-10-
กลางหอพักของโรงเรียนนานาชาติที่เจ้าตัวได้ถูกส่งมาเรียนที่นี่ นาริที่ยืนงงกับแผนที่โรงเรียนใหม่อยู่หันซ้ายหันขวา หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู
"2ข้อความ? จากคุณป้าเจ้าของ และ...คุณย่า?"
เธอค่อยๆเปิดข้อความดู ทั้ง2ข้อความมีเนื้อหาใกล้เคียงเดียวกัน ประมาณว่าอวยพร จะมีของเจ้าของร้านดอกไม้ที่จับเหน็บแนมกำชับเรื่องงานและ
การใช้ชีวิตที่ไทยอย่างเป็นห่วง นาริค่อยๆเก็บโทรศัพท์ลง แล้วก้มดูแผนที่ต่อ
"ไอโรงเรียนบ้า เมื่อไหร่ชั้นจะหาเค้าน์เตอร์ประจำหอเจอซักที(วะ)" เธอรำพึงอุบอิบ แล้วหันขวับมาเจอเค้าน์เตอร์พอดี
นาริถอนหอยใจเฮือกใหญ่ ขยี้หัวตัวเอง แล้วเดินเข้าไปประจัญหน้ากับอาจารย์ที่นั่งอยู่ตรงนั้น
"นี่หอหญิงใช่มั้ยคะ" เธอเอ่ยถามขึ้น ในขณะที่อาจารย์รูปร่างอ้วนท้วนวัยมีอายุกำลังนั่งอานหนังสือพิมพ์อยู่
"เปล่า โรงเรียนนี้มีแต่หอรวม" เขาตอบกลับมาในท่าอ่านหนังสือพิมพ์ท่าเดิม
'ว่าไงนะ! สงสัยรับวัฒนธรรมปล่อยเนื้อปล่อยตัวจากอินเตอร์มากเกินไปแหง ช่างมันดีกว่า' นาริสบถในใจพลางเห็นข้อความใหม่ในโทรศัพท์อีกครั้ง
"ไปดูงานที่ร้านดอกไม้สาขาที่ให้มาประจำการก่อน4โมงเย็น" เจ้าตัวอ่านข้อความเสร็จก้รีบเก็บโทรศัพท์ลงอย่างร้อนรน
'แย่ล่ะ! นี่มันบ่าย3ครึ่งแล้ว! ต้องรีบล่ะ!'
ก่อนที่จะตบโต๊ะลงตรงนั้น จนทำให้อาจารย์อ้วนสะดุ้งหันมามองหน้า
เธอยิ้มตอบ "กุญแจล่ะคะ" พร้อมกล่าวเสียงแข็ง
เขาเลิ่กลั่กไปมาแล้วควานหากุญแจข้างๆตัว พร้อมพินิจพินัย "เร็วๆค่ะ" น้ำเสียงของนาริดูหนักแน่นขึ้น ทำเอาอาจารย์อ้วนสะดุ้ง
แล้วรีบยื่นกุญแจให้ "เหลือแต่ห้องเดี่ยว เอ่อ...ที่ยังไม่ค่อยเรียบร้อย เอาไปนะ ห้อง 021 โอเคนะ" อาจารย์ทำหน้าเข้มในขณะที่มือสั่นกึกๆไปมา
เหมือนจะมีอาการประหม่าคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าตัวเอง "หวังว่าเธอคงไม่มีปัญหานะ"
"ไม่มีปัญหา ขอบคุณนะคะ" เธอเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ ก่อนที่จะรับกุญแจจากมืออาจารย์มาทันที
2ฝีเท้าของร่างบางก้าวขึ้นบันไดอย่างรวดเร็วโดยมุ่งตรงไปที่ห้อง021จนคนรอบข้างที่เห็นต่างรู้ทันว่าเธอกำลังเร่งรีบอยู่
เมื่อกุญแจไขง้างบานประตูออกมา เธอก็ได้เห็นห้องของเธอที่อยู่ข้างหน้า
สภาพห้องที่เหมือนเป็นห้องธรรมดา ฝ้าพื้นเพดานทุกอย่างล้วนแต่เป็นสีขาวนวล มีประตูที่เหมือนจะเป็นประตูห้องน้ำอยู่ตรงกำแพงด้านใน
พร้อมหน้าต่างระบายอากาศบนพื้นกำแพงที่อยู่ในทางตรงลึกสุดของห้อง หลอดไฟแท่งยาวธรรมดา เตียง หมอน เครื่องนอนสีขาวธรรมดา
โต๊ะ และตู้เสื้อผ้าทำด้วยเนื้อไม้ฝาเก่าๆที่จัดวางไว้คนละมุมห้อง ข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างดูธรรมดามาก
สิ่งที่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเพียง3-4อย่างคือ โทรทัศน์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะตรงข้ามเตียงนอน ตู้เย็นตู้เล็กๆที่ดูเหมือนจะใส่ได้แค่ขนมเครื่องดิมกินเล่น
ตั้งอยู่ถัดจากโทรทัศน์ พัดลมตัวเล็กๆใกล้ๆตู้เสื้อผ้า และ แอร์เครื่องปรับอากาศสภาพดูโบราณๆแต่ก็ไม่น่าจะชำรุดเสียหายอะไร
ถ้าหากเป็นลูกคุณหนูคนอื่นๆคงจะบ่นออกมาแล้วว่า เฉิ่มและเชยเกินกว่าจะอยู่ได้ แต่สำหรับนาริแล้วนี่ถือว่าดีมากสำหรับเธอ
เพราะตรงอย่างที่เธอชอบประมาณว่า ไม่มีอะไรที่รกหูรกตา
เธอรีบวางกระเป๋าเป้ที่สะพายมา ยัดๆเสื้อผ้าใส่ตู แล้วก้าวออกมาล็อคห้องเรียบร้อย ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไปข้างนอกโรงเรียน
..หลังจากนั้น..
หน้าร้านดอกไม้อีกสาขาที่อยู่ใกล้โรงเรียนนานาชาตินั้น นาริที่ได้รับข้อความอีกฉบับให้มาดูร้านดอกไม้อีกสาขาตามงานที่ให้
เธอเดินไปมาสำรวจความเรียบร้อยรอบๆร้านอย่างละเอียดลออ
ตุ้บ! ร่างบางได้ถูกชนกับเด็กผู้ชายอายุอยู่ในวัยอนุบาล เด็กน้อยชะงักนิดหนึ่งนิดหนึ่ง นาริที่ไม่ทันระวังตัว
ทำให้ร่างของเธอล้มลงกับพื้นตรงนั้น แต่ก็กระแทกไม่แรงมากเท่าไหร่
(*เอาเป็นว่าตัวละครพูดไทยได้ละกันนะ= =)
"ขอโทดนะคับ เป็นอะไรมั้ยคับ?" เด็กชายน้อยคนนั้นกล่าวกับเธอ
"ไม่เป็นไรจ้ะ แค่นี้สบายมาก" เธอเมหือนจะเอามือยันพื้นให้ลุกขึ้น เมื่อเงยขึ้นหน้ามาก็พบฝ่ามือน้อยส่งมือไว้อยู่ตรงหน้า
"จับมือเราไว้ เดี๋ยวเราช่วยพยุง" เด็กน้อยกล่าวพลางยิ้มแฉ่งออกมา
"จับมือเราไว้ เดี๋ยวเราช่วยพยุง" คำพูดที่คุ้นเคย แว่วขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกทบทวนโดยประโยคคำพูดของเด็กน้อย
นาริพยักหน้าพลางยิ้มตอบพลงส่งมือให้เด็กน้อย ร่างบางค่อยๆลุกขึ้น เธอก้มลงมาหอมแก้มเด็กน้อยคนนั้น
"ขอบใจนะจ๊ะ" ก่อนที่จะโบกมือให้
เด็กชายตัวน้อยหันหน้ามาโบกมือให้กลับพร้อมวิ่งออกไป...
นาริยืนค้างอยู่ตรงนั้น คำพูดของเด็กตัวน้อยเมื่อกี้ ทำให้นารินึกถึงวันวานสมัยเด็กของเธอ ซึ่งก็เคยเกิดขึ้นคล้ายๆแบบนี้กับตัวเธอ สมัยอายุราวๆ3ขวบ
...ย้อนกลับไปนับ10กว่าปีก่อน ที่เด็กหญิงนาริตัวน้อยวัย3ขวบกำลังวิ่งเล่นพลางเลียอมยิ้มในสนามเด็กเล่นติดลำคลองแถบชานเมือง
ทว่า เด็กหญิงตัวน้อยกลับสะดุดก้อนหินล้มลงเบาๆ อมยิ้มในมือก็หลุดผลอยลอยตกน้ำไป
"แง~!" ด้วยความที่ยังเป็นเด็กเล็ก จึงร้องไห้ออกมาหลังจกาที่เสียของเล็กๆในมือไป
ระหว่างที่เธอร้องไห้อยู่นั้น ก็ได้มีเด็กชายตัวน้อยวัยไล่เลี่ยกับเธอวิ่งเข้ามาเห็นเข้าพอดี
เด็กชายพินิจพินัย เดินมาใกล้ๆเด็กหญิง แล้วส่งมือให้ก่อนที่จะกล่าว...
"จับมือเราไว้ เดี๋ยวเราช่วยพยุงเอง" นี่คำที่ยังสลักไว้ในใจของนาริเสมอมา น้ำเสียงที่อ่อนโยนแฝงด้วยความเข้มแข็งทำให้เธอปลื้มใจยิ่งนัก
เด็กหญิงนาริพยักหน้าช้าๆแล้วส่งมือจับมือเด็กชาย ก่อนยันตัวลุกขึ้น
เด็กชายพาเด็กหญิงนาริไปนั่งเล่นที่ม้านั่งแถวนั้น แล้วค่อยๆควักอมยิ้มรูปร่างเปียโน ที่สีดำทำด้วยโคล่า และสีขาวทำด้วยโซดา
โดยด้ามที่ลูกอมจับตัวอยู่เป็นเหล็กสลักลายตัวอักษรกุญแจซอล
และได้บรรจุใส่กล่องที่หน้าตาเป็นกรอบตามรูปร่างอย่างดีให้ ซึ่งในนั้นมีโน้ตเพลงกล่อมเด็กอยู่ เด็กหญิงนาริมองมันอย่างฉงนใจ
"เราให้ เอาไปสิ" เด็กชายเอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มให้เด็กหญิงนาริ เธอเอื้อมมือมาหยิบมันรับไว้ก่อนที่จะเก็บใส่กระเป๋าของกระโปรงตัวเอง
เด็กชายเอื้อมมือมาเช็ดน้ำตาออกให้เด็กหยิงนาริด้วยท่าทีทะนุถนอมอ่อนโยน "คงยิ้มได้แล้วนะ" พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงร่าเริง
เด็กหญิงนาริผงกหัว "ขอบใจนะ" พร้อมเอ่ยขอบคุณ เธอแหงนหน้ามองบนฟ้าที่มีแสงตะวันลอยอยู่ ก่อนที่จะเอื้อมคว้าหมวกตัวเองออกมา
"เราให้เหมือนกันนะ" หมวกไซส์ขนาดเล็กของเด็กที่ทอจากฟาง ไม่ว่าผู้หญิงผู้ชายก็น่าจะใส่ได้ เด็กชายมองค้างนิดหนึ่งแล้วรับไว้...
"มาเจอกันอีกนะ" เด็กชายตะโกนโบกมือให้พลางหมวกฟางที่ถืออยู่ในมือ
"อื้ม พรุ่งนี้นะ" เด็กหญิงรับคำ ก่อนที่จะเดินจูงมือกับคุณย่ากลับไป...
'ถึงตอนนั้นเราก็ต้องย้ายบ้านกะทันหัน ก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย' เธอหยิบกล่องอมยิ้มและด้ามอมยิ้มเหล็กสลักลาย
ที่เก็บไว้อย่างดีขึ้นมาดูถึงความหลัง...
พลั่ก!
"โอ๊ย!!!"
คราวนี้เหมือนจะไม่ใช่แค่เด็กตัวเล็กๆชน แต่เป็นร่างสูงใหญ่ที่กระแทกเธอเข้าเต็มๆจนร่างบางถึงกับเซล้มลงไป
พร้อมกับของที่เธอรักและหวงเท่าชีวิตก็กระเด็นลงไปด้วย นาริรีบตะเกียกตะกายคว้าของทุกอย่างไว้ได้แล้วเก็บใส่กระเป่าอย่างเดิม
ก่อนที่จะหันหน้ามาประชันกับบุคคลที่ชนเธอเมื่อกี้
ชายหนุ่มหน้าตาอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเธอ หน้าตาดูดีมีชาติตระกุล ผมสั้นสีดำสนิทดูกระเซิงด้านหลัง หุ่นรูปร่างสมาร์ทสมชาย
นัยน์ตาสีดำคม กำลังจับจ้องมาที่เธอ
"ข...ขอโทษๆ! sorry! หวายยย" ก่อนที่จะสะดุ้งแล้ว หันมาผงกหัวงั่กๆใส่
ทว่านาริกลับไม่ยอมแค่เช่นนั้น เพราะบังอาจมาชนของที่เธอรักหวงที่สุดตกลงไปกับพื้น เธอยันตัวลุกขึ้นกระชากบ่าชายหนุ่มคนนั้น
"วิ่งประสาอะไรห๊ะ! ชนคนอื่นล้มทั้งยืนลงไปยังงี้เนี่ย! ดีนะที่คุณไม่ไปชนคนแก่เข้าน่ะ ไม่งั้นกระดูกกระเดี้ยวเขาคงหักไปแล้ว!!!"
นาริระเบิดตวาดออกมาใส่หน้าชายหนุ่มคนนั้นอย่างเกรี้ยวกราด
"สถานการณ์มันพาไป คุณจะอะไรอะไรอีกล่ะ!?" เขากล่าวปัดๆปัญหาในท่าทีร้อนรนอย่างมาก แล้วหันหน้าจะวิ่งออกไป
แต่กลับถูกนาริกระชากบ่าไว้อีกรอบไม่ให้หนีไปไหน
"แต่ยังไงคุณก็ชนชั้นก็น่าจะช่วยอะไรนอกจากแค่ปากพูดซะบ้าง!" ร่างบางที่ยังไม่หยุดตวาดกลับ
"แล้วจะให้ทำยังไงล่ะ ก็ผม..!" ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะชี้แจงให้รู้เรื่อง สิ่งที่เขาวิ่งหนีตาเหลือกมาก็คือ
"กรี๊ดดดดดดดดด!
คีชินยุน~♥" แฟนคลับนับ50คนมหาไทยมุงแห่งประเทศ ที่มีอัตราความบ้าคลั่งดาราน่ากลัวกว่าที่เกาหลีหลายเท่า
วิ่งมาหยุดกรี๊ดกร๊าดหลงใหลดาราที่พวกตนปลื้มมากๆ บ้างก็รุมมาขอลายเซ็น บ้างก็ขอถ่ายรูป
จนชายหนุ่มเจ้าตัวต้องรีบผงกหัว ผละออกจากวงไทยมุง ปล่อยให้สาวน้อยนาริยืนงงอยู่ตรงนั้น พลางถอนหายใจอย่างระอากับสิ่งที่เกิด
"อะไรกันเนี่ย? คนอะไร(วะ) ดีแค่หน้ากะปาก เฮ้อ..."
ขอตัวเจอพระเอกก่อนเลย กรั่กๆ
ตรงพูดกับเด็กขอวิบัตินิดหน่อย ให้ดูเหมือนเด็กมันยังพูดไม่ชัดเต็มเสียงละกันนะ- -