใจของลิงยักษ์ถูกพ่นออกมาจากปากของมัน
ไม่มีลิงตัวไหนจะใหญ่ไปมากกว่านี้จากที่รอสเคยเห็นมาตลอดการผจญภัยทั้งชีวิตของเธอ

 “เอานี่ไปซะ!!” เชสพุ่งตัวพารอสเข้าไปที่หลังซากกำแพงที่มีช่องโหว่ วัตถุเหลี่ยมๆจำนวนหนึ่งถูกโยนไปเบื้องหลัง
    ฟุ่บ!!
เกิดเสียงปะทุเบาๆพร้อมด้วยแสงสว่างจ้ากระจายไปทั่วบริเวณ ลิงอสูรกรีดร้องโหยหวนพลางใช้อุ้งมือทั้งสองปิดตาของมันพลางกระทืบเท้า
ผีตาโขนร่นถอยเข้าไปในความมืดทันที

  ทั้งสองหลบอยู่หลังกำแพง และรับรู้ว่าไม่มีทางวิ่งไปไหนได้หากมันมาทางนี้ เสียงลมหายใจแรงและเสียงครางของลิงยักษ์ดังขึ้น
รอสและเชสหันมามองหน้ากัน ต่างคิดว่าในนาทีใดนาทีหนึ่งยมทูตในร่างลิงขาวจะโผล่ตัวมาให้เห็น
ทั้งคู่เอียงศีรษะชิดกับกำแพงและพยายามฟังว่ามันเข้ามาใกล้หรือไม่ แต่ก้มีเพียงเสียงน้ำหยดลงมากระทบพื้นและเสียงลมหายใจของอีกฝ่ายเท่านั้น

ทั้งสองสบตากัน ทุกสัญญาณบอกว่าลิงยักษ์ไปแล้ว แต่ควรทำอย่างไรต่อ ...ลิงนั่นเดินกลับไปหรือจะซุ่มรอดักสังหารพวกเรากันนะ?!...
เวลาผ่านไประยะหนึ่ง เชสแตะแขนรอส พลางชี้ไปที่โพรงบนกำแพงเพื่อบอกว่าจะลองชะโงกไปมอง
รอสส่ายหน้าอย่างแรง นัยน์ตาดูตื่นตกใจ สายตาความอ้อนวอนให้เชสอยู่นิ่งๆ หากแต่เขาไม่สนใจ
ชายหนุ่มชะโงกหน้าออกไปเล็กน้อย ก่อนจะโบกมือเป็นสัญญาณให้รอสตามออกมา

    ทั้งคู่ค่อยๆเลาะไปข้างๆทางเดินอันซับซ้อนในวิหาร เลือกเดินไปในทางที่มีร่อยรอยสิ่งมีชีวิตผ่านไปน้อยที่สุด
รอสเริ่มเจ็บกะบังลมและหายใจไม่ทัน เธอรวบรวมแรงทั้งหมดและพุ่งไปตามเงาเพื่ออาศัยบังกายไปเรื่อยๆ
กระทั่งพ้นแนวกำแพงมาถึงบริเวณห้องโถงวงกลมขนาดใหญ่ที่มีเสาหินเต็มไปหมดห้องหนึ่ง.....

    “เกือบไปแล้วนะ” รอสหอบ พลางหันไปมองความมืดเบื้องหลัง
“พูดอีกก็ถูกอีก” เชสเห็นด้วย ก่อนจะหันไปมองบันไดวนที่พาสูงขึ้นไปบนหลังคาที่มองไม่เห็น “ใช่ทางนี้ใช่มั้ย?” 
“คิดว่าใช่นะจ๊ะพ่อทหารใจกล้า” รอสยักไหล่พร้อมฉายไฟลงไปบนแผนที่ ถึงตรงนี้เธอไม่ใส่ใจแล้ว ในหัวมีแต่ความต้องการออกไปจากที่นี่

     ฐานบันไดเสียหายมากเพราะถูกบางสิ่งทำลายจนยับเยิน ทั้งสองปีนข้ามเสาขนาดใหญ่ที่ล้มลงมาขวางทางไว้หลายครั้ง
ตะไคร่สีดำจับขั้นบันไดจนลื่น ทั้งคู่ค่อยๆปีนขึ้นไปเรื่อยๆ บันไดวนดูราวกับไม่สิ้นสุด
 มันสูงราวกับปล่องในภูเขา หากเกิดแรงสั่นสะเทือนจนบันไดถล่มทั้งสองคงไม่รอดเป็นแน่
 แสงสว่างส่องเข้ามาจากหลังก้อนหินก้อนหนึ่งที่อยู่เบื้องบน ฝุ่นละอองตัดกับแสงจนเกิดเป็นสายสีขาวยาวลงมาเป็นเส้น
เชสผลักก้อนหินออกพร้อมมุดตัวออกไป พลางเอื้อมมือให้รอสจับ รอสหันไปมองเบื้องล่างเป็นครั้งสุดท้าย

ฟุ่บ!!
บางสิ่งเคลื่อนไหวอยู่บนกำแพงในเงามืด แขนขาสีขาวทั้งสี่ของมันเคลื่อนที่ได้อย่างว่องไว เธอเพ่งมองอีกครั้ง
หัวใจของเธอแทบหยุดเต้นเมื่อเห็นแววตาสีแดงฉานจ้องตอบกลับมา รอสลนลานคว้ามือของเชสพลางพุ่งออกมาด้านนอก

         “เป็นอะไรรึเปล่า” เชสพูดพลางจับปืนกระบอกยาวในมือให้กระชับ ทั้งสองอยู่บนยอดเขาสูงชัน ไร้หนทางลงที่สะดวก
มันเป็นที่ราบขนาดพอๆกับบ้านหลังหนึ่ง พิจารณาจากร่องรอยที่หลงเหลือทำให้ระบุได้ว่าเคยเป็นลานสักการะบูชาบางสิ่ง
เสาหินขนาดถูกตั้งไว้เป็นระยะๆ ทางที่ทั้งสองขึ้นมานั้นอยู่ตรงกลางของลานพิธี
         “ฉันเห็นมันตามมา เรารีบหาทางไปจากที่นี่ดีกว่า” รอสพูดด้วยน้ำเสียงเร่งรีบ
“แล้วเราจะลงยังไงล่ะ .. นอกจากทางเดิม..” เชสหน้าซีดพลางบรรจุกระสุนใส่ปืนของตน รอสหยิบปืนสั้นขึ้นมาเตรียมพร้อม
“ตรงนี้ลงไม่ได้หรอก ตรงนี้ด้วย” เขาวิ่งสำรวจรอบๆอย่างร้อนรน “ตรงนี้ก็ชันเกินไป สูงเกือบๆกิโลเมตรนึงเลยนะนี่”

ครึ่ก... เปรี้ยง!!
กำแพงที่เชื่อมกับบันไดถูกระเบิดออก ลิงยักษ์สีขาวยังไม่เลิกตามราวีทั้งสอง ขนสีขาวส่องประกายเมื่อกระทบกับแสงอาทิตย์
เสียงคำรามของมันดังก้อนไปทั่วบริเวณ ปากของมันอ้ากว้างจนกลืนเด็กตัวเล็กๆลงไปได้ทั้งตัว

ฟุ่บ!! ครืด!!
 มันพุ่งเข้ามาจู่โจมด้วยอุ้งมือซ้าย เล็บของมันสร้างรอยขีดข่วนเป็นทางยาวบนพื้นที่รอสยืนอยู่ในไม่กี่วินาทีที่แล้ว
ความเร็วของมันช่างน่าแปลกเมื่อเทียบกับขนาดตัว ยังไม่ทันที่รอสจะตั้งตัว ตรีเพชรในมือขวาของมันก็ถูกฟันมาที่เธอ!!

เคล้ง!!
เชสพุ่งเข้ามาใช้ดาบปลายปืนสกัดใบมีดสามง่ามบนตรีเพชรเอาไว้ ไฟฉายที่ติดอยู่บนปืนแตกออกเป็นเสี่ยงๆ

       “ตายเป็นตาย งานนี้!!” เชสสะบัดปลายปืนเบนตรีเพชรให้หันไปทางอื่น ก่อนจะยิงกระสุนซ้ำเข้าไปที่จุดเดิมนับสิบนัด
โลหิตสีเข้มของยมทูตแห่งวายุไหลนองออกมาเป็นสาย เสียงกรีดร้องของมันดังไปทั่วลานสักการะ
มันถีบตัวออกก่อนจะฟื้นตัวเองด้วยอำนาจประหลาดอย่างรวดเร็ว เชสและรอสยืนหันหลังชนกันเตรียมพร้อมรับมือกับการโจมตีรอบต่อไป
ภาพพลทหารหนุ่มที่ปกป้องเธอทำให้รอสนึกถึงเหตุการณ์ นองเลือดครั้งหนึ่ง ณ วินเดิ้ลวูด  ในครั้งนั้นผู้ที่ปกป้องเธอไว้ก็คือ เฟรอดินานซ์....

“เฟรอดินานซ์ ชั้นจะไม่ยอมให้ใครต้องเป็นแบบเธออีก!!”
เสียงของหญิงสาวที่เต็มไปด้วยความแค้นดังก้อง กระสุนนัดแล้วนัดเล่าถูกยิงไปปะทะเป้าหมาย
 พร้อมกับจ้าววายุที่พุ่งเข้ามาหมายจะปลิดชีพเหยิ่อสังเวยทั้งสองที่หลงเข้ามา!!



เริ่มหมดไอเดียแล้ว  Embarrassed....

ปล. ลูกเมย์ เดี๋ยวต้องมีคนเข้าใจผิดว่าผมอายุ40+จริงๆ Evil

quill
Sr. Member
****
กระทู้: 1,765

รูปชั่วคราว


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #110 เมื่อ: 18-10-2009, 14:15:18 »

ของใหม่มาแล้ววว  Evil

แต่ว่าตกลงใครเป็นตัวร้ายสุดท้ายละเนี่ย - -



quill farm

~สมาคมเดินเล่น~

วุ้นเทพตัวที่ 9 ผ่านไป 2 ปี 5 เดือน

อยากจะบอกว่าอย่าเปลี่ยนชื่อบ่อยนักเพราะมันจะลืมว่าป็นใคร - -
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #111 เมื่อ: 18-10-2009, 14:22:09 »

อาทรัมละมั้งครับ ไม่ก็เรน่า   ไซเฟอร์จริงๆแล้วมีอดีตน่าสงสารนะ  ไว้จะย้อนความให้ละกัน จะได้ไม่จบไวเกินไป  Evil

• Who ?! •
Sr. Member
****
กระทู้: 1,969

?!


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #112 เมื่อ: 23-10-2009, 02:28:44 »

พ่อ... นิยาย ล่ะ

หายไปไหน~

ไม่ได้ ปั้ม ไม่ได้ เกรียน

แค่ เกรี๊ยน เกรียน เอง
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #113 เมื่อ: 23-10-2009, 10:36:05 »

จะเปิดเทอมแล้ว  คงจะต้องทำแบบเดิมๆอ่ะ เดือนละสองตอน  Embarrassed  เข้าใจเน้อ

/人◕ ‿‿ ◕人\
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 2,715


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #114 เมื่อ: 23-10-2009, 15:37:03 »

แม่เจ้า.... ไม่ได้อ่านนาน มาอ่านทีเดียวรวด ตาลายเหมือนกัน  Smiley

นุกดี สมกับที่รอคอยเลยนะเจ้าค่ะ.... แต่อ๊ะอ่านไปอ่านมาเริ่มสับสนแล้ว ตัวละครมามากมายเหลือล้น(เวอร์ไปแล้ว) Evil


นู๋คารินคนดีของข้าพเจ้าไปไหนแล้ว .....แงๆ... Cry

แล้วนู๋เฟิร์นไม่ออกมาสักทีนะ  laugh (แกไม่เกียว Angry)

quill
Sr. Member
****
กระทู้: 1,765

รูปชั่วคราว


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #115 เมื่อ: 22-11-2009, 14:40:58 »

อ้างจาก: หลานผู้พันคาร์เตอร์ ที่ 23-10-2009, 10:36:05
จะเปิดเทอมแล้ว  คงจะต้องทำแบบเดิมๆอ่ะ เดือนละสองตอน  Embarrassed  เข้าใจเน้อ
Evil



quill farm

~สมาคมเดินเล่น~

วุ้นเทพตัวที่ 9 ผ่านไป 2 ปี 5 เดือน

อยากจะบอกว่าอย่าเปลี่ยนชื่อบ่อยนักเพราะมันจะลืมว่าป็นใคร - -
หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์(บทที่ 28 18/10/52)
« ตอบ #116 เมื่อ: 28-12-2009, 10:22:09 »

บทที่ 29:

         ฉึก!!
    หมาป่าแดนหิมะตัวสุดท้ายถูกดาบเล่มใหญ่สับลงกลางตัว พร้อมกับร่างที่ทรุดลงของชายหนุ่มในชุดเบลดมาสเตอร์
หยาดเหงื่อซึมจากถุงมือสีเข้มสู่ด้ามดาบที่พันไว้ด้วยผ้า เขาทิ้งดาบลงพลางพยุงวิซาร์ดผู้หนึ่งขึ้นมาในอ้อมแขน

    แสงจากท้องนภาแห่งเหมันต์ฤดูสีแดงหม่นส่องลงมากระทบบาดแผลฉกรรจ์บนเรือนร่างที่แสนบอบบาง
รอยอนุสรณ์ จากการโจมตีของกลุ่มหมาป่าเมื่อครู่... โลหิตสีคล้ำย้อมหิมะโดยรอบให้กลายเป็นสีแดงอ่อน

“หลิน เจ้าต้องไม่เป็นอะไรนะ!!”  เบลดมาสเตอร์หนุ่มร้องคร่ำครวญพลางปาดเลือดออกจากรอบบาดแผลของวิซาร์ดหญิง
เหมือนว่าเขี้ยวเล็บของสัตว์ร้ายจะโดนจุดสำคัญหลายจุด ยิ่งพยายามห้ามเลือดก็ยิ่งทำให้บาดแผลช้ำหนักขึ้น

“ไซเฟอร์.. ท่านต้อง.. ดูแล...” เสียงของนางสิ้นลงพร้อมกับลมหิมะกรรโชกแรงพุ่งผ่านผ้าคลุมสีน้ำเงินเข้ม
 แขนที่ซีดราวกับหิมะห้อยลงจากห่อผ้าที่นางพยายามปกป้องมานาน ในนั้นมีทารกหญิงนอนคู้ตัวราวกับไม่ทราบถึงความเป็นไปรอบตัว

“แม้แต่ชื่อของลูก เจ้ายังไม่ทิ้งไว้ให้ข้า  เวลาของเราจะจบลงแค่นี้หรือ.. โชคชะตาเล่นตลกเสียจริง!!” นักดาบหนุ่มตะโกนด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตา
พลางโยนดาบลงปักกองหิมะที่เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ เด็กน้อยในห่อผ้าเริ่มร้องงอแงเพราะขาดไออุ่นจากแม่

“ชะรอยชาติที่แล้วเราคงทำบุญร่วมกันมาเพียงเท่านี้...” ไซเฟอร์รำพึงเบาๆพลางอุ้มทารกตัวน้อยขึ้นมา เสียงร้องแทบจะหยุดลงไปในทันที
เขาหันไปมองหิมะสีแดงอ่อนจนแทบจะเป็นสีชมพู สายตาพินิจอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะหันมาพูดเบาๆกับเด็กน้อย“ข้าจะให้เจ้า ชื่อว่า พิ้ง ละกัน...”


ปึ้ก!!!! พลั่กๆๆๆ
เสียงของวัตถุหนักๆกลุ่มหนึ่งตกลงมาแทนเสียงเรียกปลุกของใครซักคน เด็กสาวลืมตาตื่นขึ้นด้วยสีหน้างงๆว่าตนอยู่ที่ไหน
“เอ้า ลูก ทำไมหน้าซีดงั้นล่ะ?” ซิสเตอร์แนนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล พิ้งยังคงยืนเกาะขอบระเบียงพลางนึกถึงความฝันเมื่อครู่
“เห้ ตื่นสายเดี๋ยวข้าวเช้าก็หมดก่อนซะหรอก พี่ยิ่งหิวๆอยู่นา”  ชายในร่างแอสแซสซินท่าทางอารมณ์ดีกระโดดลงมาจากชั้นหนังสือ
ท่าทางกลุ่มพายุหนังสือเมื่อครู่คงจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือแมวดำในร่างมนุษย์ตัวนี้นี่เอง

“โหยยยย ไข่ดาวภาษาไรเนี่ย มันยิ่งกว่าพื้นรองเท้าอีกมั้ง??” ไฮค์ตะโกนลั่นห้องครัว  ส้อมที่ไฮค์ใช้จิ้มไข่ดาวชิ้นนั้นงอเพราะถูกกดติดกับจาน
“อะไรนะ?!” บาสโมโหพลางกระโดดเหยงๆ “ผมไม่ได้คิดจะเป็นพ่อครัวซะหน่อย ทำได้แค่นี้ก็บุญแล้ว”
“ชั้นว่ามันเหมือนพื้นรองเท้าจริงๆล่ะบาส แห้งแบนๆกรอบจนเหนียว ขอเบียร์หน่อยได้มั้ย?” พาลาดินหนุ่มเรียกร้องหาน้ำประทังชีวิต
“ว่าแต่ ได้ข่าวคราวของรอสกับเชสบ้างมั้ย นักล่าสมบัติกับทหารของทางการที่ไปสำรวจวิหารจตุรกรอ่ะ”
เพนเงยหน้าขึ้นจากจานพร้อมวางช้อนส้อม ความสนใจของเขาเริ่มต้นจากคำว่าวิหารจตุรกร “ยังไม่กลับมาเลยนิ เกิดอะไรขึ้นรึเปล่านะ”
    “รอสเป็นสุดยอดนักล่าสมบัติ ส่วนเชสก็เป็นยอดฝีมือผู้นำการบุกจู่โจม พวกเค้าคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง”
บาสเอ่ยอย่างใจเย็น พลางเงยหน้ามองพิ้งที่กำลังค่อยๆฉีกไข่ดาวออกเป็นส่วนๆ
      “อย่าใช้ภาพพจน์ตอนอยู่กับกองทัพเป็นมาตราฐานสิลูก” แนนเตือนอย่างใจดี อีกมือแอบเอาไข่ดาวลงไปใต้โต๊ะ มัดจังค่อยๆคาบไปกิน
มันกัดเข้าไปได้คำเดียวก่อนจะเมินอย่างไร้เยื่อไย  “ไข่ดาวกำลังจะกลายเป็นพื้นรองเท้าอีกแล้วนะลูก”
 ว่าแล้วบาสก็รีบตักไข่ดาวที่ไหม้เกรียมใส่จานด้วยท่าทีร้อนรน
   

     ชายหนุ่มแหงนหน้ามองดวงอาทิตย์อันร้อนแรง ถือถุงอาหารขนาดใหญ่หลายถุง
“ใกล้จะสิ้นปีแล้ว ทำไมมันร้อนงี้ฟะ” แมวหันไปบ่นกับเด็กหนุ่มข้างตัวที่เดินตัวปลิวตามมาเรื่อยๆ
 แอสแซสซินหนุ่มออกแรงแทบหมดตัว ยัดถุงอาหารไปไว้บนหลังม้าสีน้ำตาลตัวเขื่อง ไม่นานสงสัยเขาต้องขอให้เพนเสกช้างมาขนอาหาร....

“เอ้า พ่อหนุ่ม บ้านเธอมีงานเลี้ยงหรือ ถึงซื้อเยอะขนาดนี้?” อาแป๊ะขายผลไม้ร้องทักทายเขา
“เทศกาลขอบคุณพระเจ้าพึ่งผ่านไปไม่ใช่รึไง หรือว่าวันเกิดใครหนอ?”

แมวไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้ารีบจูงม้ากลับไปที่โรงแรม บาสกระโดดขึ้นไปบนกองเสบียงบนหลังม้า การคุมม้าไม่ให้เดินเฉนั้นไม่ง่ายเลย
แต่การทำให้ม้าดินไม่กลับไปเป็นธุลีธาตุมันยากยิ่งกว่า...

  คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอคนคุ้นเคยที่หน้าประตูโรงแรม? ชายทั้งสองหยุดมองผู้มาเยือน

“เฮ้ หวัดดีสหาย~!” ไรอัน ทหารยามซึ่งมีหน้าที่เฝ้าบ้านที่มีขนาดใกล้เคียงกับพระราชวังของเซอร์อเล็กซ์เอ่ยทัก
“ไรอัน? ท่านมาได้ไงนี่ มีธุระอะไรหรอ?” บาสกระโจนลงมาจากหลังม้าพลางค่อยๆดึงถุงอาหารลงมา

ฟุ่บ!
ม้วนกระดาษแผ่นหนึ่งพุ่งออกมาจากมือของไรอันที่ขยับเพียงเล็กน้อย แมวคว้ามันไว้ก่อนที่มันจะชนจมูกของเด็กหนุ่ม
“อ่านซ้า~ บะบาย” ว่าแล้วไรอันก็เดินออกนอกกำแพงเมืองไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้ทั้งสองยืนงง
 เวลาผ่านไปซักพักบาสจึงได้สติ ก่อนจะลากถุงอาหารเข้าไปในห้องของตน

      ....ด้านนอกกำแพงเมืองเซาท์เทิร์นฟอร์ทบังเกิดลมหมุนสีทมิฬขนาดใหญ่
 ร่างจำแลงของพันตรีไรอันสลายไป พร้อมด้วยร่างของหญิงในชุดคลุมสีดำสนิทมาแทนที่
นางยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย ก่อนจะกลายเป็นเส้นไหมสีดำสนิทกระจายไปในอากาศธาตุ


ปึ้ง!!
ถุงอาหารจำนวนมากถูกวางลงบนพื้นห้อง พร้อมกับฮอล์ลอฟที่ตบโต๊ะด้วยสีหน้ายิ้มแย้มกึ่งโกรธเคือง
“ให้มันได้งี้ดิหลานรัก .. แกซื้อโซดามา แต่....  แกลืมซื้อเบียร์มาให้ช้านนนนนนนนน”
“เอ่อ.. ร้านเหล้าไม่ขายเบียร์ให้กับเด็กอายุต่ำกว่าสิบแปด และไม่จำหน่ายในช่วยเทศกาลครับผม” บาสพูดเสียงเรียบ พลางจัดของลงไปในเป้ใบใหญ่

คิ้วของเพนถูกกระตุกมาชนกัน ดูท่าเนื้อหาของจดหมายที่เขาอ่านอยู่ท่าทางจะไม่ใช่เรื่องที่ดีซักเท่าไร...
“จะบ้าตาย รอสกับเชส หายสาปสูญไปในวิหารจตุรกร ทางเข้าถูกปิดตาย หินถล่มลงมาแบบนี้ คาดว่าจะถูกทำลายทั้งวิหาร”

“ยังต้องรออะไรอีกมั้ย?” ฮอล์ลอฟพูดพลางคว้าหอกด้ามยาวของตนขึ้นมาควง สายตาเหลือบไปเห็นใบหอกที่สูญหายไปอย่างไร้ร่อยรอย
“หอกชั้น เกิดอะไรขึ้นกับม๊านนน” ฮอล์ลอฟที่พึ่งจะทำมาดเท่มาหยกๆเกิดอาการกระตุกเมื่อหาใบหอกของตนไม่เจอ
บาสหน้าซีดพร้อมกระตุกมือคว้ากระทะเหล็กไปซ่อนไว้ที่หลังเป้
“ก็ เมื่อเช้าบาสมันจะทำอาหารให้กิน แต่กระทะโดนใครเอาไปวางไว้ไหนไม่รู้ ข้าก็เลยลองวิชาเล็กน้อย”
 เพนขำอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับวาดวงเวทย์ในอากาศ ฮอล์ลอฟวิ่งไปทั่วห้องเพื่อหากระทะที่หลอมจากใบหอกของเขา
ทุกอย่างยังดำเนินไปได้ด้วยดี โดยที่ไม่มีใครรู้เลยแม้แต่น้อย ว่ากำลังถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลา
สายลมอ่อนๆพัดผ่านผ้าม่านพร้อมกับผีเสื้อสีดำที่เกาะริมหน้าต่างมานานบินหายไปในแสงของดวงอาทิตย์ยามเช้า


   ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ฮอล์ลอฟนำทางทุกคนฝ่าทะเลทรายเข้าไปบริเวณซากอารยธรรมเก่าแก่ของชนเผ่าอสุรา
และแล้วก็ถึงเวลาพักหลังจากเดินทางมานานแสนนาน...
บาสแสนจะปลื้มใจเมื่อเห็นทุกคนยอมให้เขาทำอาหารแก้ตัวอีกมื้อ แม้กระทั่งพิ้งที่นั่งนิ่งเงียบ... เงียบเกินไปจนเริ่มน่ากลัว

 “กินข้าว!!”  เด็กสาวคำรามเสียงโหด มือคว้าหมับเข้าที่คอเสื้อของเขา “กินข้าว! กินข้าว!! ชั้นอยากกินแกงกระต่ายป่า!!”
...กินข้าวก็กินข้าวสิแม่คู๊ณ  ทำไมต้องทำเหมือนจะกินเนื้อคนด้วย...
“คุณไม่ได้บอกผมว่าจะกินแกงเนื้อ” เขาตอบตะกุกตะกัก “ผมลืมซื้อหอมใหญ่มา”
“ใส่กระเทียมแทนเซ่!! แง่งงง” จากสาวน้อยที่แสนน่ารัก แปรสภาพเป็นมือสังหารกระต่ายทันทีด้วยความหิว
ตุ๊บ ....
 เจ้าตัวขาวปุกปุยชะตาขาดดันกระโดดออกมาซะงั้น... ให้ตายสิ โลกนี้ช่างโหดร้ายแท้...
ฉัวะ!!
กระต่ายน้อยที่ไม่ทันระวังตัวถูกคมดาบเฉือนผ่านแบบไม่ทันจะร้องซักแอะ พร้อมบริการตวัดปลายดาบส่งร่างของมันปลิ้วลิ่วขึ้นสูงเหนือหัว
 เลือดสีแดงยังไม่ทันจะตกถึงพื้น แม่คุณใช้เท้าตวัดชามเหล็กไปรองเลือดมันซะก่อน...
พิ้งเชิดหน้าไม่มองชามใส่เลือดพลางแก้ตัวว่าไม่ได้กลัวเลือด แต่กำลังสะใจ นางมารชัดๆ...
...สงสัยจะต้องเอาหม้อขนาดต้มวัวได้มาใช้แล้ว  บาสถึงกับหน้าซีด เขาหั่นผักอย่างเอาเป็นเอาตายอยู่หลังหินก้อนใหญ่ที่ใช้ต่างห้องครัว

“แกงเนื้อกระต่าย! แกงเนื้อกระต่าย! แกงเนื้อกระต่าย!!!!” เสียงดังโครมใหญ่ปะทุขึ้น เด็กหนุ่มรีบชะโงกหัวข้ามก้อนหินไปดู
...หินแผ่นใหญ่ที่ใช้เป็นโต๊ะอาหารร้าวเป็นรอย ชามของคนอื่นแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ.... ที่น่าชื่นชมคือช้อนน้ำแกง อาวุธของสาวน้อยไม่บุบเบี้ยวเลย
แม้กระทั่งจานก็ยังไม่เสียหาย

“มองอะไร!!” พิ้งระเบิดโทสะอย่างยากที่จะพบเห็น “ชั้นอยากกินข้าว!”
       เด็กหนุ่มรีบหันกลับไปเร่งไฟต้มน้ำให้เดือดโดยไว เขาคงไม่อยากเป็นแบบโต๊ะหินตัวนั้น แม้เพนจะซ่อมแซมจานชามทุกใบด้วยเวทย์มนต์แล้ว
...ชะรอยจอมอสูรจะเข้าครอบงำเด็กสาวที่แสนน่ารักซะแล้ว กระต่ายเป็นๆยังเชือดได้หน้าตาเฉย....

ทันทีที่อาหารถูกวางลงบนแผ่นหิน ทั้งข้าวและแกงกระต่ายหายวับไปด้วยความเร็วอันน่าตกใจ...
ฮอล์ลอฟมองอย่างตกตะลึง แม่คุณกินอีท่าไหนนะนั่น ขนาดช้อนยังไม่เปราะน้ำต้มเนื้อ แม้มัดจังจะอยู่กับพิ้งมานาน แต่มันก็ยังผงะ

“บาส กินเถอะลูก” แนนกระซิบเบาๆ
“กิน?” บาสที่กำลังตะลึง เหม่อถามอย่างงงๆ “ผมดูพิ้งกินจนท้องจะแตกตายแทนแล้ว”
ในที่สุด อย่างที่ทุกคนคาดการณ์ไว้ล่วงหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย อารมณ์ของสาวน้อยก็ดีขึ้นเรื่อยๆตามจำนวนกระต่ายที่ถูกสังเวยไป
“พิ้งจ้า พิ้งกำลังกินจนลำไส้กระเพาะอาหาร ตลอดจนร่างกายกำลังจะพังพินาศนะจ้า ” แม้ไร้ประโยชน์เขาก็ต้องเตือนนาง

“บาสไม่รู้หรอ กินอิ่มแล้วจะอารมณ์ดี” ผิดคาด.. นางมารเมื่อครู่กลายเป็นนางฟ้าในฉับพลัน พิ้งคว้าน้ำส้มในเหยือกมาเท พลางยื่นให้เขาดื่ม
บาสส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างหมดแรง พิ้งจึงดื่มลงไปเอง.. สีหน้าเริ่มบิดเบี้ยวประหลาดๆ...

“ไม่ใช่งี้อ่า โอ๊ยยยยยย!! ชั้นอยากดื่มไวน์แดง!” พิ้งผลักเหยือกน้ำส้มคั้นสดๆออกไป “ของแบบนี้จะกินลงได้ไง ชั้นจะเอาไวน์ชั้นเยี่ยมปี1916!!”
มัดจังงับกระตุกแขนเสื้อของบาสที่ทรุดตัวลงกับพื้นเป็นเชิงว่าอย่าใส่ใจ  เขาทำหน้างงๆพลางลูบหัวแมวตัวน้อย

     “จากไม่อร่อยสุดๆ พัฒนาเป็นไม่อร่อยเฉยๆแล้วสินะ”
ฮอล์ลอฟที่เริ่มกินอิ่มหัวเราะอย่างอารมณ์ดีพลางตั้งหน้าตั้งตาเตรียมของและอาวุธ ... ราวกับจะไปบุกเมืองทรอย ...
“จะไปตอนนี้เลยรึ วิหารจตุรกรน่ะ?” 
เพนเอ่ยถามอย่างแปลกใจ สัตว์ป่าในเวลากลางวันของที่นี่มันน่ากลัวกว่าตอนกลางคืนหลายเท่านัก ต่างกับที่อื่นๆซึ่งสัตว์ป่าจะหากินเวลากลางคืน
“บ้าดิ ชั้นแค่เตรียมของเฉยๆ หัวค่ำแล้วเราค่อยไปกัน จะทำไรก็ทำไป๊” หลังจากโดนฮอล์ลอฟแว้งกัด เพนก็พยักหน้าหงึกๆเป็นเชิงเข้าใจ


เด็กหนุ่มเดินมานั่งบริเวณลานโล่งบนยอดเขา ...ไม่สิ กลางหุบเขาก็มีหน้าผ้าสูงเกือบครึ่งกิโลเมตรแล้ว ดูผิวเผินพิ้งอาจจะอารมณ์เสียง่าย
แต่ลึกๆนางเป็นคนนิสัยดีมาก ...มากพอที่จะมัดใจใครซักคนได้ง่ายๆ...
“บาส.. นายคิดว่าอะไรสำคัญที่สุดสำหรับฉัน?”
เสียงของพิ้งดังขึ้นเบื้องหลังเด็กหนุ่ม เขาสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะตอบไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ...
“มีอาหารกิน?”
พิ้งมองเขาอยู่ครู่ใหญ่ จนบาสคิดว่าตัวเองตอบผิด... “มันก็ใช่ล่ะนะ มีครอบครัวที่ดี มีคนทำอาหารให้กิน ที่สำคัญ...แม่”
“แม่?”
“ใช่ แม่ของชั้นเสียไปตั้งแต่ชั้นยังเป็นทารกแดงๆ พ่อบอกว่าพ่อเดินฝ่าหิมะเป็นวันๆ กว่าจะพาชั้นกลับมาได้”
“แล้ว..ตอนนี้พ่อเธออยู่ไหนหรอ?”  เด็กหนุ่มยิงคำถามไม่ถูกเวลา
“อิตาบ้านี่!! ไซเฟอร์ไงพ่อของชั้น นายไม่เคยจำอะไรเลยรึ?” ว่าแล้วเด็กสาวก็หันหลังกลับและออกตัววิ่งไปอย่างรวดเร็ว
“ผิดอีกสินะ.. ชั้นผิด..” เสียงรำพึงเบาๆลอยไปตามสายลมที่พัดมาจากสถานที่บางแห่ง
กลิ่นของความเก่าแก่ กลิ่นอายของกระแสจิตชั่วร้ายเจืออยู่ในคลื่นลมที่พัดมา หากแต่ไม่มีใครรับรู้.....


“เฮ้.. ตื่น...” เสียงทุ้มต่ำของใครซักคนดังขึ้น พร้อมกับด้ามหอกกระทุ้งเข้าที่ร่างของเด็กหนุ่มที่นอนอยู่บนพื้น“ตื่นเว้ยยย ค่ำแล้ว”

...บรรยากาศยังคงเงียบสงบ ไร้ซึ่งสุ่มเสียง แม้แต่จิ้งหรีดก็ยังไม่คิดจะร้องซักแอะ...

ฮอล์ลอฟเครียดหนักกว่าเดิมเมื่อสายตาทุกคู่ล้วนมองมาที่เขา.. แหงล่ะ ชายคนเดียวยังปลุกไม่ได้ ขี้เกียจแบกไปด้วยจริงๆ!
เขาวาดนิ้วเป็นยันต์จำลองบนหน้าผากของแมว มองซ้ายมองขวาหาอะไรซักอย่าง ก่อนจะคว้าหมวกเหล็กใบเก่ามาแปรเป็นกระดิ่ง

กริ้ง~
เป็นดังคาด.. พอสั่นกระดิ่ง แมวก็กระโดดผลุงขึ้นมา

เพนทนดูต่อไปไม่ไหว “ให้ข้าปลุกให้ละกัน! จับคนดีๆมาเป็นผีดิบ คิดได้ไง …. ลูกไฟเวทย์!!” ว่าแล้วศรอัคคีลูกจิ๋วก็พุ่งเข้าปะทะต้นแขนของแมว
ชายหนุ่มสะดุ้งโหยงพร้อมกับตื่นจากภวังค์
“อ๊ากก บ้าเอ้ย เสื้อเป็นรูเลย” ยังไม่ทันขยี้ตาก็โวยวายซะลั่นป่า เหล่านกกาที่พึ่งเข้ารังต่างกระเจิดกระเจิงไปคนละทาง


      “ชาวอสุรามีเวทย์มนต์งี้ด้วยเรอะ?” เดินทางพร้อมๆกับฟังฮอล์ลอฟเล่ามานานเพนก็เริ่มสงสัย
แหงล่ะ.. อะไรกันแม้กระทั่งเวทย์ที่ใช้เคลื่อนย้ายสถานที่ยังจะมี มันไม่ใช้จอมเวทย์เป็นร้อยเลยหรือ
“โห…”  บาสตื่นตกใจ “ถ้าพวกนั้นคิดจะย้ายเมืองหนี เราไม่ตามหาจนแย่หรอกหรือ”
“อย่ากังวลไปเลย สมัยนี้จะเหลือชนเผ่าอสุราที่มีพลังเวทย์มากพอรึเปล่าเรายังไม่รู้เลย”

เฝ้าดูอย่างเย็นชาอยู่หลายนาที สุดท้ายไฮค์ก็ทำท่าจะพูด ... ถ้าไม่โดนใครขัดคอไว้ซะก่อน...
“ที่จริงนะ.. แกไม่ต้องคิดมากก็ได้” นินจาแมวดำเอ่ยเบาๆกับไฮค์ที่หันมาฟังเพราะนึกว่าจะให้คำปรึกษาในเรื่องไหนซักเรื่อง
“นี่มันยุคสมัยไหนแล้ว ชอบก็คือชอบ เพศมันไม่เกี่ยวซะหน่อย แกกับเพนน่ะนะ!!!” แมวดำหนุ่มพูดด้วยท่าทางยียวนกวนประสาทพลางพิงต้นไม้
  ฉับ!!!
ดาบใหญ่ของไฮค์เหวี่ยงลงกลางต้นไม้ข้างตัวแมว “วิปริต! เข้าใจว่าคนทั้งโลกเหมือนตัวเองเรอะ???” ไฮค์ค้อนไปหนึ่งวงก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตาต่อ
“มันก็ยังไม่เท่าใครบางคนละมั้ง ที่เอาน้ำยาล้างห้องน้ำไปขัดดาบน่ะ?!” ว่าแล้วไฮค์ก็ทนมาถึงจุดสิ้นสุด โทสะบันดาลให้ร่างกายวิ่งไล่สับแมวนรก
“แก ต๊ายยยยยยยย!!!!”

“หนุ่มๆดูรื่นเริงกันจริงๆน้า” แนนชี้ให้พิ้งมองตามพลางหัวเราะอย่างร่าเริง อีกมือก็ร่ายเวทย์สนับสนุนพละกำลังให้ไฮค์ที่กำลังวิ่งนำหน้าไป

บาสกับฮอล์ลอฟสำรวจหินก้อนใหญ่ที่ปิดทางเข้าวิหารอยู่ หากแต่ไม่ได้สัมผัส ดูเหมือนมันจะปกคลุมไปด้วยพลังบางอย่างที่แข็งแกร่ง
อาจจะเพราะยังไม่ทันตั้งตัวจากพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ไฮค์เลยทำดาบเล่มใหญ่หลุดมือพุ่งไปที่หลังของชายจอมกวนเบื้องหน้า

“เฮ้ยระวัง!!!”

“อ่าโช๊ะ!! แอ๊ก…” แมวสะดุดขาตัวเองล้มหน้าทิ่ม ดาบของไฮจึงพุ่งเลยร่างของโจรหนุ่มไปปะทะก้อนหินใหญ่แทน

ฟุ่บ!!
... ผิดคาด.. ดาบไม่ได้ปะทะกับก้อนหิน แต่มันทะลุเข้าไปโดยแทบจะไร้เสียง??! ฮอล์ลอฟกับบาสทำหน้าเหวอราวกับเจอไดโนเสาร์วิ่งผ่าน

“หา?! อะไรกันเนี่ย??” บาสลองเอามือยื่นออกไป ปรากฏว่าหินที่เห็นนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา มันสลายไปทันทีที่โดนมนุษย์สัมผัส
คลื่นวิญญาณบางเบากระจายออกไปเป็นวงกว้างโดยไม่มีใครรับรู้ นอกจากบุคคลเพียงสองคน... เพนและผู้สร้างภาพลวงตานี้...

“โว้ว จะลองเข้าไปเลยม๊าย??” แมวลุกขึ้นปัดฝุ่นพลางยิ้มร่าโดยไม่สนรังสีอำมหิตที่แผ่ออกมาจากบุคคลเบื้องหลัง
“ลองเข้าไปคนแรกเลย ไป๊!!!” ว่าแล้วแขนของไฮค์ก็ล็อคคอชายหนุ่ม ก่อนจะโยนตัวเข้าไปในทางเข้าวิหาร

ตุ๊บ!!
ผิดคาด... ใครบางคนรับร่างของจอมโจรแมวดำไว้ก่อนที่เขาจะกระแทกพื้นในวิหาร... แสงไฟจากปลายไม้เท้าของเพนส่องสว่างไปทั่วปากทางเข้า
แมวตกลงไปในอ้อมแขนของบางสิ่ง.. ร่างของบางสิ่งที่เต็มไปด้วยโลหิต .. ในเงามืดข้างๆปรากฏแววตาสีแดงฉานราวกับปิศาจ
พร้อมด้วยเสียงคำรามต่ำๆตลอดเวลา.... สติของชายหนุ่มแทบขาดผึง สิ่งที่เขากำลังประสบนั้นคือ?!




ขออภัยที่หายไปนาน วันนี้ได้เวลามาปัดฝุ่นเล็กน้อย  Evil

จากไม่สนุกสุดๆ จะกลายเป็น ไม่สนุกเฉยๆแล้ว นิยายเรื่องนี้  laugh

PinkPower
Full Member
***
กระทู้: 508

l3LooDy PiNKy เวลาเปลี่ยน คนเปลี่ยน


Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์บทที่ 29 (28/12/52)
« ตอบ #117 เมื่อ: 28-12-2009, 14:13:26 »



  Cry  พิ้ง....ทะมัยอารมณ์แปรปรวนงิ  แถมยังโหดสุด เชือดกระต่ายเข้าไปได้ไง ..   

  คนแต่งใจร้ายไปล่ะ  Angry     

/人◕ ‿‿ ◕人\
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 2,715


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์บทที่ 29 (28/12/52)
« ตอบ #118 เมื่อ: 29-12-2009, 19:10:55 »

งิ กว่าจะอัพเล่นเอาเกือบลืมพี่แมว อิอิ

หลานผู้พันคาร์เตอร์
Asura Tester
Hero Member
*
กระทู้: 2,256

เลื่อนไม่สิ้นสุด .. นิยายฉัน


เว็บไซต์
Re: มือใหม่หัดเเต่งนิยายเรื่องยาว:ปฐมบทแห่งสงครามศักดิ์สิทธิ์บทที่ 29 (28/12/52)
« ตอบ #119 เมื่อ: 29-12-2009, 20:25:02 »

บทต่อไปยังไม่เสร็จ คาดว่าปีใหม่นี้น่าจะมีเวลาเขียน  Evil
ร่างของอาทรัมลอยขึ้นกลางอากาศ เลือดเริ่มทะลักออกมาจากบาดแผล รอยเลือดดูราวกับเส้นด้ายสีแดงบนเรือนร่างที่ผุดผ่องประดุจหิมะ
“พวกเจ้าจงไล่ล่าสังหารมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม” อาทรัมเริ่มบริกรรมคาถาอีกครั้ง
 เพนที่กลายเป็นหินอยู่ครึ่งตัวตะโกนอย่างตกใจ “อย่าให้นางร่ายจบ อย่าให้นางทำสำเร็จ หยุดนางไว้!!”
 “จากนั้นเราจะเปิดศึกกับเทวีแห่งแสงผู้เป็นพี่ของข้า” บรรยากาศในวิหารดูเหมือนจะกลายเป็นของแข็ง
ทุกสรรพชีวิตล้วนแต่สงบนิ่ง ไม่คิดแม้แต่จะหายใจ   “จวบจนวันโลกาวินาศจึงยุติ!!!”

เอาตัวอย่างมาให้อ่านนิดๆ มากไปเดี๋ยวไม่สนุก(จากที่เคยไม่สนุกสุดๆอยู่แล้ว)  laugh 

ฝันดี~!  Cool

ป้าย:
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 12