-47-
ร่างระหงของนาริค่อยๆทิ้งตัวลงบนที่นอนของตัวเองด้วยความเหนื่อยล้า ไม่ใช่เพราะกิจกรรมในการท่องเที่ยวอะไรหรอก
แต่ว่าบางทีที่มีแฟนคลับเข้ามาหานายชินแฟนกำมะลอของเธอเนี่ยแหละ เธอก็ต้องรีบวิ่งหลบไปมุมอื่นทุกหนทุกครา
เพราะเหตุจะกลัวตกเป็นข่าวมือที่3อะไรทำนองนั้นอีก ถ้าชาตินี้เธอเลือกได้เธอคงไม่อยากมีดาราเป็นแฟนอะไรทั้งนั้น
มันช่างยุ่งยากมากเวลาที่มีนักข่าวมารุมล้อมถามเรื่องความสัมพันธ์ส่วนตัวจุกจิกจู้จี้ แค่คิดก็แทบจะบ้าแล้ว
แต่คิดถึงการที่เป็นแฟนกำมะลอกับนายชินคนนี้แล้ว ทำไมทุกครั้งที่เธอต้องแอคติ้งเป็นแฟนกับเขา มันกลับให้ความรู้สึกเมหือนเธอมีคู่รัก
จริงๆจังๆอย่างไรอย่างนั้น ก่อนนึกถึงตอนที่เธอในสภาพพจมารสุดเชยเดินเข้าไปหาเขาแล้วบอกว่าเธอคือนาริที่เขารู้จัก
สีหน้าของเขาในตอนนั้นอดทำให้เธอกระแอมขำออกมาไม่ได้ ดูดวงตาดำสนิทื้เบิกโพลงประกอบกับปากที่อ้าหวอระดับหนึ่งของเขาสิ
ขนาดตอนนั้นมันยังดูดีไม่ต่างจากตอนที่โพสท่าถ่ายแบ...!
นาริสะดุ้งตัวขึ้นสุดตัวแล้วจับที่หน้าอกข้างซ้ายของตน ก่อนจะส่ายศีรษะกลมกลึงไปมาเพื่อไล่ความคิดบ้าๆนี้ออก
อะไรกัน! ชั้นคิดถึงนายชินเหรอ! เป็นไปไม่ได้!
เธอพยายามปลอบใจตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่านไปมากกว่านี้ ระหว่างที่กำลังพยายามออกจากภวังค์อันแสนหวานของตนอยู่
เสียงๆหนึ่งที่ดังขึ้นก็สามารถปลุกเธอให้หลุดจากภวังค์ได้เป็นอย่างดี
"ทำไม! รับไม่ได้รึไง! เปลี่ยนใจจะมาเป็นคนดีเอาตอนนี้เลยรึไง!"
"หยุด!!!"
"ออกไปเลยนะ!"
"ดิ้นทำไมเล่า!!"
"หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!! เราเป็นพี่น้องกันนะ!!"
เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นเร่าๆทำให้นาริเริ่มนึกถึงต้นตอของเสียงว่าเป็นใครที่ตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่เช่นนี้
ก่อนนัยน์ตาของเธอจะเบิกกว้างขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นผู้ร่วมเหตุการณ์นั้นคือ โลวาน่า เพื่อนของเธอ!
รองเท้าคีบถูกเท้าเรียวยัดๆเข้าไปด้วยความเร่งรีบ ประตูห้องถูกปิดเสียงดังปังอย่างไม่ใยดี ในขณะนี้สิ่งที่นาริคิดไว้คือ
ต้องช่วยโลวาน่าให้ได้ มิเช่นนั้นเพื่อนสาวของเธออาจต้องจมอยู่กับความทุกข์เป็นหนที่สอง
สองฝีเท้าวิ่งสามขุมมุ่งหน้าไปทางห้องหมายเลขที่เพื่อนสาวของเธอพักอยู่ เมื่อมาถึงประตูห้องจึงรู้ว่ามันถูกล็อคเอาไว้ด้วยกลอนประตู
มือเรียวพยายามทุบประตูให้คนข้างในห้องเปิดประตูที่กำลังปิดล็อคไว้อย่างแน่นหน้า
ทว่ากลับไม่มีเสียงตอบรับจากเจ้าของห้งอที่อยู่ข้างในแม้แต่คนเดียว
"โลวาน่า!!! เปิดประตู!!!" สาวน้อยพยายามเค้นเสียงตะโกนเรียกเพ่อนของตนให้หลุกจากภวังค์ตัณหาที่กำลังก่อตัวขึ้น
"โลวาน่า! เธอไม่อยากได้ตราบาปตราที่สองติดตัวไปอีกตลอดชีวิตใช่มั้ย!" เสียงของนาริเริ่มลอดเข้าไปในใบหูของโลวาน่าที่กำลัง
รับรักจากพี่ชายด้วยความยินยอมอ่อนใจ ทว่าเมื่อเสียงของเพื่อนเธอที่ได้ยินทำให้เธอตื่นจากภวังค์ตัณหาที่กำลังถูกรุกรานอยู่เต็มที่
โดยพี่ชายของเธอ เรือนร่างที่เหลือแค่ชุดชั้นในเพียงสองตัวที่ยังเป็นอาภรณ์ที่เหลืออยู่บนร่างทำให้เธอเริ่มรับรู้ว่า
หากถูกปล่อยไว้อีกตราบาปครั้งที่สองจะบังเกิดขึ้นภายในไม่ช้า!
ร่างน้อยในอ้อมกอดของผู้เป็นพี่ชายพยายามดิ้นเร่าๆขัดขืนอีกครั้ง หากพละกำลังของหญิงสาวมิสามารถต้านทานแรงกำลังของชายชาตรีได้
พี่ชายของเธอซึ่งกำลังรุกรานไปที่ซอกคอของเหยื่อตรงหน้าทำให้เขาไม่สนใจทั้งสิ้นว่าอะไรจะเกิดขึ้น แม้แต่จะทำให้น้องสาวเสียใจอีกครั้งก็ตาม
ริมฝีปากที่ว่างอยู่ทำให้โลวาน่าตัดสินใจจะเค้นเสียงตะโกนออกไปในสภาพที่เหนื่อยล้าแทบไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่าตัวเธอเองกำลังจะพูดอะไร
"นาริ...! ช่วยชั้นด้วย!"
ทางข้างนอกบุคคลที่กำลังตั้งใจจะพังประตูอยู่ด้วยร่างของตนที่กระหน่ำกระแทกเข้าไปไม่สามารถที่จะทำให้ประตูอันแน่นหนาพังลงได้
สถานการณ์อันแสนคับขันนี้เธอไม่สามารถจะแก้ไขมันด้วยตัวคนเดียวเสียแล้ว ดวงตาที่กวาดไปรอบๆจึงเห็นเด็กสาววัยละอ่อนกว่าตน
ที่กำลังเดินมาตรงหน้า ซึ่งเป็นคนที่เธอก็รู้จักเป็นอย่างดีอีกคนหนึ่ง การตัดสินใจที่ฉับพลันจึงทำให้ปากของเธอพลั้งพูดตะโกนเรียกออกมา
"อาเรีย ช่วยชั้นหน่อย!!!" แม้จะรู้อยู่แล้วว่าหากคนที่ล่วงรู้ความลับของเพื่อนสาวเธอเองจะมากขึ้น แต่อาเวียก็น่าจะเป็นคนที่รักเพื่อนนพ้อง
ไม่เอาความเสื่อมเสียของเพื่อนตนไปประจาณแก่ใครได้ง่ายๆ
อาเรียที่ยืนอยู่ตรงหน้าเริ่มงุนงงกับท่าทางของนาริที่ทุบประตูเร่าๆอยู่ข้างหน้าจึงคิดเอ่ยปากถามไถ่ขึ้น
"พี่นาริทำอะไรอยู่น่ะคะ?"
นาริที่แทบจะไม่มีเวลาอธิบายจึงเลือกที่จะตัดจบการอธิบายไป "ไม่ใช่เวลาถามนะ! ช่วยัช้นพังประตูหน่อย!!!"
ฝ่ายอาเรียที่ได้รับรู้ให้พังประตูเข้าไป จึงเริ่มรู้ว่าข้างในห้องต้องเกิดอะไรที่คับขันเป็นแน่ มือข้างหนึ่งจึงฉุดเข้ากระเป๋ากางเกงข้างซ้ายแล้ว
หยิบกระบอกปืนที่ติดตัวไว้ออกมา
"งั้นพี่นาริหลบไป คราวนี้หนูเอาของจริงมา!" เด็กสาวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ขณะที่ใส่จุกกอร์กเก็บเสียงปืนอยุ่เพราะเกรงว่าคนละแวกนี้
อาจตกใจเสียงปืนที่กำลังจะดังกระหึ่มขึ้นในไม่ช้า การกใส่ที่เก็บเสียงกระสุนจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
"เอาเลย!" ทันทีที่นาริผละตัวออกจากประตู นิ้วเรียวของอาเรียก็เหนี่ยวไกยิงเข้าที่เหล็กยึดขอบประตูทั้งสองตัว
เพียงสองนัดกระสุนที่บั่นทำลายเหล็กยึดได้ภายในทันที แค่การกระแทกอีกครั้งเดียวของนาริก็สามารถโค่นบานประตูลงได้
นาริที่เห็นว่าโค่นบานประตูลงได้แล้วจึงก้าวยาวเข้าไปในห้องดว้ยท่าทีร้อนรน ขณะอาเรียที่เก็บปืนลงพลางสบถอุบอิบในใจ
'ดีนะที่หยิบผิดมา ไม่งั้นแย่แน่' อาเรียถอนหายใจอย่างโล่งอกก่อนวิ่งตามเข้าไป
ภาพอันรัญจวนที่เกิดขึ้นอยู่กับเพื่อนสาวของตนอยู่ข้างหน้า ที่ผู้เป็นพี่ชายของเพื่อนสาวเธอกำลังฉุดกระชากชุดชั้นในท่อนบนของผู้เป็นน้องสาวออก
โดยมีมือเรียวน้อยปัดป้องไว้สุดความสามารถ ทำให้นาริหมดความอดทนประเคนเท้าเข้าใส่ร่างบึกบึนที่อยู่ตนหน้าโดยไม่สนว่าเขา
จะเป็นพี่ชายของเพื่อนเธอหรือเปล่า เรี่ยวแรงที่มากแต่เดิมบวกเข้ากับแรงโทสะทำให้ร่างของพี่ชายโลวาน่ากลิ้งถลาตกขอบเตียงไป
จึงได้โอกาสที่จะช่วยเพื่อนสาวเธอออกมาจากสถานการณ์อันเลวร้ายนี้
"อาเรีย! ช่วยประคองโลวาน่าไปห้องชั้นหน่อย!"
ร่างของเพื่อนสาวที่สั่นระริกด้วยความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเมื่อครู่ ทำให้อาเรียอดสงสัยไม่ได้ที่จะถามออกมา
ตามประสาคนที่ใจร้อนหุนหันพลั่นแพล่น "เอ่อ... มะกี้พี่ชายของพี่โลวาน่า กับพี่โลวาน่าเขา..."
คำถามของเธอกระตุกกลืนลงคอไปทันทีเมื่อเห็นแววตานิ่งปนหวาดกลัวของโลวาน่าที่เงยหน้าขึ้นจ้องอาเรียหยั่งเชิงไม่ให้ถามอะไรในตอนนี้
"อาเรีย เดี๋ยวชั้นจะเล่าให้เธอฟังเองทีหลังนะ ตอนนี้ขอให้โลวาน่าได้สงบจิตสงบใจก่อน" นาริเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
พลางลูบหลังของเพื่อนเพื่อปลอบปะโลมให้หายหวาดกลัวกับสิง่ที่ตนเผชิญหน้า
อาเรียค่อยๆพยักหน้าแล้วปลีกตัวไปชงเครื่องดื่มอุ่นๆหวังให้บรรยากาศรอบๆได้หายตึงเครียดลงบ้างก็เท่านั้น...
กลางดึกที่นาริออกมาเดินเล่นข้างนอกเพื่อปลดปล่อยเรื่องราววุ่นวายในหัวให้ลอยหายไปกับสายลมที่ปะทะหน้าของเธอ
ประกอบกับการมองทิวทัศน์ชายหาดที่ประกบกับคลื่นสมุทรในยามค่ำคืน ช่างเป็นภาพที่เหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจยิ่ง
ถ้าเป็นไปได้เธอก็อยากที่จะนอนหลับสงบๆอยู่ตรงนี้ โดยไม่มีใครรบกวนให้ไปเผชิญปัญหาในชีวิตที่หนักอึ้งอีก
ยิ่งถ้าอยู่ตรงีน้กบัใครสักคนแล้ว...
"อ้าว นาริ?"
เสียงทุ้มอันคุ้นเคยปลุกเธอจากภวังค์ ศีรษะกลมกลึงของสาวน้อยหันขวับมาหาต้นตอของเสียงทันที
"นายชิน! มาทำอะไรตรงนี้!" เธอแหวออกเมื่อบรรยากาศอันสงบจิตสงบใจถูกทำลายด้วยตัวปัญหาทางความคิดของเธอที่ยืน
ยิ้มลอยหน้าลอยตาอยู่ตรงหน้า
"ป่าว เดินเล่น" เขาตอบสั้นๆ
"เหตุผลง่ายดีเนอะ" นาริแขวะกลับอีกครั้ง
"เธอนี่อะไร เห็นมะกี้ยืนหลับตาพริ้มอยู่มะกี้ พอผมมาปุ๊บตะกุกตะกักแว้ดแหวทันทีเลยนะ..." เขาทิ้งช่วงประโยคไว้นิดหนึ่งให้สาว้นอยตรงหน้า
หันมาจ้องตาไม่กระพริบ
"คิดถึงใครอยู่?" เขาสีหน้าเคร่งขรึมเป็นทะเล้นภายในบัดดล พร้อมกับประโยคที่ล้อเลียนสาวน้อยนาริซึ่งได้ผลใบหน้าของเธอกลายเป็นสีตำลึงสุก
ก่อนจะประเคนฝ่ามือเข้าที่ศีรษะของเขาเต็มๆ
"บ้า! ใครจะไปคิดถึงนา...!" นาริรีบอุดปากตัวเองทันทีเมื่อกำลังจะเผลอพูดให้เขารู้ว่าคนที่เธอกำลังนกถึงอยู่คือเขา
"นาย? เหรอ? แสดงว่าคิดถึงผมอยู่..! อ้อก!" ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะกล่าวจบ สันมือเรียวก็กระแทกเข้าที่หน้าท้องของเขาจังๆจนจุกแทบจะพูดต่อไม่ออก
"ไม่ใช่ซะหน่อย! อย่ามามั่วว่าชั้นเป็นพวกแฟนคลับจอมบ้าคิดถึงนาย!"
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มออกมานิดหนึ่ง แม้จะจุกอยู่แต่ก็อดจะเอ่ยถามอะไรบางอย่างออกมาไม่ได้
"จริงรึ?"
"ทำไม?" สาวน้อยยักไหล่กลับ
"ผมดีใจน่ะสิ" เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้นาริกระตุกไปอีกรอบ
"อะไรของนาย?" ทว่าเธอยังเก๊กฟอร์มไม่ยอมอ่อนข้อต่อเขาอยู่ดี
"ก็ผมดีใจที่คุณเห็นผมเป็นคนปกติไม่ใช่ผีสางเทวดาที่ต้องมะรุมมะตุ้มปานจะกลืนกินตลอดเวลา และก็สามารถเป็นตัวของตัวเองได้โดยไม่ต้องมีใคร
คอยจ้องจับผิดลงข่าว รู้ไหมความรู้สึกอย่างีน้ผมหามานานแล้ว"
ชายหนุ่มลดระดับน้ำเสียงเมื่อพูดประโยคสุดท้าย เมื่อรู้แก่ใจดีว่าที่ผานมาคนรอบตัวเขาต่างรุมกันกดดันเขาตลอดเวลา
ไม่ว่าแฟนคลับหรือแม้แต่ผู้เป็นพ่อแท้ๆของเขาแต่ละคนต่างคาดหวังให้เขาทำสิ่งที่ไม่ค่อยจะเต็มใจทำเท่าไหร่นักทุกครั้งครา
มีเพียงการที่ขาได้มาพักร้อนอยู่กับคนที่เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจได้เป็นตัวของตัวเองก็ทำให้เขามีความสุขยิ่งนัก
"อ...อืม" นาริกระแอมตอบกลับอย่างขวยเขินเมื่อรู้ตัวว่ากำลังถูกหยอกชมอยู่ จริงของเขา ทีพ่ดมามีส่วนถูก
แม้เขาจะมีคนรุมสนใจตลอดเวลา ส่วนเธอไม่มีใครสนใจใยดีเลยมาแทบทั้งชีวิต กลับได้ความรู้สึกที่ว้าเหว่กดดันกับปัญหาทุกอย่างตรงหน้าเหมือนๆกัน
การที่เขาพูดออกมาเช่นนี้ก็นับว่าเหมือนเธอได้ระบายกับเขาด้วยเหมือนกัน แต่ก่อนที่บรรยากาศจะอบอวนอยู่ในภวังค์ไปมากกว่านี้
นาริจึงแสร้งพูดเรื่องอื่นเพื่อเปลี่ยนเรื่องดื้อๆ
"เอ้อ แล้วเรื่องที่ชั้นต้องปลอมตัวเป็นพจมารอะไรนั่น ชั้นต้องทำไปอีกนานแค่ไหน" เธอแหวออกมาอย่างเหลืออด
"จนกว่า..."
"จนกว่าอะไรเล่า?"
"จนกว่ายัยแพทตี้จะเลิกตามตื๊อผม เข้าใจนะ" เขายิ้มบริหารเสน่ห์ให้อีกครั้ง ก่อนจะวิ่งหนีออกไปสร้างความรำคาญใจให้กับนาริยิ่งนัก
"หน็อย! ตาบ้าเอ๊ย! ทิ้งภาระให้กันดื้อๆเลยนะ ฮึ่ม!" แม้จะพร่ำด่า แต่ริมฝีปากของเธอกลับคลี่ยิ้มโดยไม่รู้ตัว...