-37-
"ชั้นล่ะกลุ้มใจจริงๆ" เสียงใสของนาริที่หม่นลงไปจากเดิม เนื่องด้วยเหตุที่หลังจากตัวสาวน้อยเองไปสนทนาข้อตกลงกับชายหนุ่มแล้ว
ว่าจะให้ดำเนินการต่อไปยังไง ถึงจะนั่งเถียงอยู่นานสองนาน ข้อสรุปทางออกที่ดีที่สุดแต่ก้แย่ในความคิดของเธอเองก็ไม่สามารถหนีไป
ได้พ้น นั่นคือ
"แกล้งเป็นแฟน(ไอ่บ้านี่)" ข้อเสนอที่ดูฉาบฉวยแต่ก็เป็นทางเลือกสุดท้าย ในเมื่อมืดแปดด้านจริงๆ
ต่อให้เสนอแล้วว่าจะคอยกันท่าสับรางขบวนรถไฟสารพัดให้ ตัวสาวน้อยเองแหละที่จะเหนื่อยกว่าใครเพื่อน
ชายหนุ่มที่ดูมีท่าทีในตอนนั้นก็ขอร้องแบบสุดฤทธิ์สุดเดชซะด้วยสิ จะให้ปฏิเสธก็ดูเหมือนจะใจจืดใจดำเกินไป
ในที่สุดผลลัพธ์ของข้อตกลงก็ออกมาในแบบที่เธอไม่อยากแม้แต่จะคิด
"แหม ก็แกดันใจอ่อนออกปากจะช่วยเขาเอง ถ้าเจอแบบนี้เข้าก็ไม่ใช่เรื่องแปลก" ผู้เป็นเพื่อนสาว โลวาน่ากล่าวเสียงใส
เพื่อให้บรรยากาศที่คุยกับเพื่อนตัวเองดูไม่เป็นในแนวมาคุเครียดกดดันมากเกินไป หากแต่อีกฝ่ายยังกุมขมับกรีดร้องออกมาเป็นระยะๆ
"จะบอกให้ชั้นยอมรับความจริงใช่มะ" นาริซึ่งตกอยู่ในภาวะมืดแปดด้านอีกครั้ง ส่งเสียงออกมากระปอดกระแปด
เพื่อนสาวของเธอซึ่งไม่รู้จะเลือกคำตอบอะไรอื่น จึงได้แต่พยักหน้าช้าๆตอบให้เชิงว่า ใช่
"เอ่อ เอาน่ะๆ ในเมื่อเรื่องเกิดขึ้นแล้ว แกนั่งเครียดก็ช่วยอะไรไม่ได้อยู่ดี และ..." โลวาน่าแตะรีมฝีปากตัวเอง ก่อนรอยยิ้มเล็กๆ
จะผุดขึ้นมาเนืองๆ ให้ท่ากับประโยคถัดไปที่จะพูดได้อย่างดี
"แกก็ เต็มใจอยู่ใช่มะล่า~" คำกล่าวของเพื่อนสาวทำให้สาวน้อยนาริที่สับสนอยู่ปรี๊ดแตกขึ้น ตั้งท่าจะลุกขึ้นเถียง
แต่กลับถูกเพื่อนสาวฉุดให้นั่งลง มืออีกข้างขึ้นนิ้วชีที่ริมฝีปากตัวเองเป็นสัญญาณบอกให้สงบเงียบไว้ก่อน
"โอเค ชั้นไม่พุดไปมากกว่านี้ก็ได้ ชั้น... ปล่อยให้แกมารู้ตัวเองน่าจะดีกว่า" คู่นัยน์ตาสีน้ำเงินเข้มกลอกไปทางอื่น
ในท่าทีที่อีกฝ่ายที่ฟังอยู่ถึงกับเงียบลงไป แล้วเมินหน้าไปคิดทางอื่นเพื่อหาความสงบในการครุ่นคิด
โดยเพื่อนสาวที่เห็นท่าทีก็รู้ว่านาริอาจต้องการความสงบในการทำความเข้าใจกับความรู้สึกตัวเอง หล่อนจึงขอตัวไปเข้าห้องน้ำที่อยู่ไม่ไกล
จากโต๊ะม้าหินอ่อนที่ทั้งสองนั่งคุยอยู่นี้
ความคิดกับความรู้สึกในหัวของสาวน้อยนาริตีกันไม่เป็นระเบียบ เธออาจต้องใช้เวลาในการเรียงระเบียบขั้นตอนในการตัดสินใจสิ่งทีเธอจะ
ทำต่อไป หากความคิดแต่เดิมที่คิดว่าแค่อยากจะช่วยเหลือเขา โดยที่จริงๆแล้วมันก็ไม่ควรมีอะไร แต่ความรู้สึกอีกด้าน
กลับรุ่มร้อน ตื่นเต้น บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าดีใจ หรือเกรงในสิ่งความรู้ชอบชั่วดีของมนุษย์ แต่มันก็ทำให้เธอรู้สึกได้ว่า
อบอุ่น มีความสุขเมื่อได้อยู่ได้ใกล้ชิดกับเขา แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เข้าใจอยู่ดี ว่าสิ่งที่เธอทำมันจะดีต่อภาพพจน์ของเขา
หรือแม้กระทั่งความรู้สึกของตัวเองหรือไม่ มันก็ควรจะปล่อยให้เรื่องมันเกิดไปตามสภาพที่ควรจะเป็นเท่านั้น...
"กริ๊งงงง...."
เสียงกริ่งเลิกเรียนดังขึ้นตามวิสัย นักเรียนทุกช่วงชั้นต่างเก็บสัมภาระเดินออกจากห้องเรียนของตนพลุ่กพล่าน
ขณะที่สาวน้อยนาริโบกมือลากับเพื่อนสาวตนเอง แล้วหันหลังขวับเดินเลาะทางเดินออกไปจากตึก
ในเวลาเย็นโพลเพล้ ดอกไม้ที่อยู่ตามริมทางเดินของโรงเรียนต่างส่งกลิ่นหอมชวนชื่น หากใครพอมีความรู้เกี่ยวกับดอกไม้
ก็ต้องทราบว่าดอกไม้เหล่านี้จะส่งกลิ่นให้ในเวลาเย็นโพล้เพล้เท่านั้น สาวน้อยนาริที่เริ่มจะสนใจก็อดที่จะนึกอีก
ไม่ได้ว่า ถ้หากมีเวลาว่างเธอต้องรู้รายละเอียดเจ้าดอกไม้พันธุ์นี้ให้ได้ เพราะตามเดิมเธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับดอกไม้
เมืองร้อนเสียเท่าไหร่ การที่จะได้เจอพันธุดอกไม้ใหม่ๆนี้ก็น่าจะเป็นสิ่งที่เสริมสร้างประสบการณ์ให้กับตัวเองได้ดียิ่ง
สาวน้อยนาริที่เดินตามทางอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะสูดกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ข้างทางในระหว่างเดินไปตามสิ่งที่นัดพบไว้
ซึ่งก็สิ่งที่เธอไม่อยากจะคิดถึง ยามที่เธอคิดอารมณ์ความรู้สึกของเธอก็แปรตีกันไม่ถูก ยิ่งการนัดเจอกับชายหนุ่มคราวนี้
ก็เพื่อดำเนินตามแผนในขั้นตอนที่ยากที่สุด เรียกง่ายๆคือ การยอมรับ
แม้จะเป็นสิ่งที่หลอกลวงตบตาคนอื่น แต่ก็อดที่จะรู้สึกตื่นเต้นระทึกไม่ได้จริงๆ ในการที่จะลงเอยความรู้สึกให้บุคคลอื่นเห็น
นาริพยายามจะขัดเกลาสมองไม่ให้คิดถึงสิ่งนี้ เพราะรู้ดียิ่งคิดก็ยิ่งสับสน
ปล่อยให้อะไรเกิดก็ต้องเกิดน่าจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับสภาพของเธอที่สุดในตอนนี้
สองฝีเท้าหยุดชะงักการเคลื่อนไหวลง อันเนื่องจากร่างบางของสาวน้อยได้มาถึงจุดที่นัดพบหน้าน้ำพุกับชายหนุ่มชิน
ว่าที่แฟนกำมะลอของเธอ ระหว่างที่รออยู่นี้ความคิดของเธอเริ่มจะตีกันอีกครั้ง ทั้งเกร็ง ทั้งตื่นเต้น
'ไม่จริง... ไม่มีวันที่จะรู้สึกฉาบฉวยกับเรื่องที่ไม่เป็นจริง'
ความคิดของสาวน้อยยิ่งพลุกพล่านดั่งตกอยู่ในภวังค์ตน ความกังวลได้แทรกขึ้นมาเมื่อเพิ่งรู้สึกตัวว่า จะต้องทำสภาพหน้าที่อย่างไร
กับสถานการณ์ที่จะมาถึงตรงหน้า ยิ่งถลำปล่อยความคิดไปมากขึ้น ความรู้สึกเครียดเกร็ง หรือดีใจ ตื่นเต้น ก็ตีกันมั่วจนเจ้าตัว
ก้อธิบายเองไม่ถูก คิ้วคู่งามที่นิ่วกันเกือบจะเป็นปม หากใครมาเห็นก็คงรู้ว่าสาวน้อยคนนี้กำลังใช้ความนึกคิดอย่างหนัก
กลิ่นของดอกไม้ที่เธอเพิ่งเห็นเมื่อครูนี้โชยเข้าจมูกในระยะที่เธอคาดว่าอาจห่างไม่ถึงเซนติเมตร
ร่างของสาวน้อยค่อยๆหันไปในทิศเบื้องหลัง ก็พบกับสิ่งที่เธออาจจะตกใจมากที่สุดในตอนนี้ได้
"ชิน!?" นาริโพล่งออกมาด้วยความตกใจ ที่ส่วนหนึ่งก็รวมจากการที่ไม่ได้ตั้งตัว ชายหนุ่มที่เธอรู้จักยืนยิ้มอยู่ข้างหลัง
ริมฝีปากหนาสีชมพูเข้มของเขาที่คลี่ยิ้มอยู่ ประกอบกับนัยน์คมเข้ม และจมูกเรียวเป็นสัน
หากสาวนารีใดได้ประทินโฉม อาจต้องอยู่ในภวังค์แห่งความหลงใหลก็เป็นได้ ไม่แปลกเลยที่เขาจะเป็นนักดนตรีซุปเปอร์สตาร์ที่ต่างมี
แฟนคลับที่หลงใหลเป็นจำนวนมาก
ดวงตาสีเลือดนกราวอัญมณีทับทิมเลื่อนไปที่มือของชายหนุ่ม ซึ่งถือดอกไม้ที่เธอได้สูดกลิ่นของมันเมื่อไม่กี่อึดใจมา
ถึงลักษณะการถือจะดูหนักแน่น แต่กลับไม่ทำให้ก้านปลายของดอกไม้ช้ำเสียหายแต่อย่างใด
นารินึกแล้วก็อดชมไม่ได้ที่ชายหนุ่มสามารถถือดอกไม้ได้นุ่มนวลไม่อยาบกระด้างจนทำให้มันเสียหาย
ท่วาเธอพยายามเก็บอาการตีหน้านิ่ง แล้วเปิดประเด็นคำถามขึ้นมา
"เอ่อ... เอามาเพื่ออะไร?" เธอถามเสียงเรียบ ชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าหัวเราะหึๆในลำคอแล้วยื่นสิ่งที่ถืออยู่ในมือให้
"ผมเห็นว่ามันสวยดี กลิ่นก็หอมด้วย เลยคิดว่าจะเอามาให้คุณ" เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้สาวน้อย
ถึงกับทำตัวไม่ถูก จึงรีบเบนหน้าที่กำลังเริ่มแดงก่ำเป็นลูกตำลึงสุกไปทางอื่น
ไม่ทันที่นาริจะโต้ตอบ ชายหนุ่มก็คว้ามือเรียวของสาวน้อยขึ้น ค่อยๆวางดอกไม้นั้นไว้ในมือเรียวอย่างนุ่มนวล
สาวน้อยที่กลอกสายตาเห็นอยู่จึงถือมันไว้ แล้วยื่นมือห่.างออก
"เข้าเรื่องเลยดีกว่านะ" นาริพยายามเปลี่ยนเรื่อง ชายหนุ่มล่อกแล่กมองซ้ายมองขวา เหมือนจะดูสภาพแวดล้อมรอบๆตัว
ซึ่งตอนนี้ก็นับว่ามีคนพลุ่กพล่านเดินผ่านแถวนี้เยอะเลยทีเดียว
ในขณะที่นาริพยายามอานความคิดเขาว่าจะทำอะไรกันแน่ "ถ้างั้น..." เขาเอ่ยออกมาก่อนจะโน้มหน้าไปข้างๆใบหูของสาวน้อย
"ตอนนี้ผู้คนก็มากพอสมควรแล้ว พร้อมมั้ย?" ชายหนุ่มชินไม่รอบคำตอบ ก่อนจะจับมือเรียวของสาวน้อย แล้วคุกเข่าลงต่อหน้า
ในสายตาที่ทุกคนเห็น ซึ่งเป็นท่าที่ทุกคนรู้อยู่ว่าจะมีความหมายออกมาว่าอย่างไร
"เป็นแฟนกับผมนะ" เขากล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนและอยู่ในระดับที่คนรอบข้างน่าจะพอได้ยิน
จะฟังแล้วเหมือนเล่นละครอยู่ก็ไม่เชิง แต่จะให้ว่าจริงใจพุดก็ยืนยันไมได้
ทว่าตอนนี้สาวน้อยที่ไม่มีเวลาตั้งตัวมากเท่าไหร่ ยังเหวอกับคำพูดที่ออกมาจากปากของชายหนุ่ม
เธอพยายามรวบรวมสติแล้วนึกได้ว่าต้องเล่นละครตบตาอยู่ แม้จะทำให้เธอระทึกตื่นเต้นเหมือนความจริงเพียงใดก็ตาม
เมื่อสติอยู่กับตัวแล้ว เธอจึงรวบรวมความกล้าตอบออกไป
"ตกลงค่ะ" คำยืนยันของสาวน้อยที่ถูกจับมืออยู่ ทำให้ชายหนุ่มถึงกับคลี่ยิ้มออก ยันตัวลุกขึ้นจับมืออีกข้างของสาวน้อยตรงหน้า
"ขอบคุณที่ตกลงตามนี้" น้ำเสียงขอบคุณของเขา ทำให้เธอตกอยู่ในภวังค์เหมือนทุกคราว
คำกล่าวเอ่ยที่ผ่านไปชั่วอึดใจเมื่อกี้ คล้ายเชิงจะเป็นเหมือนของจริง มีคำขอบคุณเท่านั้นที่ฟังแล้วยังไงก็ต้องคิดว่าเป็นสิ่งที่จริงใจมากที่สุด
ความรู้สึกนึกคิดของนาริเริ่มตีกันมั่วอีกครั้ง ปฏิกิริยาร่างกายตอบสนองโดยชักมือออกช้าๆ ไม่รู้ว่าเป้นเพราะเพียงพอแล้ว
กับบทละครน้ำเน่านี่ หรือเพราะอารมณ์เขินอายของเธอเอง ที่ไม่กล้าประสานจ้องดวงตาคมของเขาได้นาน
นัยน์ตาคู่งามที่กลอกชำเลืองไปรอบๆเริ่มเห็นคนยกโทรศัพท์ รวมถึงกล้องถ่ายรูปแอบถ่ายอยุ่ห่.างๆ
ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครมาเห็นซุปเปอร์สตาร์กาหลีระดับเขาจะมาขอใครเป็นแฟนแล้วจะปล่อยให้เรื่องผ่านไปเหมือนคู่หนุ่มสาวปกติ
รับรองและยืนยันได้เลยว่าไม่เกินเช้าพรุ่งนี้ต้องได้ขึ้นเป็นข่าวฉาวข่าวหนังสือพิมพ์บันเทิงเป็นแน่
นาริที่ไม่รู้ว่าชายหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเธอคิดยังไงกับเรื่องแบบนี้ แต่คงหมดเวลาที่จะแสร้งเล่นละครฉากนี้ต่อ
"ชั้นไปได้ยัง มีงานต้องทำนะ" นาริซึ่งร้อนใจกับสถานการณ์ตรงนี้เต็มที่ จึงกล่าวออกมาในน้ำเสียงที่ร้อนรนแต่อยู่ในระดับเบาที่แค่คนข้างๆจะได้ยิน
ชายหนุ่มคลี่ยิ้มอีกครั้ง แล้วพยักหน้าตกลง พลางคลี่ยิ้มแล้วยกมือโบกลา
สาวน้อยที่ไม่รู้จะทำยังไงจึงยิ้มแหยๆพลางโบกมือลากลับ ก่อนจะหันร่างวิ่งออกไปจ่างจุดนั้น
ขณะที่ชายหนุ่มชินคลี่ยิ้มออกมา ในความรู้สึกที่ไม่ค่อยแตกต่างจากสาวน้อยนาริเท่าไหร่นัก
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้นาริรู้สึกสับสนมากขึ้นหนักกว่าเดิมกับความรู้สึกของตนเอง หากจะบอกว่ามันเป็นเพียงแค่บทละคร
แต่ทำไม หัวใจของเธอเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ อารมณ์กระสับกระส่ายทำตัวไม่ถูกตอนอยู่ต่อหน้าเขา
ทว่าก็รู้สึกมีวคามสุขมากในเวลาเดียวกัน เสมือนว่ามันเป็นเรื่องจริง เธอเองก็ไม่รู้ว่าอีกฝั่งจะนึกคิดเช่นไร
แต่ใจของเธอหลุดล่องลอยไปไหนต่อไหนเสียแล้ว...
ช่วยเม้นหน่อยว่าบทนี้บรรยายดีกว่าบทก่อนๆมั้ยอ่ะ= =