บทที่47 สิ่งที่มิอาจรั้งไว้
"ลานบูชายัญ..?"
คำพูดเชิงฉงนใจของใครบางคนในกลุ่มดังขึ้น สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังลานที่อยู่ตรงหน้า ที่เขียนสัญลักาณ์ฝ่ายความืดไว้เป็นจุด
พร้อมจุดตรงกลางที่โดดเด่นกว่าจุดอื่น ซึ่งดูเหมือนพวกเขาจะเคยเห็นมาแล้วตรงที่เพื่อนร่วมทีมของพวกตนนอนลงตลอดนิรันดร์
"แล้วจะทำยังไงต่อ?" เสียงกล่าวห้วนๆของแฟลชทำให้ทุกคนชะงักนิ่งคิด แม้จะมองไปด้าหน้าก็เห็นเพียงแต่ความมืดในทางที่จะลุยเดินต่อไป
ไม่ทันที่ทั้งหมดจะใช้ความคิดต่อ รอยร้าวตามพื้นหินที่ทั้งหมดยืนอยู่ ณ จุดนั้นเริ่มปริแตกขึ้นเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่าจะเกิดพังทลายในไม่ช้า
หากมันกลับกลายเป็นแท่นหินผาสีดำทมิฬที่ผุดขึ้นมารัดตัวอากาช่าและคีมีเดียสไว้ในชั่วเสี้ยววินาที ความตกใจที่บังเกิดขึ้นบัดนั้น
แม้จะกระหน่ำโจมตีใส่มันก็ไปอาจปลดคลายพันธนาการเสียได้ เจ้าแพะสัตว์เลี้ยงของเอลฟ์หนุ่มเวนทีส กลับกระเด็นออกมาทรุดนอนกลางพื้น
"เจ้าคงเห็นแล้วสินะว่านี่คืออะไร...?" น้ำเสียงดั่งกรีดร้องที่ทุกคนรู้จักดี ดังขึ้นก้องไปทั่วโสตประสาท ต่อให้หันหาไปทางไหนก็ไม่มีแวว
ว่าจะเจอต้นเสียงเลยแม้แต่น้อย ทั้งหมดจึงนิ่งงันรอฟังคำต่อรองที่คาดว่านางจะกล่าวขึ้นในไม่ช้า
เฟริน่าที่เป็นผู้อาวุโสแลดูมีวุฒิภาวะสุดเริ่มเปิดประเด็ยื่นข้อต่อรองด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นไม่รู้ร้อนหนาว
"แกต้องการอะไร..."
"โอ๊ะ.. ถ้าจะบอกฆ่า ข้าคงไม่อยากทำตอนนี้หรอก เสียของเล่นฟรี" เป็นคำตอบจากนางมารที่พุ่งกลับมายียวนในโสตประสาทยิ่งนัก
"แล้วนี่แกจะทำอะไร ในเมื่อไม่ปล่อยพวกเราไป แล้วพวกเราจะไปไหนได้" เฟริน่าค่อยๆยื่นข้อเจรจาไม่ลดละ พลางเหลือบดูสถานการณ์รอบด้าน
เพื่อเป็นตัวช่วยในการเลือกคำตัดสินใจต่างๆ
"สูบพลังงานเล็กน้อย เพราะอีกฝ่ายมีตั้งหลายคน สู้กับข้าคนเดียว แบบนี้จะได้แฟร์กัน เนอะ?"
หากให้เดาจากน้ำเสียงให้ฉายใบหน้าของนาง หลายคนอาจคาดการณ์ในรูปแบบเดียวกัน ว่านางกำลังแสยะยิ้มด้วยความสะใจเป็นที่สุด..!
"แต่ถ้าพวกแกมีปัญญาปลดพันธนาการสองคนนี้ก็เชิญ แต่อย่าหาว่าข้าไม่เตือนนะ ทิ้งพวกมันไว้ที่นี่จะดีที่สุด..."
นางเว้นคำไปชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอันอำมหิตที่กรีดถึงขั้วหัวใจ "ข้าก็อยากเช็คบิลกับพวกที่ทำให้กำไลราตรีของข้าเคยร้าว..!!!"
ก่อนเสียงกึ่งกรีดร้องในโสตประสาททุกคนจะดับลง ปล่อยให้นิ่งใช้ความคิดไตร่ตรองอย่างหนักว่าควรทำอย่างไรต่อ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่กำไลราตรีของนางเกิดรอยร้าวเป็นใคร คงไม่พ้นบุคคลกลุ่มใดนอกจากพวกเขาเองในตอนนั้น..
แม้การรวมพลังทีมเวิร์กที่ดีที่สุดของผู้ครอบครองอาวุธในตำนาน ก็ทำได้แค่ให้เกิดรอยร้าวแก่ดวงใจอันน่าสะพรึงของนางมารเอลซ่าทเน้น
ในที่สุดก็ถึงแก่การพลั้งพลาดที่จะถูกพวกมันจับตัวไปคุมขังในค่ายแห่งความมืดของนางอย่างสาสมกับสิ่งที่ทำไว้กับอีกฝ่าย
แฟลชที่หมดความอดทนต่อทุกสิ่งรอบตัว จะรุดหน้าเดินต่อไปสะสางเรื่องให้มันจบๆไปตามแบบฉบับของเขา หากถุกมือเรียวของผู้อาวุโส
ประจำกลุ่มคว้าไหล่ไว้ คำตอบที่ผ่านสายตาดุแกร่งของอีกฝ่าย ทำให้เขานิ่งสงบลงได้ชั่วครู่ในท่าทีเกรงปนรำคาญของเขา
"ทุกคนโปรดฟังฉัน..." ความเงียบในบรรยากาศกลับมีเสียงหนึ่งแทรกขึ้น หากแต่ไม่ใช่เสียงที่ทุกคนคุ้นเคย และก็คงจะไม่เคยได้ยินมาก่อน
ทำให้ทุกร่างที่ยืนอยู่ ณ จุดนั้นต่างเกิดความฉงนใจหาต้นตอของเสียงกันพัลวัน
"ใครพูดน่ะ!?" มาช่าเริ่มโหวกเหวกระแวงถามก่อนเป็นคนแรก ก่อนที่ทั้งหมดจะเลื่อนสายตาไปที่ร่างของแพะน้อยที่นอนนิ่งอยู่กับพื้น
ยิ่งเข้าไปใกล้มัน เสียงที่ส่งผ่านมาเมื่อกี้ก็ยิ่งดังขึ้น ถ้าให้เดาก็คงคิดว่าเจ้าแพะนี่พูด
หลายคนที่อยู่ตรงนั้นคงจะจิตหลุดลอยเลื่อนจนหลอนได้ยินสิง่ที่คาดหวังไว้เป็นเสียงเดียวกันกระมัง ทว่าเสียงปริศนายังดังก้องขึ้นไม่หยุดหย่อน
จากร่างของแพะน้อยที่นอนสลบไสลอยู่กับพื้นตรงนั้น
คราวนี้ทั้งหมดเริ่มตั้งข้อสังเกตว่ามันอาจจะไม่ใช่อาการหูแว่วแต่อย่างใด เสียงนี่มันผ่านมาจากร่างของเจ้าแพะพิกม่านี่จริงๆ..
แล้วถ้านั่นเป็นเสียงจริงๆของแพะพิกม่ามอนสเตอร์หน้าตาน่ารักน่ากอด คงจะอดปล่อยหัวเราะออกมาไมได้ เพราะน้ำเสียงที่ส่งผ่านออกมา
ช่างดูยิ่งใหญ่ เกรงขาม และอบอุ่นในความรู้สึกที่ยากจะอธิบายให้รับรู้หากไม่สถิตด้วยหูตนเอง
'จิตส่งผ่าน..?' อากาช่าที่ฉุกคิดได้จึงตัดสินใจโพล่งขึ้นมาในระดับที่ทุกคนได้ยิน แต่ในสภาพที่เธอถูกหินผาพันธนาการไว้ทั่วริมฝีปากเช่นนี้
คงยากหน่อยถ้าจะส่งเสียงผ่าน แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้ทุกคนได้รับรู้
"อู..อิ๊ส..!!!" เสียงเล็กลีบที่พยายามเค้นรอดไรฟันและสิ่งที่พันธนาการอยู่ เมหือนเป็นคำตอบของข้อสงสัยที่ตั้งไว้ตรงหน้า
หากคนที่เหลือต่างก้๙ไม่ค่อยจะเข้าใจในสิ่งที่เธอกำลังจะเค้นออกมาเป็นคำตอบ เลิฟโลว์จึงเริ่มย้ำคำกับเธอ
"อะไรนะคุณอากาช่า?"
หญิงสาวผู้ถูกพันธนาการยิ่งเห็นเช่นนี้ยิ่งพยายามบอกคำตอบให้ดังขึ้นอย่างสุดความสามารถ "อู..อิ๊ส!!!"
โชคที่ไม่ค่อยเข้าข้างเท่าไหร่ เพราะคนที่พอเข้าใจกับคำพูดของอากาช่ากลับเป็นเอลฟ์หนุ่มคีมีเดียสที่ถูกพันธนาการไว้ด้วยกัน
เขาจึงพยายามเค้นเสียงช่วยพูด "อู..อิ๊ส ไอ้อ้ายอิน..อ๋อ!!!"
คำพูดที่ไม่เป็นศัพท์ของเหล่าคนที่ถูกพันธนาการ ยิ่งทำให้คนที่จะแกะคำตอบยิ่งมีอันงุนงงฉงนใจมากขึ้น
ในที่สุด เสียงห้วนๆที่จุดประกายเป็นคำตอบก็ดังขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์เท่าไรห่นัก
"ลูซิสไง ยัยพวกโง่ ปากโดนมัดอยู่ก็ต้องพูดไม่ชัดเป็นธรรมดา"
แม้จะเป็นคำตอบที่ปนคำด่า แต่ก็ช่วยให้ทั้งหมดเข้าใจต่อสถานกาณ์ตรงหน้าได้ดียิ่งขึ้น
"จ้า..เวลาจะเฉลยคำตอบน่ะ พูดแค่คำตอบ...ก็พอแล้ว..!" เฟริน่าว่าพลางดันหัวของแฟลชไถลไปอีกทางในเชิงเอาคืน
เมื่อทุกคนเข้าใจทุกสิ่งแล้ว จึงไปสังเกตที่ร่างอ้วนท้วนของแพะที่นอนอยุ่อีกครั้ง
"ใช่ ข้าลูซิสเอง..." น้ำเสียงอันทรงพลังเช่นนี้ ไม่แปลกเลยที่ผู้ทีได้ฟังแล้วต้องคุกเข่าลงอัตโนมัติเพื่อเป็นการเคารพต่อผู้อยู่เบื้องสูง
"ใช่เสียงท่านจริงๆด้วย!" เลิฟโลว์โพล่งออกมาในขณะที่ยังอึ้งกับเหตุการณ์ตรงหน้าไม่หาย
"ถูกต้อง.. สถานการณ์ที่มีคนจิตหลุดอย่างเจ้าแพะพิกม่าตัวนี้ ทำให้ข้าสามารถส่งเสียงผ่านร่างของมันได้..."
เทพีลูซิส ผู้เป็นทวยเทพแห่งแสงและความถูกต้องทุกสิ่งบนโลกใบนี้ กำลังพูดคุยอยู่ต่อหน้าพวกเขา.. ช่างเป็นสิง่ที่มหัศจรรย์ที่สุดในชีวิต
หลังจากที่นางเห็นว่ากล่าวเรื่องที่มาที่ไปแล้ว จึงเริ่มเข้าแก่นประเด็นสำคัญ
"นังน้องสาวฝาแฝดของข้า มันเล่นลูกไม้แบบนี้อีกล่ะสิ..."
ไม่มีเสียงตอบรับจากปากของบุคคลใดๆ นอกจากการพยักหน้าให้คำตอบ
"ข้าเข้าใจ... เหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนานทั้งหลายเอ๋ย..."
เหล่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงรีบแอ่นหลังตรงรีบรับตามคำบัญชาสูงสุด "อะไรคะ?" ซึ่งมีเฟริน่าเป็นคนขานรับนำเป็นนัย
"ข้าว่าถึงเวลาแล้ว ที่พวกเจ้าควรจะปลดปล่อยทุกสิ่งที่กำลังเหนี่ยวรั้งไว้"
คำกล่าวที่เป็นนัยของผู้เบื้องสูง เริ่มตีความหมายในหัวสมองของเหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตนานตรงหน้าทุกคน
เฟริน่าที่เริ่มเข้าใจดีแล้ว เริ่มขานรับกลับด้วยน้ำเสียงเรียบ "เหล่านักรบเยี่ยงข้าทั้งหลายเข้าใจดี..."
สิ่งที่เฟริน่าเข้าใจก็ไม่ต่างจากวคามคิดทุกคน มันถึงเวลาแล้ว... ทุกคนต้องปลดปล่อยละมันไว้ที่นี่...
แฟลชพยายามเค้นเสียงรอดไรฟันให้เบาที่สุด "แต่เราก็ไปสุ้กับพวกบ้านี่ได้ ไม่ใช่เหตุเลยที่จะต้องสละ...!"
ก่อนคำพูดของเขาจะชะงักลงด้วยสายตาดุแกร่งของเฟริน่าอีกรอบ เธอเบนสายตาไปมองที่ร่างแพะเชิงขออณุญาตบางอย่าง
'เฟริน่า เจ้าคงเป็นผู้ที่เข้าใจดีที่สุด ข้าขอให้เจ้าอธิบายเจตนารมณ์แทนข้า เพื่อไม่ให้มันดูเป็นคำบังคับบัญชาจากเบื้องบน
แต่มาจากความยินยอมจากใจของพวกเจ้าที่แท้จริง' เสียงกระซิบแห่งเทพีที่ดังขึ้นในหัวของเฟริน่าแต่เพียงผู้เดียว
เธอพยักหน้าให้กับความิคดที่แล่นผ่านเข้าสมอง ก่อนจะเริ่มชี้แจงให้เพื่อนร่วมทีมที่มียศถาเป็นผู้ครอบครองอาวุธในตำนานให้ทุกคนทราบ
"แน่นอนว่าทุกคนคงจะเข้าใจ มันไม่ใช่เวลาของพวกเราแล้วที่จะแห่ทัพไปตีนังเอลซ่านั่น..." เฟริน่าเว้นจังหวะหายใจชั่วครู่ ก่อนจะแจงเหตุต่อ
"จริงอยู่ที่หลายหัวดีกว่าหัวเดียว แต่สถานการณ์แบบนี้ การรุมแบบหมาหมู่เยอะๆ มันไม่ใช่ทางออกที่ดีที่สุด..!!"
"พวกเรามีหน้าที่เป็นตัวดำเนินเรื่องตามคำทำนายชะตากรรม ทุกอย่างขึ้นอยุ่กับเขา..."
เฟริน่าเว้นช่วงอีกครั้ง ก่อนปรายสายต่าเธอไปทางเอลฟ์หนุม่ที่นิ่งฟังดว้ยแววตามุ่งมั่น
"เขาผู้เป็นตำนาน และเขาจะสะสางเรื่องทุกอย่าง โดยมีพวกเราเป็นบันไดอีกขั้นให้ก้าวถึง..."
"สิ่งที่ทุกคนต้องทำ อาจจะเจ็บปวดหรือระลึกถึง ทว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนต้องเหนี่ยวรั้งมันอีกต่อไป..."
สิ้นคำของเฟริน่า ลานบูชายัญตรงหน้า ถูกแสงปริศนาที่พุ่งออกมาจากตัวแพะพิกม่า เสกแปรสภาพค่อยๆกลายเป็นลานบูชาเทพเจ้าแห่งแสง
ซึ่งประดับด้วยบุปผาประทินโฉมอยู่หลากนานาพรรณ ให้ดูร่มรื่นแก่สายตาเป็นอย่างดี
ก่อนแท่นตรงกลางซึ่งเป็นกล่องเก็บอาวุธขนาดใหญ่ ซึ่งมีรอยยวบลงไปตามรูปร่างศาสตรานั้นๆ เป็นคำตอบที่ดีที่สุด
"คงเข้าใจแล้วนะ" เฟริน่ากล่าวทิ้งท้าย คู่ดวงตาเหมือนมีหยาดน้ำใสๆเกาะอยู่เป็นหยดๆ เหมือนมันกำลังยอมรับในชะตากรรมที่กำลังจะเป็นไป
"ชีวิตของพวกเจ้า ดำเนินตามชะตากรรมมาหนักหนาสากัลป์แล้ว ต่อจากนี้ชะตาของเจ้า จะเป็นไปตามสิ่งที่เจ้ากำลังจะทำ..."
คำกล่าวที่เป็นโดยนัยของผู้เป้นเทพี ดังขึ้นในโสตประสาทของทุกคนอีกครั้ง อากาช่าผู้ที่สามารถจะแปลความหมายออกพอๆกับเฟริน่า
จึงเริ่มที่จะมีหยาดน้ำใสๆในเชิงล่ำรากับทุกคน
"พวกข้าแน่ใจแล้ว" เลิฟโลว์ตอบอย่างฉะฉาน แม้ตามใบหน้าของเธอจะเปื้อนด้วยรอยน้ำตาที่ไหลชโลมออกมาเป็นสาย
"พวกเราจะไม่ลืมวันเวลาทุกอย่างที่เราเคยร่วมฟันฝ่ามาด้วยกัน..." เฟริน่ากล่าวทิ้งท้าย
ก่อนจะเดินเรียงนำหน้าวางอาวุธปืนในตำนานของตน ตามด้วยอาวุธในตำนานของแต่ละคน
และกำไลวิญญาณในตำนานของวาเนซซี่ที่ฝากฝังไว้แต่ก่อนหน้า ลงในรอยเก็บอาวุธ
หฤรีบใหญ่สลักสลายสีทองอร่ามค่อยๆหุบปิดลง ร่างของพวกเขาค่อยๆสลายไปกลายเป็นริ้วแสง
"พวกเจ้าจะได้ไปเกิดใหม่ หากสงครามทั้งหมดสิ้นสุดลง..." เทพีลูซิสแจงเหตุด้วยน้ำเสียงที่ขุ่นลงไป
"ความหวังพวกเราทั้งหมดอยู่ที่นายแล้วนะ คีมีเดียส..." เฟริน่าฉีกยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย เป็นคำตอบและผลลัพธ์ที่ให้สำหรับเขา
คันศรโลหิตในมือของเอลฟ์หนุ่มค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นจนแทบเท่าขนาดตัว ออร่าแสงที่แผ่ซ่านมากขึ้นตามอนุภาพความรุนแรงของมัน
ที่ถูกเสริมพลังมาด้วยอย่างดีจากการเสียสละของพวกเพื่อนร่วมทีมทุกคน
"ถ้าแกทำไม่สำเร็จ ชั้นเป็นผีมาหลอกแกแน่" แฟลชกล่าวโดยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ ทั้งๆที่ใบหน้าของเขานิ่งลงกว่าทุกครั้งที่ควรเป็น
"พวกเราจะไม่มีวันลืม" ตามด้วยเลิฟโลว์ที่เอ่ยเชิงสั่งเสีย
"โชคดีนะ..." ปิดท้ายด้วยมาช่าที่อวยพรเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเธอ ในขณะที่ร่างของเหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนาน
จะสลายไปตามหฤรีบเก็บศาสตราของพวกเขาเป็นริ้วแสงสลายไปทีละคน...
หินผาพันธนาการบุคคลทั้งสองคลายลง ทำให้อากาช่าและคีมีเดียสได้เปิดปากพูดคำกล่าวร่ำลาอย่างที่ควรจะเป็นที่สุด
พลางหยาดน้ำตาที่ไหลพรากให้แก่เพื่อนร่วมทีมที่ดีที่สุดของพวกเขาเป็นครั้งสุดท้าย
"ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง... ลาก่อนนะ..."