Chapter 12 ตามหาอาวุธในตำนาน
“เมื่อใดที่ดวงจันทราเต็มดวง เมื่อนั้น วันหายนะของโลกก็ใกล้เข้ามาถึง จงมุ่งหน้าไปทางทิศบูรพาเพื่อตามหาอาวุธในตำนาน สิ่งนั้นมิอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ขอเจ้าจงมองมันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แล้วเจ้าจะได้พบสิ่งที่แข็งแกร่ง...คำใบ้แบบนี้น่ะง่ายเกินไปรึเปล่าอ่ะ”
คริสพูดขึ้นพลางเดินไปเดินมาไม่หยุด
“ง่ายแล้วนายรู้มั้ยล่ะคริส เดินไปเดินมาหลายๆรอบเนี่ยคิดออกบ้างรึเปล่า”
เพชรพูดขึ้นพลางทำท่าครุ่งคิดเกี่ยวกับคำไปต่อไป
“เมื่อใดที่ดวงจันทราเต็มดวง ก็แปลว่าพระจันทร์เต็มดวง เอ๊ะ! งั้นก็อีก 2 อาทิตย์ น่ะสิ เพราะอีกสองอาทิตย์ก็เป็นวันแรม 15 ค่ำแล้วอ่ะแสดงว่าอีกไม่นานแล้วสินะ ที่ปีศาจจะกลับมาน่ะ”
เกิ้ลไขปริศนาประโยคแรกอย่างตื่นตกใจ
“งั้นเราจะรอช้าได้ยังไงกันล่ะ รีบไขปริศนาต่อไปดีกว่านะ จะได้รูทางแก้ไขเรื่องพวกนี้”
แนทพูดอย่างร้อนรน
“จงมุ่งหน้าไปทางทิศบูรพา เพื่อตามหาอาวุธในตำนาน ทิศบูรพา บูรพา บูรพานี่ทิศอะไรหว่า…”
คิดพูดพลางทำท่าครุ่นคิดแบบตั้งอกตั้งใจ
“บูรพา..บูรพา..อ๋อ บูรพาก็คือทิศตะวันออกไงล่ะ!”
ไอซิสพูดขึ้นอย่างดีใจยกใหญ่
“อืม! งั้นก็แสดงว่า พวกเราจะต้องเดินทางไปยังทิศตะวันออกเพื่อตามหาอาวุธในตำนานทั้งเจ็ดสินะ”
โซลพูดพลางทำท่าครุ่นคิดไม่หยุด
“งั้นเราออกเดินทางกันตอนนี้เลยมั้ยจะได้ทันเวลา เพราะอาวุธตั้งเจ็ดชิ้น แถมมองเห็นด้วยตาเปล่าไม่ได้เพราะฉนั้นเราต้องมีสติเราจึงต้องรีบนะเพราะเวลาที่คนเราจะมีสติน่ะมันมีแค่บางเวลาเท่านั้น และอีกอย่างชั้นว่าถ้าเราตามหาตั้งแต่วันนี้อาจจะได้ครบก่อนวันแรมก็ได้นะ”
วีอาเทียสเสนอแผนการ
“แต่เราจะออกจากค่ายปุ๊บปั๊บไม่ได้หรอกนะ เพราะข้างนอกมันอันตรายมากเพราะฉะนั้นชั้นว่าเราไปหาท่านเรอาดีกว่า”
เกิ้ลพูดแนะนำเสริมเข้าไป
“เดี๋ยวนะ เดี๋ยวนะ คำใบ้มีสองคำใบ้ไม่ใช่รึไง เราลองไขปริศนาทั้งสองให้ได้แล้วเอามารวมๆกันดูดีมั้ยล่ะ”
แนทเสนอความคิดเห็น
“อืม~ก็จริงนะคำใบ้จากเทพธิดาจูลี่ ท่านบอกไว้ว่า เมื่อใดที่เปลวไฟแห่งความหวังนิรันต์ปรากฏจงตั้งจิตอธิฐานทุกครั้งที่พบ แล้วสักวันเจ้าจะได้พบกับอิสรภาพของเจ้า... แล้วเปลวไฟแห่งความหวังนิรัยต์ล่ะ”
“จริงสิทุกคน! ตอนนี้น่ะพระอาทิตย์ตกแล้วนะ ต่อไปก็ขึ้นอีกครั้งยังไงล่ะ”
แนทพูดขึ้นอย่างดีใจสุดขีด
“ = = มันเกี่ยวอะไรกันอ่ะแนท”
คิดพูดขึ้นอย่างงงๆ
“นี่นายยังไม่เข้าใจที่แนทพูดหรอคิด ที่แนทเค้าพูดน่ะเป็นคำไขปริศนาที่แปลได้ง่ายๆเลยนะ พระอาทิตย์ขึ้นและตกน่ะ หมายถึงไม่มีความหวังไหนที่เปรียบเทียบได้กับพระอาทิตย์ขึ้นและตกยังไงล่ะ”
เพชรอธิบายให้กับคิดและทุกคนฟัง
“ยังไม่เค้าใจอยู่ดีอ่า”
โซลพูดขึ้นพร้อมทำหน้างุนงง
“ก็หมายความว่าไม่มีความหวังไหนอีกแล้วที่ทุกคนหวังมากตลอกกาลเท่าพระอาทิตย์ขึ้นและตกไงล่ะสมมุติว่าตอนนี้พระอาทิตย์ขึ้นและเป็นวันสุดท้ายในโอกาศที่เราจะตามหาอาวุธในตำนานวันนั้นก็คือความหวังสุดท้ายของเรายังไงล่ะจ๊ะ”
แนทอธิบายเพิ่มเติมให้กับทุกคนรู้
“อย่างนี้นี่เอง เปลวไฟแห่งความหวังนิรันต์ เปลวไฟก็คือแสงอาทิตย์ที่ร้อนเร่าความหวังนิรันต์ก็คือพระอาทิตย์ขึ้นและตก แสดงว่าคำใบ้นี้บอกให้เราอธิฐานทุกครั้งที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกไปเรื่อยๆแล้วสักวันเราจะได้พบกับอิสรภาพของเรานั่นเอง”
โซลพูดเสริมความกระจ่างเข้าไปเพราะตนก็เริ่มเข้าใจความหมายที่แนทพูด
“เข้าใจกันแล้วสินะคะ พระอาทิตย์ก็ตกไปนานแล้วสงสัยเราจะต้องเริ่มอธิฐานพรุ่งนี้เช้าแล้วล่ะ สรุปเลยนะคะว่าตอนนี้เราแยกย้ายกันกลับเต็นท์ก่อนแล้วพรุ่งนี้เช้าก็ตื่นขึ้นมาอธิฐานพร้อมกันแล้วค่อยไปหาท่าเรอาต่อเลยละกันนะ”
แนทนัดแนะกับทุกคน
“อืม งั้นพวกเราขอตัวกลับเต็นท์ก่อนละกันนะ”
นิวทิร่ากล่าวลาพลางเดินกลับเต็นท์ไปพร้อมกับสหายทั้งสองคน
“งั้นพวกเราก็ไปกันเถอะ”
เกิ้ลพูดขึ้น แล้วทุกคนก็แยกย้ายกลับไปพักผ่อนทันที
…เช้าวันรุ่งขึ้น…วิ้ง~~~~~
แสงของดวงอาทิตย์ความหวังยามเช้าของทุกคนค่อยๆสว่างขึ้นเรื่อยบนท้องฟ้า เหล่าผู้กล้าและเอลฟ์ทั้งสามต่างรวมใจกันอธิฐานตามที่เทพธิดาจูลี่ได้บอกไว้ เวลาเจ็ดโมงตรงทุกคนไปทานข้าวที่บ้านของไบรอันแล้วตกลงกันเรื่องที่จะปรึกษากับท่านเรอากันไปพลางๆ หลังจากทานอาหารเสร็จทุกคนก็มุ่งหน้าไปที่เต็นท์ของเรอาทันที และสิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องแปลกใจก็คือภายในเต็นท์ไม่ได้เป็นห้องประชุมเหมือนครั้งก่อนแต่อย่างใด แต่กลับเป็นเหมือนที่พักปกติทั่วไปแตกต่างตรงที่ว่ามีความกว้างมากกว้างกว่าที่เห็นจากภายนกด้วยซ้ำ
“....”
“ทำไมมันเงียบอย่างนี้ล่ะ ท่านเรอาไปไหนน่ะ”
คิดพูดอย่างสงสัย
“มาหาข้ามีอะไรรึเหล่าผู้กล้า…”
“ท่านเรอา”
แล้วทุกคนก็นั่งคุกเข่าลงทันที
“ไม่ต้องนั่งกับพื้นหรอกเชิญมานั่งบนโต๊ะนี่ก่อนเถอะนะ”
เรอาชักชวนทุกคนอย่างร่าเริงแบบเยือกเย็น
“ว่าแต่พวกเจ้ามาหาข้าถึงที่นี่ มีธุระอันใดรึท่านผู้กล้า...”
เรอาถามขึ้นพลางมือจัดเอกสารอะไรบางอย่างอยู่
“ที่พวกเรามาที่นี่เพราะเมื่อวานนี้พวกเราได้ทำการไขปริศนาคำบอกใบ้ทั้งสองข้อขององเทพธิดาทั้งสองไว้แล้วครับ พวกเราจึงอยากจะมาขอความร่วมมือจากท่านเรอา เพื่อทำตามคำบอกใบ้นั้นครับ”
คริสบอกกับเรอาอย่างสุภาพ
“แล้วพวกเจ้าไขปริศนาได้ว่ายังไงบ้างล่ะ”
เรอาถามคืนทันที
“จากคำใบ้ของเทพธิดาจูลี่ที่กล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่เปลวไฟแห่งความหวังนิรันต์ปรากฏจงตั้งจิตอธิฐานทุกครั้งที่พบ แล้วสักวันเจ้าจะได้พบกับอิสรภาพของเจ้า... พวกเราได้คำตอบมาว่าเปลวไฟแห่งความหวังนิรันต์คือพระอาทิตย์ขึ้นและตกเพราะทุกความหวังจะมีเวลาจำกัดพระอาทิตย์ขึ้นและตกจึงเป็นความหวังของทุกคนชั่วนิรันต์ และความหมายรวมๆก็คือ จงอธิฐานกับดวงอาทิตย์ทุกครั้งที่ขึ้นและตกเพื่อสักวันเราจะได้พบกับอิสรภาพของเราค่ะ และส่วนคำบอกใบ้ของธิดาแห่งลูซิสที่กล่าวไว้ว่า เมื่อใดที่ดวงจันทราเต็มดวง เมื่อนั้น วันหายนะของโลกก็ใกล้เข้ามาถึง จงมุ่งหน้าไปทางทิศบูรพาเพื่อตามหาอาวุธในตำนาน สิ่งนั้นมิอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า ขอเจ้าจงมองมันด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ แล้วเจ้าจะได้พบสิ่งที่แข็งแกร่ง... พวกเราตีความหมายได้ว่า เมื่อวันที่พระจันทร์เต็มดวง ซึ่งคือวันแรม 15 ค่ำ ของอีก 2 อาทิตย์ ซึ่งก็คือเรามีเวลาแค่ 14 วันในการตามหาอาวุธในตำนานเพราะถ้าเราช้าถึงวันพระจันทร์เต็มดวงก่อนเราอาจจะเตรียมตัวที่จะต่อสู้กับดราโกเนียสไม่ทันเราจึงต้องรีบออกตามหาอาวุธในตำนาน ซึ่งองเทพธิดาได้บอกให้เรามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกแล้วเราจะได้เจอกับอาวุธในตำนานทั้งเจ็ด แต่เราไม่สามารถที่จะมองเห็นอาวุธนั้นได้ด้วยตาเปล่า เราต้องตั้งจิตและสติให้มั่น ทำจิตใจให้บริสุทธิ์เราถึงจะสามารถมองเห็นอาวุธในตำนานได้ค่ะ”
แนทอธิบายความหมายของคำใบ้จากองเทพธิดาให้กับเรอาได้รับรู้
“นั่นก็หมายความว่าพวกเจ้าจะต้องรีบเดินทางเพื่อตามหาอาวุธในตำนานน่ะสินะ”
“ใช่แล้วครับท่านเรอา เพราะฉะนั้นพวกเราคิดไว้ว่า หากออกไปเพียงแค่พวกเราอาจจะเจออันตรายที่ไม่คาดคิด เราจึงต้องการเพื่อนฝูงหรือนักรบที่พอจะไปกับเราได้เพื่อจะได้ออกเดินทางไปพร้อมๆกันในวันพรุ่งนี้น่ะครับ”
คิดอธิบายให้กับเรอาฟัง
“อืม~ข้าเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้วล่ะ สรุปแล้วที่พวกเจ้ามาที่นี่ก็เพราะต้องการมาของกำลังเพื่อจะเดินทางตามหาอาวุธในตำนานใช่มั้ยล่ะ งั้นรอแปปนึงละกันนะ...ซึคุเบะ! ซึคุเบะมาหาข้าทีซิ”
เมื่อเรอากระจ่างแจ้งกับสิ่งที่ทุกคนต้องการแล้วเรอาก็เรียกซึคุเบะมาทันทีแล้วกระซิบอะไรบางอย่างให้กับซึคุเบะได้รับหน้าที่ไป ไม่นานซึคุเบะก็กลับเข้ามากระซิบตอบกับเรอาทันที
“เอาล่ะนะเมื่อกี้ข้าให้ซึคุเบะเตรียมคนไว้ให้เจ้าเรียบร้อยแล้วล่ะ เจ้าจะออกไปทำความรู้จักก่อนมั้ย”
เรอาถามทุกคนด้วยสายตาที่เยือกเย็น
“ก็ดีเหมือนกันค่ะ...เวลาเดินทางจะได้ไม่ต้องมาทำความรู้จักกันให้เสียเวลา”
ไอซิสพูดพลางฉีกยิ้มเล็กน้อย
“อืม~งั้นตามข้ามาเลยนะ”
ว่าแล้ว เรอาก็พาทุกคนเดินออกมาจากเต็นท์แล้วมุ่งหน้าไปที่กลางสนามฝึกที่มีผู้คนมากมายทันที
“นี่อากามิแม่ทัพหน่วยบุกโจมตีคิดว่าเจ้าคงจะรู้จักแล้วละนะ อากามิเค้าจะพาพวกเจ้าเดินทางตามหาอาวุธในตำนานเอง และนอกจากอากามิแล้วก็มีชิร่าและหน่วยโจมตีไกล รินโมโน่และหน่วยซัพพอร์ตอีกประมาณ10คน แล้วยัตสึมิก็จะไปคอยคุ้มกันพวกเจ้ายามราตรี และอีกคนที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางคือเครลิคหรือนัน ข้าจะให้ยายูมิไปกับพวกเจ้าด้วยสรุปแล้วทุกคนที่ข้าแนะนำไปจะเดินทางไปพร้อมกับพวกเจ้านพรุ่งนี้เช้า”
“ท่านเรอาคะ ถ้ายายูมิไปกับเราแล้วนันที่ไหนจะอยู่ที่ค่ายละคะ”
โซลถามอย่างสงสัย
“ไม่เป็นไรหรอกที่ค่ายนี้ยังมีมากิอยู่ไม่เป็นไรแน่เพราะมากิก็เป็นนันเหมือนกันพวกเจ้าสบายใจได้”
เรอาอธิบายเรื่องหมอของค่ายให้กับทุกคนฟัง
“เอาล่ะข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่อยากลำบากตอนเดินทางหลอกนะ เดี๋ยวข้าจะให้ซึคุเบะช่วยพวกเจ้าหาเสบียงเตรียมไว้สำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ละกันนะ เพราะคนอื่นเค้าก็เตรียมอาวุธไว้น่ะ อ่ะ! ซึคุเบะมาพอดีเลย เจ้าช่วยพาเหล่าผู้กล้าและเอลฟ์ของเราไปหาเสบียงเตรียมไว้สำหรับการเดินทางพรุ่งนี้ด้วยนะ”
ว่าและซึคุเบะก็พาทุกคนไปจัดเตรียมอุปกรณ์และเสบียงสำหรับการเดินทางในวันพรุ่งนี้ทันที...
การเดินทางของพวกเขาจะเป็นอย่างไร จะมีอะไรเกิดขึ้นขณะเดินทางหรือไม่ โปรดติดตามอ่านต่อตอนหน้า...The end of the chapter 12