-50-
รุ่งเช้าในวันที่2ของการท่องเที่ยวก็เยือนมาถึง โปรแกรมท่องเที่ยวในวันีน้คือไปดูนิทรรศการสัตว์ทะเลที่พิพิธภัณฑ์ใกล้เคียง
ตัวโรงแรมที่เหล่าหนุ่มสาวมาพัก ซึ่งคนที่สามารถไปได้ในวันีน้คงจะเหลือเพียงสองคนเท่านั้น
'ทำไมชั้นต้องมาเดี่ยวๆกับตาบ้านี่!' ถ้อยคำอวดครวญที่กังวานอยู่ในหัวของสาวน้อยผมสีน้ำตาลแดงซอยสั้นนาริ
ล้วนแต่ทำให้เธออยากกระชากเข็มขัดที่ในเวลานี้เปรียบเทียบเหมือนโซ่ตรวนที่ต้องยึดติดอยู่กับชายหนุ่มที่ตนยังต้องคอยช่วยเหลือ
"มาเที่ยวนะไม่ได้จับมาเชือด ทำหน้าให้มันดีๆหน่อยสิ" เสียงทุ้มที่ออกมาจากปากโซเฟอร์จำเป็น ซึ่งเป็นใครไมได้นอกจาก
ชายหนุ่มชิน พ่อซูเปอร์สตาร์ดาวรุ่งที่โหยหาความเป็นส่วนตัวมานาน ขนาดรถที่นำมาขับก่อนมายังต้องเพ้นท์สีใหม่ให้ดูจืดชืดกว่าเดิม
ด้วยเหตุที่ไม่อยากให้แฟนคลับจำได้แล้วก็ติดตามกรี๊ดกร๊าด ประกอบด้วยแว่นตาดำที่ใส่ปิดบังใบหน้าไว้ ซึ่งดูเหมือนจะช่วยไมได้เท่าไหร่
"รู้แล้วย่ะ ชั้น..ชั้น... ชั้นแค่รู้สึกไม่ดีที่ทิ้งโลวาน่าไว้แบบนั้น" นาริแหวกลับด้วยท่าทีอิดออดเหมือนพยายามปกปิดจุดประสงค์ของ
อารมณ์ที่กำลังครุกรุ่นอยู่อย่างแท้จริง แต่ที่เธอพูดมาก็ไม่ใช่การโกหกไปเสียทีเดียว เพราะจากการสนทนากับเพื่อนสาวเมื่อก่อนออกตัว
จากที่พักได้รับการยืนยันว่า
'แกไปเหอะ ชั้นดูแลตัวเอง...ได้' โลวาน่าพยายามเบือนหน้าหนีและเค้นเสียงพูดเพื่อไม่ให้เพื่อนเป็นกังวล
'เห้ย แน่ใจนะ ถ้าแกไม่ไป...' ด้านเจ้าตัวนาริเองก็พยายามจะลากเพื่อนสาวไปให้ได้ โดยจริงๆหวังจะให้ไปเป็น กขค.
คั่นตัวระหว่างเธอกับอีตาชินนั่น เพราะการอยู่สองต่อสองอาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดไปจริงๆ
'แกไปเหอะ ชั้นอยากพักผ่อน' โลวาน่าสรุปคำด้วยการไต่ตัวขึ้นไปนอนซมบนเตียงด้วยความแน่ใจว่าเพื่อนรักของเธอจะไม่รบกวนแน่นอน
กลับมาเหตุการณ์เดิมซึ่งนาริกำลังหัวเสียสุดๆ เมื่อการชวนเพื่อนสาวคราวรุ่นน้องก็ไม่สัมฤทธิ์ผลอย่างที่คิดไว้
"ชวนคนอื่นมาเป็นกขค.ไม่ได้เลยลำบากใจที่จะอยู่กับนายชินคนนี้สองต่อสองล่ะสิ"
"ใช่สิยะ ก็ไปชวนอาเรียเธอก็ปฏิเสธเหมือนคนอกหักรักคุดอยากพักผ่อนๆ ส่วนแอนโทเนียใครจะไปรู้ว่าวันนี้เธอต้องไปพบกับเพื่อนของ
แดดดี๊หม่ามี๊อะไรของเธอ ให้ตายสิอยากจะเจอหน้าพ่อแม่ยัยนี่ซักครั้ง อยากรู้จริงว่าเห็นลูกเป็นลูกหรือราชทูตลิ้นทองกันแน่
จะไม่มาก็เสียดายเพราะอุตส่าห์จองบัตรตั๋วไว้ แล้วนี่ทำไมต้องมาเกิดอะไรขึ้นในวันนี้ด้วย(วะ)
ชั้นก็เลยที่จะต้องมากับนายสองต่อสองอย่างช่วยไม่ด...!"
นาริที่บ่นอิดออดอยู่ถึงกับสะอึกไปทันที ว่าคนที่เธอกำลังโต้ตอบไม่ใช่จิตใต้สำนึกของตัวเอง
แต่เป็นชายหนุ่มข้างตัวต่างหากที่ยิงคำถามแทงใจมาให้เต็มๆดอก
"โฮ่ เพิ่งรู้นะนี่ว่าคุณอายกับเขาเป็น" เขาตีหน้าทะเล้นก่อนหันไปผิวปากมองข้างทางอย่างอารมณ์ดี
"ทำไมยะ! นั่นมันก็ เอ่อ แค่ส่วนหนึ่ง ส่วนหลักสำคัญชั้นรู้สึกไม่ดีต่างหาก เหมือนทิ้งเพื่อนยังไงไม่รู้" เธอรีบพัลวันหาข้ออ้างที่ดูจะสมจริงที่สุด
เพื่อให้รอดพ้นจากการทื่จะถูกชายหนุ่มข้างกายกระเซ้าให้เขินอายไปกว่านี้
"โอเค เชื่อก็ได้" ชายหนุ่มรับคำโดยประโยคที่เหมือนแกมประชด ก่อนจะจอดรถในขณะที่ถึงจุดหมายเป็นพิพิธภัณฑ์พอดี
พลางชี้ไปที่อีกมุมหนึ่งโดยไม่ได้ปริปาก ทำให้สาวน้อยข้างกายถึงมีอันต้องงเป็นไก่ตาแตก
"ทำไม ชี้อะไรห๊ะ?" เธอค่อยๆหันหน้าไปทางทิศทางที่เขาชี้ ลองมองตามตรงแล้วจุดที่เขาชี้อยู่น่าจะเป็น
"ไอ่บ้า! ชี้ไปทีห่องน้ำหญิงทำไมยะ! ห้องน้ำชายมันคนละฝั่ง!" เธอแว้ดออกมาด้วยเข้าใจว่าเขาอยากให้เธอพาเขาไปดูผู้หญิงอะไรทำนองนั้น
"โถ แม่คุณ แค่แฟนคลับผมแค่นี้ก็ปวดหัวจะแย่ละ ที่ผมชี้ไปเพราะนี่"
ไม่ทันขาดคำ ชุดติดกระโปรงยาวสีชมพูที่ถักด้วยผ้าแพรลายเก่า พร้อมโบว์กลางอกสีเหลืองขนาดยักษ์ รวมถึงวิกผมถักเปียสีดำสนิท
และเม็ดไฝแนบกาว ก็ถูกกองไว้ในมือเรียวของนาริไว้บ่งบอกถึงภารกิจที่เธอจะต้องทำ
"ไปเปลี่ยนซะ ถ้าไม่อยากโดนทำข่าว" เขาย้ำคำ
นิ้วเรี้ยวค่อยๆชี้มาที่ตัวเอง ก่อนกลอกตาเชิงถามเขาว่าต้องทำจริงเหรอ?
และคำตอบที่ตอบกลับคงไม่พ้นการพยักหน้าว่า ใช่....
เพียง5นาที สาวน้อยนาริที่อยู่ในชุดชายทะเลลายดอกไม้น่ารัก ประกอบกับกางเกงยีนส์ขนาดพอดีตัว และรองเท้าผ้าใบที่ทำให้ดูเข้ากันดี
ในสไตล์สาวเซอร์เท่ไปอีกแบบ บัดนี้กลับกลายเป็นสาวเฉิ่มภายใต้สไตล์การแต่งตัวที่ค่อนข้าง เชย ในสายตาของคนทั่วไปเป็นอย่างมาก
นี่ถ้านาริไม่ลืมว่าตัวเองกรี๊ดไม่เป็นอย่างผู้หญิงคนอื่น ป่านนี้คงกรีดร้องจนแทบขาดใจตายหน้าห้องน้ำหญิงไปแล้ว
เมื่อหันซ้ายหันขวาพลางหาร่างกำยำของชายหนุ่มที่มากับเธอ ก่อนจะหันหลังอีกทีก็พบหนุ่มแว่นขี้โรคยืนอยู่ข้างหลังโดยไม่ทันตั้งตัว
"เฮ้ย!!!" เสียงร้องด้วยความตกใจที่ไม่สมกริยาหญิงดังขึ้นจากปากสาวเฉิ่ม ซึ่งมือของหนุ่มขี้โรคคนนั้นก็เอามาอุดปากทันที
"ผม ชินเอง" เขากระซิบเบาๆในระดบัที่คนอยู่ในระยะแนบประชิดพอจะได้ยิน คงไม่น่าแปลกใจที่เขาต้องปลอมตัวด้วยเพราะเหตุผลอะไร
แก็ยังดีกว่าเธอที่ปลอมแค่หน้าไม่ต้องปลอมทั้งตัว
"ฮู่ว นึกว่าใคร ไอหนุ่มแว่นขี้โรคนี่เอง" เธอบุ้ยปากไปทางอื่นก่อนแอบกลั้นหัวเราะคิกคักที่กับสรรพนามที่เธอเพิ่งตั้งให้เขาหมาดๆ
จะไม่ให้ว่าเป็น หนุ่มแว่นขี้โรค ได้ยังไงเพราะกรอบแว่นสายตา(ปลอม)ที่หนาเตอะอย่างกับเด็กเรียน ประกอบกับผ้าคาดปากสีซีดจาง
เหมือนคนที่กำลังป่วยอยู่ ซึ่งในกรณีนี้ใช้อำพรางใบหน้าคมคาย ถ้าใครไม่สังเกตดีๆ ก็คงไม่รู้ว่าเป็นพ่อซุป'ตาร์ที่สาวๆพากันกรี๊ดกร๊าดอยู่
"จะว่าอะไรก็ว่าไปเถอะ สภาพคุณก็ไม่ต่างกับผมหรอก..." เขาเว้นช่วงนิดหนึ่งก่อนจะต่อท้ายคำด้วยข้อความสั้นๆ
"และก็เฉิ่มหนักกว่าผมอีก..!"
"อี๊!!!" เธอแหวอย่างเหลืออด พลางประเคนฝ่ามือเข้าที่กลางกระหม่อมของชายหนุม่ที่ยืนอยู่ตรงหน้า
"โอ๊ย! คุณมือก็หนักยังจะรังแกชาวบ้านอีก!" เขารีบเอามือไม้ขวางกั้นการโจมตีจากแขนเรียวของหญิงสาวทุกรุปแบบ
โดยหารู้ไม่ว่าพวกเขากำลังเป็นจุดสนใจของคนรอบๆ และเพ่งรู้ตัวเมื่อชายหนุ่มเหลือบไปเห็นบุคคลอื่นจ้องประสานตามาที่จุดเดียวกัน
"เอ่อ ไม่มีอะไรหรอกครับ~" เขาตีหน้าตายก่อนลากร่างบางข้างตัวออกไปจุดอื่นที่ไม่จำต้องตกเป็นเป้าสายตาคนทั่วไป
หลังจากที่สามารถต่อปากต่อคำกันเสร็จแล้ว ทั้งคู่ตกลงว่าจะแกล้งบอกว่าเป็นพี่น้องมาเที่ยวด้วยกันหากสถานการณ์จำเป็นจริงๆ
ก่อนจะสาวเท้าเข้าไปในพิพิธภันฑ์และชื่นชมความงามของสัตว์ทะเลธรรมชาติที่นำออกมาแสดงโดยเฉพาะ
"นั่นฉลามนี่นา โอ หัวค้อนซะด้วย" เขาระริกระรี้ชี้มือไม้ไปที่จุดนั้นนี้ราวกับเป็นเด็กอนุบาลที่มาทัศนศึกษาเป็นครั้งแรก
"ทำอย่างกับเป็นเด็กเพิ่งเห้นโลกกว้างไปได้นายนี่น๊า" นาริในคราบสาวเฉิ่มส่ายหัวไปมาในท่าทีระอาของคนที่มาด้วย
"มันก็สิทธิ์ของผมนี่" ชายหนุ่มกล่าวขึ้นลอยหน้าลอยตาพลางทำทีดูโน่นดูนี่ต่อ
"ไม่ต้องมายอกย้อนชั้นเลยนะยะ" เธอสบถออกมาเมื่อรู้ตัวว่าถูกย้อนคำแขวะกลับใส่
"แล้วจะทำไมล่ะครับ ฮึ?"
การยอกย้อนไปมาของคู่หนุ่มสาวทำให้เริ่มกลายเป้นจุดสนใจของคนรอบข้างอีกครั้งโดยไม่รู้ตัว
"นายนี่มัน..!" นาริทำท่าจะกระโดดบีบคอใส่จนนิ้วเรียวไปเกี่ยวผ้าปิดปากที่อำพรางใบหน้าของชายหนุ่มหลุดกระเด็นออกมาโดยที่เขาก็ไม่รู้ตัว
และตั้งใจจะแขวะให้สาวน้อยข้างตัวหน้าเสียให้ได้
"จะกระโดดบีบคอกันเลยเรอะ อย่านะคุณ ที่นี่เขตสาธารณะ ถ้าคุณจะทำร้ายผมใครก็..." เชาค่อยๆกวาดนิ้วหันหน้าไปรอบๆ
ด้วยความว่องไว โดยสภาพที่ไม่รู้ตัวว่าผ้าปิดปากที่ใช้อำพรางหลุดหายไปไหนเสียแล้ว
"เอ่อ..." สาวน้อยเริ่มอึกอักที่จะต่อปากต่อคำต่อ เมื่อเห็นสิ่งที่ไม่น่าจะเห็นข้างหลังร่างสูงที่ประจัญหน้าอยู่
"เถียงไม่ออกเหรอครับ?" เขายิ้มตอกหน้าอย่างผู้มีชัย โดยหารู้ไม่ว่าข้างหลังมีสายตานับกี่ร้อยพันจ้องเขาอยู่
สาวน้อยไม่ตอบอะไรกลับนอกจากพยักหน้าเป็นนัยๆ แล้วชี้นิ้วไปในทิศหลังของเขา
ใบหน้าชายหนุ่มที่เหลือแต่แว่นตาคู่หนา ซึ่งไม่สามารถจะอำพรางใบหน้าคมคายอันเป็นที่รู้จักได้ ค่อยๆหันไปเผชิญหน้ากับกลุ่มหน่มสาววัยรุ่น
ที่จ้องมาราวกับมีเหยื่ออาหารตรงหน้า สร้างความงุนงงให้กับชายหนุ่มไม่น้อย
"ผ้าปิดปาก" สาวน้อยกระซิบบกนัยๆให้เขา
ฝ่ามือของเจ้าตัวค่อยๆคลำรอบปากจมูกตัวเอง และรู้ตัวเสียแล้วว่าหน้ากากอนามัย หายไปจากใบหน้าเขาแล้ว!
รอยยิ้มแห้งๆค่อยๆโปรยสู่ทัพหนุ่มสาวที่ยืนจ้องด้วยสายตาปานจะกลืนกินอยู่ข้างหลังตัว ซึ่งในนั้นเท่าที่เขารู้จักก็มีดาราสาวเปรี้ยวผู้หลงใหลในตัวเขา
แพทตี้ พร้อมทัพแฟนคลับ ก่อนทักทายแหยๆไปตามมารยาท
"อา...อันยองฮาเซโย..!" ไม่ทันขาดคำ แขนแกร่งของเขาถูกฉุดกระชากด้วยมือเรียวของคนข้างตัวแล้ววิ่งหนีออกไปตามทางโดยความรวดเร็วที่สุด
ดั่งกำลังวิ่งหนีออกจากตึกที่ถล่ม
"กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดด~~~♥ พี่ชิน~! อร๊ายยยยย~!!!!"
"อร๊ายยยย พี่ชินใส่แว่นแล้วน่ารักมว๊ากกกกกกก"
"หล่อใจละลาย~! กรี๊สสสส~♥"
เสียงกรีดร้องนิยมชมชอบของเหล่ามนุษย์สาวสวมวิญญาณเสือสิงห์กระทิงแรดดังกระหึ่มขึ้นราวกับพิพิธภัณฑ์
เป็นสเตเดี้ยมคอนเสริ์ทอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะถูกสั่งให้เคลื่อนทัพตามไปด้วยความว่องไว
"ตามคุณชินไป!!!" แน่นอนว่าไม่ใช่ใครนอกจากแพทตี้ดาราผู้เป็นผู้นำกลุ่มแฟนคลับจำนวนมหาศาลนี้
"และนังที่สะเออะเสนอตัวเป็นแฟนของคุรชินนั่น! ถ้ากระทืบได้ กระทืบไปเลย~!"
"ไอ่บ้าเอ๊ย!!! มัวแต่ทะเลาะกัน! แฟนคลับนายไล่ตามมาแล้วเห็นมั้ย!" แม้ฝีเท้าจะซอยวิ่งหนีปากเจ้ากรรมของสาวน้อยก็พลาง
ขยับตวาดใส่คนข้างตัวได้ไม่มีหยุดหย่อน
"ใครมันจะไปรุ้ตัวล่ะ คุณเองนี่ที่กระชากผ้าปิดปากผมออกน่ะ!" และชายหนุ่มข้างตัวก็ไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้
"เรื่องนั้นช่างมันก่อน! แล้วทำไมต่อให้นายยืนอยู่ข้างแฟนตามข่าวแล้ว ทำไมความนิยมนายไม่ลดลงเลยล่ะ!"
นาริเริ่มแหวอีกครั้งเมื่อเหตุการณ์ทุกอย่างเริ่มผิดไปตามเกมที่เดินไว้
"จะไปรู้รึคุณ! สงสัยไม่มีใครเชื่อล่ะมั้ง!" ชายหนุ่มว่ากลับ ก่อนที่จะเอี้ยวตัวหลบข้างซอกที่น่าจะเป็นที่กำบังได้เป็นอย่างดี
พลางให้สถานการณ์ทัพแฟนคลับข้างนอกจางออกไปก่อน
ร่างสองร่างที่แนบชิดกันตามความแคบของซอก พลางมือที่กุมปากสาวน้อยไว้ก็ยิ่งทำให้ร่างทั้งสองใกล้กันมากขึ้นไปอีก
ชั่ววินาทีนั้นโลกเหมิอนดั่งจะเคลื่อนตัวช้าลง ร่างของสาวน้อยเริ่มแข็งทื่อเหมือนนกน้อยที่ยังไม่เริ่มหัดบิน
ความรู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่ในท่าทางกึ่งอ้อมกอดทำให้ใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง...!
"ไปแล้ว" เขากระซิบบอกก่อนจะค่อยๆถอนตัวสาวน้อยให้ห่-างออกจากการแนบชิด ซึ่งความคิดที่จมอยู่ในภวังค์ของนาริทำให้สติยังกลับมาไม่เต็มที่
"คุณ" ชายหนุ่มค่อยๆเรียกบอก เมื่อดวงตาคู่งามของสาว้นอยตรงหน้ายังจ้องเขาไม่วางตา
"นี่คุณ เป็นอะไร" มือแกร่งค่อยๆเขย่าร่างบางให้หลุดออกจากภวังค ซึ่งก้เป็นไปตามคาด ร่างของสาวน้อยสะดุ้งสุดขีดเมื่อได้สติกลับคืนมาก่อนจะ
รีบเบือนหน้าไปทางอื่น ก่อนที่เจ้าตัวจะเปลี่ยนเรื่องกลบเกลื่อนอารมณ์ใจระทึกที่ยังคุกรุ่น
"ชั้นนี่ไม่เข้าใจคุณเล้ย ถ้าคุณมีแฟนจริงๆแล้วก็ยังมีแฟนคลับตามตื๊อยังงี้... อีกกี่ชาติคุณถึงจะได้ลงเอยกับเธอคนนั้นจริงๆจังๆเสียที"
"จนกว่าผมจะหายฮ็อตล่ะมั้ง แต่คงอีกเป็นสิบปีล่ะ ถ้าหากเขาจะเป็นแฟนผม เขาก็คงจะต้องเข้าใจ" ชายหนุ่มเฉไฉตอบไปตามความจริง
สาวน้อยค่อยๆหันหน้ากลับมาประจัญหน้า เมื่อเริ่มไม่เห็นด้วยกับคำตอบของเขา
"ชั้นว่าคงหายากนะ... ที่นายจะหาผู้หญิงแบบนั้นได้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนหรอกนะที่ทนเห็นชายหนุ่มคู่รักของตัวเองต้องตกอยู่ในดงผู้หญิง
คนอื่นได้อย่างไม่รูร้อนรู้หนาว ต่อให้ชายหนุ่มคนนั้นจะมีอาชีพหรือหน้าที่อะไรก็ตามเถอะ"
"ถ้าอย่างนั้นคงไม่มีดาราคนไหนแต่งงานได้..." ซูปเปอร์สตาร์หนุ่มรีบอ้างคำปฏิเสธตามความเห็นของเขาที่อยุ่ในวงการนี้มาตั้งแต่แตกเนื้อหนุ่ม
"ไม่ใช่ว่าไมได้ แต่ที่พวกเขาแต่งงานได้ เพราะดาราพวกนั้นเลือกที่จะช่วยตัวเองและคนที่รักด้วยการไว้ตัวให้มากขึ้น
ไม่ใช่ให้แฟนคลับมาออเซาะใกล้ชิดเกินความจำเป็นต่อห้าที่ดาราและแฟนคลับอย่างีน้ ซึ่งคุณยังทำไม่เป็น"
คำพูดของสาว้นอยตรงหน้าที่ดูจริงจังเป็นอย่างมากตอกลึกเข้าไปในจิตใจของเขา ด้วยนิสัยขี้เล่น และมักจะเกรงใจคนที่ไม่ค่อยรู้จักแล้ว
ทำให้ตัวเขาเองยากที่จะปฏิเสธไม่ให้สาวๆแฟนคลับเข้ามาออเซาะทุกครั้ง ต่างจากดาราคนอื่นที่อาจจะมีการกันท่าไว้บ้างอย่างช่ำชอง
ยิ่งชายหนุ่มคิดแล้วสีหน้าของเขาก็ตกอยู่ในอารมณ์เครียดกดดันจนคนข้างกายเริ่มสังเกตได้
"ชั้นนี่ พูดอะไรก็ไม่รู้ ไปเที่ยวๆต่อเหอะ เอาห้องที่มันมืดๆหน่อยละกันคนจะได้ไม่เห็นหน้า"
นาริเริ่มเปลี่ยนเรื่องอีกครั้งก่อนบรรยากาศจะดูตึงเครียดมากไปกว่านี้ และห้องที่มืดๆนี่น่าจะหมายถึงห้องแสดงสัตว์ทะเลที่มีความสามารถ
ในการเรืองแสงจากอวัยวะได้อย่างที่คาดไว้
มือแกร่งค่อยๆจับมือเรียวของคนตรงหน้าไว้ ก่อนจะกล่าวอะไรออกมาบางสิ่ง
"ขอบใจนะ ที่รู้อย่างนี้แล้วก็ยังจะช่วยผมน่ะ" ชายหนุ่มเอ่ยเสียงอ่อนทำให้รู้ว่าเขายังอยู่ในสภาวะตึงเครียดอยู่
"เอาน่า ไม่เป็นไรหรอก ปล่อยมื..." สาว้นอยที่เหลือบมองดวงตาคมเข้มของเขาอีกทีก็ถึงกับสะอึกเมื่อเห็นได้ชัดว่าแววตานั้นรู้สึกกดดัน
อย่างมากถึงขั้นอธิบายไม่ถูก ถ้าจะปล่อยเขาในสภาพที่ดูจะต้องการคนที่พอจะเป็นที่พึ่งทางใจตอนนี้ก็คงจะทำไม่ได้
จนเธอต้องอ่อนใจไม่คลายมือออก
"ก็ได้ แค่วันนี้นะที่ช้นยอมน่ะ" คำกล่าวเออออสั้นๆของสาว้นอยทำให้ชายหนุ่มชื้นใจคลี่ยิ้มได้ออกมาอีกครั้ง ก่อนที่ทั้งสองจะเดิน
กุมมือกไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่อตามที่ตั้งใจไว้...