บทที่ 30 :
“เฮ้ยยยยยยยยย อ๊ากก ผีหลอกกก!!” เท้าของแมวหนุ่มพาร่างกายเผ่นออกมาจากวิหารโดยไม่ต้องรอคำสั่งจากสมอง
ตามด้วยร่างเปื้อนเลือดสองร่างที่เดินออกมา ... ราวกับพระเอกนางเอกจากหนังสยองขวัญก็ไม่ปาน ...
“ขอบคุณพระเจ้า นึกว่าจะต้องตายอยู่ในวิหารนั่นซะแล้ว...” ทหารในเครื่องแบบขาดวิ่นชูแขนขึ้นบิดขี้เกียจด้วยท่าทีเหนื่อยล้า
“ทางการส่งพวกท่านมาหรอ? แล้วไอดาบนี่มันของใครกัน? มันแทบจะปักเข้ากลางตัวชั้นแล้วนะ รู้มั้ย?!!” ไม่ทันทักทายนักล่าสมบัติสาวก็บ่นทันที
“เชส กับรอส ใช่รึเปล่า?” เพนทักทายด้วยน้ำเสียงเรียบๆพลางหยิบม้วนคาถาหน้าตาแปลกๆขึ้นมา
“อื้อ ว่าแต่พวกเจ้าเปิดหินที่ทางเข้านั่นได้ไงนิ ผลักจากด้านในมันไม่ขยับเลย แถมพอลองใช้ระเบิด ผลที่ได้ก็เป็นเงี้ย..”
เชสชี้ไปที่ลำตัวของตน สะเก็ดระเบิดคงกระจายมาโดนพวกเขาด้วยตอนพยายามเปิดถ้ำ
“คงจะเป็นเวทย์มนต์ของใครซักคนล่ะนะ เอาเป็นว่า โชคดีละกัน”
ม้วนคาถาใบจ้อยถูกโยนเข้าหารอสกับเชส ร่างของทั้งสองกลายเป็นแสงหายวับไปทันที ริมฝีปากสีชมพูอ่อนของรอสทำท่าจะบ่น ... หากแต่ไม่ทัน ...
“อะไรน่ะ? อย่าบอกนะเจ้าทำมันขึ้นมา” ฮอล์ลอฟสะกิดไหล่เพนด้วยท่าทีสงสัย แหงล่ะ ม้วนคาถาเคลื่อนย้ายมันทำง่ายๆซะที่ไหน
“อย่างที่ท่านเข้าใจล่ะ พอดีเมื่อคืนว่างๆเลยลองเขียนเล่นๆ หวังว่ามันจะส่งพวกเขาไปที่ป้อมปราการกลางทะเลทราย”
“เฮ้ย แล้วถ้ามันส่งพวกนั้นไปในป่าลึก หรือในหุบเขา แกจะทำไงนี่” เป็นน้ำเสียงร้อนรนอย่างเห็นได้ชัดซึ่งนานๆจะได้ยินจากปากของชายวัยกลางคน…
“ข้องใจในฝีมือข้างั้นรึ? พลังเยือกแข็ง!!”
เสียงร่ายเวทย์ดังขึ้นจากร่างใต้ผ้าคลุมจอมอาคมอย่างไร้ปราณี พร้อมกับผีตาโขนสามตัวที่ทำท่าจะออกมาจากวิหารจตุรกรถูกแช่ทั้งเป็น
เพล้ง!!
หุ่นผีแช่แข็งแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆด้วยแรงกระทบอันเบาบางจากชายผ้าคลุม เพนอ้าปากหาวอย่างเบื่อหน่ายพร้อมเดินนำทีมไปเบื้องหน้า’
ฮอล์ลอฟกับเพนเดินนำทุกคนไปในทิศทางที่มีกระแสพลังบางอย่างปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่อง
เมื่อเข้าไปใกล้จึงพบกับอาณาเขตของอาคมที่แสนจะเบาบางแห่งหนึ่ง พิจารณาด้วยสายตาของเพน มันดูราวกับใยแมงมุมที่มีน้ำค้างเกาะ
มันทำได้เพียงกันสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆ พวกผีตาโขนสามารถผ่านได้อย่างสบาย ร้ายกว่านั้นคือมนุษย์แทบไม่รู้สึกถึงตาข่ายอาคมนี้เลย....
ในความมืด สายตาของแมวดำหนุ่มสะดุดกับร่างของบางสิ่ง .... คล้ายกองผ้าสีดำกองอย่างไร้ระเบียบอยู่บนพื้น... เขาเมินเฉยพลางเดินเตะฝุ่นใส่
ผลั่ก!!
“โอ้ย!!” ด้วยความซุ่มซ่ามของโจรหนุ่มที่บังอาจไปเตะกองผ้านั้น บันดาลโทสะให้บางสิ่งลุกขึ้นมาทุบหัวเขาอย่างแรง
“ข้าไม่ได้ทำผิดนะโว้ย มาทำแบบนี้เดะปั๊ด ...” กำปั้นที่เงื้อสุดมือของชายชราผู้นอนกองกับพื้นเมื่อครู่ชะงักลง
สายตาของเขาประสานกับหนึ่งในสมาชิกของคณะเดินทาง ....
“ฮอล์ลอฟเพื่อนยาก!!”
“ทิม?! แกยังไม่ตาย??”
ดูเหมือนฟ้าจะเล่นตลกให้ทั้งสองมาพบกัน เพื่อนเก่าเพื่อนแก่กอดกันกลมด้วยความคิดถึง
ถ้าไม่ใช่ว่าเดินมาจนอาหารย่อยไปหมดแล้ว มีหวังได้เห็นทุกคนคายของเก่ากันเป็นแถบ ... ชายสูงอายุกอดกันแบบนี้ไม่ปกติจริงๆ ...
.... กระเพาะอาหารจะพังก็งานนี้ ....
“ข้าก็ว่าแล้ว ไอตาข่ายบ้าบอนี่มันคุ้นๆตาอยู่” ฮอล์ลอฟพูดพลางเอาหอกเขี่ยบางสิ่งกลางอากาศที่คนอื่นมองไม่เห็น
“ข้าก็แค่อยากจะพักเท่านั้นเอง วิ่งไล่จับกับหนุ่มทหารกับสาวน้อยนั่นตั้งนาน” บุรุษนามว่าทิมเอ่ยอย่างติดตลก
“พัก? แกไว้ใจไอเขตอาคมนี่งั้นรึ?” ฮอล์ลอฟทวนถาม
“ชั้นสร้างไว้กันแมลงต่างหาก เดิมทีพวกวิญญาณนั่นมันก็ไม่กล้าเข้าใกล้ชั้นอยู่แล้ว”
แววตาของทิมที่สะท้อนแสงไฟจากไม้เท้านั้นเป็นประกายด้วยความอารมณ์ดี
ฮอล์ลอฟยืนพินิจชายชราอยู่ชั่วครู่พร้อมๆกับปล่อยให้ทุกคนงงเป็นไก่ตาแตกต่อไป
“เอ่อ... ลุงๆทั้งสอง ช่วยอธิบายให้กระจ่างหน่อยได้มั้ย ว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น?” สุดจะทนจึงเอ่ยกล่าว เหตุการณ์เบื้องหน้ามันเหนือกว่าที่ชายหนุ่มจะเข้าใจ
“อ่อ.. ตานี่มันเป็นเพื่อนของชั้นเอง คล้ายๆไพโรอ่ะแหละ แต่มันอัญเชิญเวนทัสโดยใช้ตัวเองเป็นของสักการะ ไปๆมาๆเลยเป็นลิงลมเฝ้าวิหาร”
ฮอล์ลอฟขำอย่างอารมณ์ดี ทิมยืนยืดอกอย่างภูมิใจที่อย่างน้อยก็ท่องบทอัญเชิญเทพได้แม้จะแลกกับบางสิ่ง แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะทำได้
“ลิงลม?” บาสนึกไปถึงลิงตัวน้อยสีขาวๆดูน่ารัก ก่อนจะถูกเสียงอุทานอย่างตกใจชวนให้มองเบื้องหน้า ...
....จุดๆเดิมที่ลุงทิมเคยยืนอยู่ กลายเป็นลิงยักษ์สีขาวตัวใหญ่กระโดดเหยงๆจนทำให้ฝุ่นตกลงมาเป็นกอง
ทุกคนไม่เว้นแม้แต่ฮอล์ลอฟยืนอ้าปากค้างอย่างตกใจ... “เมื่อก่อนแกไม่ตัวใหญ่แบบนี้นี่?”
ฟุ่บ!!
หมอกสีขาวกระจายหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับร่างชายชราที่มาแทนลิงขาว “แหงดิ อยู่มาเป็นชาติจะให้ตัวขนาดเท่าเดิม?”
“เออ.. มันก็จริง ว่าแต่เกิดอะไรขึ้นแกถึงไปวิ่งไล่จับทหารของทางการกับนักล่าสมบัตินั่น?” ฮอล์ลอฟเอ่ยถามอย่างงุนงง
“ข้านึกว่าพวกนั้นตั้งใจจะมาทำร้ายข้า สู้กันเป็นชาติจนปางตายกว่าจะเข้าใจเหตุผลที่ถ่อสังขารมาถึงที่นี่”
เขาชูท่อนแขนให้ดูบาดแผลจากกระสุนที่ยังไม่หายดี แต่มันก็ฟื้นสภาพได้ไวกว่าคนปกติเป็นสิบๆเท่า ...
“เอาเถอะ แกมันหนังเหนียวอยู่แล้ว” ฮอล์ลอฟตบบ่าเพื่อนเก่าอย่างอารมณ์ดี
“ว่าแต่แกนำทางพวกเราไปด้านในสุดของที่นี่ได้มั้ย ข้าว่ามันต้องมีอะไรผิดธรรมชาติแหงๆ ไอพลังเวทย์ที่ฟุ้งกระจายอยู่นี่ ...”
“ไม่ลำบากนักหรอก”ชายชราถอนผมตัวเองออกมาโปรยสองเส้น มันกลายเป็นร่างแยกของเขา ... ราวกับไซอิ๋วไม่มีผิด ...
“ให้พวกข้านำท่านไปละกัน” ทิมจำลองคนซ้ายเอ่ย พร้อมๆกับอีกคนที่เดินนำไปก่อน
“ขอข้าพักฟื้นอีกหน่อยละกัน สองตัวนั้นแข็งแกร่งพอตัวอยู่” ว่าแล้วทิมก็ล้มตัวลงนอนต่อ เสียงกรนสนั่นจนค้างคาวบินลงมาด้วยความตกใจ
ระหว่างทางแทบไม่มีสิ่งใดมากล้ำกลายคณะเดินทางเลย พิ้งเดินเกาะแขนแนนอย่างสบายใจ บาสควงขวานเล่นซักครู่ก่อนจะบ่นว่าปวดแขน
ไฮค์เดินเหยียบส้นรองเท้าแมวเป็นระยะๆ จนเขาหน้าคว่ำไปกระแทกกับบางสิ่งในหลืบก่อนถึงห้องกว้าง ...
“อุ๊ยตาย ... หนุ่มน้อยระวังหน่อยสิ” เป็นหญิงสาวในชุดคลุมสีดำที่หัวเราะเบาๆพร้อมกับโอบร่างของจอมโจรแมวดำไว้
เขาหน้าซีดราวกับเห็นผี เสียงหัวเราะของทุกคนดังลั่น นอกจากผู้เคราะห์ร้าย จะมีก็แต่ฮอล์ลอฟกับเพนที่ไม่ขำไปด้วย ...
“แมว!! ถอยออกมา” ฮอล์ลอฟอุทานอย่างสุดเสียง แสงไฟเผยให้เห็นเม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาตามใบหน้า เพนถือไม้เท้าในท่าเตรียมพร้อม
“พี่สาวหน้าคุ้นจังเลย ...” ซิสเตอร์แนนเอียงคอมอง พิ้งสะดุ้งพลางคว้าหนังสือจากเป้ใบน้อยของแนนขึ้นมาเปิด ...
เพียงแค่หน้าแรก ภาพของเทวีลูซิสก็ช่างคล้ายกับหญิงสาวคนนี้จนน่าตกใจ จะมีก็แต่แววตาเท่านั้นที่ต่างกันลิบลับ...
“พะ.. พี่ หน้าตาเหมือนอาทรัมจังเลย..” พิ้งเอ่ยด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกัก คนธรรมดาที่ไหนจะมาอยู่ในวิหารแห่งนี้ได้ล่ะ...
หญิงลึกลับเดินไปที่ใจกลางของห้องพร้อมกับหัวเราะอย่างไม่กังวลในสิ่งใดๆ “แค่หน้าเหมือนล่ะมั้งแม่หนู มานี่หน่อยสิจ๊ะ”
“อย่าเข้าไปใกล้กว่านี้”เพนตะโกนสุดเสียง ดวงตาเบิกกว้างเผยให้เห็นแววตาที่ตระหนกสุดๆ
เบื้องหลังของเขาคือร่างของแนน ไฮค์ แมว และฮอล์ลอฟที่กลายเป็นรูปปั้นหินไปแล้ว
“โฮะๆ ข้าประเมินเจ้าต่ำไปสินะ พลังแกร่งกล้าจนเป็นหินไปแค่เกือบทั้งตัว ยังจะเหลือหัวเอาไว้อีก” ร่างในชุดคลุมเอ่ยอย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ดูเหมือนว่าสิ่งที่ทุกคนคิดไว้จะเป็นจริงซะแล้ว ...
ตึง!!
ร่างของลิงขาวขนาดยักษ์สองตนที่แปรสภาพมาจากร่างปลอมของทิมกระโดดเข้ามาขวางระหว่างอาทรัมกับบาสและพิ้งไว้
พวกมันวิ่งวนรอบห้องพร้อมกับสร้างร่างจำแลงขึ้นมาเรื่อยๆ
เสียงคำรามต่ำๆของจอมอสูรวายุกึกก้องไปทั่วห้อง
“แหม่ แม่หนูมีขุนขวานเป็นองครักษ์ยังไม่พอ ขนาดเทพารักษ์ประจำถิ่นยังยื่นมือมาให้ความช่วยเหลือเลย”
อาทรัมเอ่ยพลางส่ายหน้า “เห็นทีต้องลงไม้ลงมือกันมากกว่านี้ซะแล้ว”
กริ๊ง ...
นางโยนเหรียญเงินเหรียญหนึ่งลงบนพื้น เพียงแค่เสียงเบาๆก็ส่งผลให้ลิงอสูรกรีดร้องอย่างทรมาน ร่างจำแลงบางส่วนสลายไปทันที
“แค่เสียงเข็มตกมันก็ทำให้พวกเจ้าตายได้ หากข้าต้องการ” นางแสยะยิ้ม “แต่ถ้าพวกเจ้ายอมส่งเศษลูกแก้วของข้ามา ข้าอาจจะปล่อยพวกเจ้าไปก็ได้นะ”
พิ้งลังเลเล็กน้อยเมื่อนึกถึงแผนการของเรน่าและเพื่อนๆ ทุกอย่างล้วนขัดกันโดยสิ้นเชิง...
“ถ้าทำแบบนั้น สุดท้ายมนุษย์ทั้งโลกก็จะต้องตายอยู่ดี” บาสเอ่ยด้วยน้ำเสียงกล้าๆกลัวๆ การต่อกรกับจอมเทพคงไม่ง่ายนัก โอกาสชนะแทบจะเป็นศูนย์
ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้โอกาสเจ้าสามวินาที หากเลยไปแล้วข้าจะลงมือล่ะนะ ...
ฉัวะ!!
เด็กหนุ่มไม่รอช้าพุ่งเข้าตวัดขวานใส่ร่างของอาทรัม
ใบขวานสีดำสนิทฟาดผ่านร่างในผ้าคลุมสีดำ กายหยาบของอาทรัมเซถลาไปเบื้องหลังเล็กน้อย
เพียงเสี้ยววินาทีที่นางเอี้ยวตัวหลบทำให้คอยังไม่หลุดจากบ่า ผ้าคลุมที่ขาดวิ่นเผยให้เห็นรอยแผลยาวที่ลากผ่านตั้งแต่ลำคอไปจนถึงท้อง
โลหิตสีแดงฉานตัดกับผิวสีขาวราวกับหิมะของนาง เลือดค่อยๆไหลออกมาจากบาดแผลทีละหยด
....มันดูราวกับเป็นไข่มุกเม็ดงาม หากแต่เป็นสีชาด....
ไอหมอกสีจางดูเหมือนจะแผ่ออกมาจากเลือดก้อนกลมๆตลอดเวลา มันรวมตัวกันเป็นลูกแก้วโลหิตขนาดเท่ากำปั้นสี่ลูก
ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตระหนักถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดในไม่ช้านี้....
... ช่างไม่ต่างอะไรกับมรณะทูตเสด็จลงมาหาถึงที่... ไอหมอกกระจายออกกลายเป็นร่างวิญญาณนักบวชในชุดดำสี่ตน
“ลองถามตัวเองดูซิ พวกเจ้ามีนามว่ากระไรเอ่ย?” น้ำเสียงของอาทรัมเกือบจะเหมือนหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
รอยยิ้มร้อยเล่ห์ของนางดูประดุจดังมีดอาบยาพิษ วิญญาณทั้งสี่ตนเงยหน้าขึ้นพลางแสยะยิ้มและพูดด้วยน้ำเสียงกึกก้องอย่างพร้อมเพรียงกัน
“พวกข้าคือกลุ่มสาวกแห่งอาทรัม!! ผู้มอบวิญญาณให้กับราชินีแห่งรัตติกาล!! เราคือนักบวชแห่งรัตติกาล!!”
มือของบาสกระตุก ขวานสลายไปเป็นอากาศธาตุเพราะขาดจิตที่ควบคุม เด็กทั้งสองตกใจจนก้าวขาไม่ออก เขาตะโกนสุดเสียง“ถอย!! รีบถอยไป!!”
“นักบวชแห่งรัตติกาล ในมือของพวกเจ้าพวกเจ้าถืออะไร?” สุรเสียงที่เต็มไปด้วยพลังเอ่ยขึ้นอีกครั้งราวกับจะสะกดผู้ที่ได้ยินให้กลายเป็นรูปปั้นศิลา
“พวกข้ามีไม้กางเขนเปื้อนโลหิต ครอบครองพระคัมภีร์ที่ฉีกขาด และถือกริชที่จะมอบความตายให้กับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม!!”
การประสานเสียงของวิญญาณนักบวชทั้งสี่แม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ถึงกับรุนแรง แต่มันก็ทำให้อากาศโดยรอบเย็นเฉียบลงทุกขณะ
“ถ้าเช่นนั้น นักบวชแห่งรัตติกาล พวกเจ้าคือใคร?” อาทรัมกรีดกรายนิ้วไปเบื้องหน้า ดาบสีทมิฬโผล่ขึ้นมาจากกลางอากาศ นางรับมันไว้อย่างเหมาะเจาะ
“พวกเราเป็นนักบวช! แต่กลับไม่ใช่นักบวช!!
พวกเราเป็นผู้ศรัทธาในเทพ! แต่กลับไม่ใช่ผู้ศรัทธาในเทพ!!
พวกเราเป็นพระสาวก! แต่กลับไม่ใช่พระสาวก!!
พวกเราเป็นผู้ทรยศ! แต่กลับไม่ใช่ผู้ทรยศ!!”
นักบวชชุดดำทั้งสี่ตอบด้วยเสียงกึกก้อง ร่างแยกของลิงอสูรต่างกรีดร้องวิ่งหนีกระจัดกระจาย แต่กลับถูกนักบวชแทงด้วยกริชจนขาดกระจายเป็นส่วนๆ
“พวกเราเป็นทูตแห่งความตาย! เป็นยมทูตผู้มอบความตาย!!
เฝ้ากรีดร้องในยามราตรี! รอบรรดามนุษย์ที่ชะตาขาด!!
เฝ้ารอเวลาที่จะได้ลงคมดาบ! สังหารผู้ไร้ศรัทธาให้สิ้นไป!!
พวกเราคือนักบวชแห่งรัตติกาล! มือสังหารแห่งยุคมืด!!”
แม้ดูน่ากลัวมาก.. แต่ภาพของเทวีอาทรัมที่รำดาบบริกรรมคาถายังคงงดงาม งามสง่ายิ่งกว่าสิ่งใด
ทั้งยังน่าเกรงขามสะพรึงกลัว ขู่ขวัญให้หมดกำลังใจ ใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยปิติสุขแกมคลุ้มคลั่งของนางช่างดูน่าสยดสยองยิ่งนัก
ร่างของอาทรัมลอยขึ้นกลางอากาศ เลือดเริ่มทะลักออกมาจากบาดแผล รอยเลือดดูราวกับเส้นด้ายสีแดงบนเรือนร่างที่ผุดผ่องประดุจหิมะ
“พวกเจ้าจงไล่ล่าสังหารมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม” อาทรัมเริ่มบริกรรมคาถาอีกครั้ง
เพนที่กลายเป็นหินอยู่ครึ่งตัวตะโกนอย่างตกใจ “อย่าให้นางร่ายจบ อย่าให้นางทำสำเร็จ หยุดนางไว้!!”
“จากนั้นเราจะเปิดศึกกับเทวีแห่งแสงผู้เป็นพี่น้องของข้า”
บรรยากาศในวิหารดูเหมือนจะกลายเป็นของแข็ง ทุกสรรพชีวิตล้วนแต่สงบนิ่ง ไม่คิดแม้แต่จะหายใจ
นางร่ายรำดาบกลางอากาศด้วยท่าทีอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยพลัง คมดาบถูกตวัดมาที่พื้นพร้อมกับคาถาช่วงสุดท้าย
“จวบจนวันโลกาวินาศจึงยุติ!!!”
เปรี้ยง!!!
กลุ่มพลังลึกลับระเบิดออกอย่างรุนแรง ร่างของสิ่งมีชีวิตเล็กๆถูกกระแสลมพัดไปติดกับผนัง ของเหลวสีแดงกระจายไปทั่วห้องทรงกลม
ฝนโลหิตจำนวนมากที่พวยพุ่งออกจากบาดแผลของเทวีแห่งความมืด กลายเป็นร่างวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วน
เหล่าสาวกคำรามด้วยเสียงดังกึกก้องราวกับจะสะเทือนฟ้าดิน ร่างของอาทรัมกระจายเป็นกลุ่มหมอกสีดำสนิทและหมุนวนไปรวมที่เพดานห้อง
แลเห็นเป็นจุดสีม่วงเล็กๆ ลูกพลังเรืองแสงสีม่วงค่อยๆขยายตัวขึ้นอย่างช้าๆพร้อมกับค่อยๆสูบพลังวิญญาณของทุกชีวิตในบริเวณนี้ไป
ช่วงนี้ได้รับอิทธิพลจากนิยายเรื่องนึงอย่างหนัก ลองไปอ่านเล่นๆแล้วดันติดใจ
เรียนหนักงานเยอะเกมเยอะ(?) วันเด็กที่ผ่านมางานเป็นกองอีก นิยายเรื่องนี้ใกล้จบแล้ว ..
(ไม่อยากให้จบเท่าไร ไม่มีที่ให้ระบายอารมณ์ออกมาเป็นเรื่อง เดะแต่งอีกดีกว่า พัฒนาจากไม่สนุกมากๆ เป็นไม่สนุกเฉยๆ )