บทที่48 สิ่งที่แลกด้วยชีวิต
ครันร่างของผู้ครอบครองอาวุธในตำนานทั้งหมดสลายไปพร้อมๆกับลานบูชาเทพเจ้าและกล่องเก็บศาสตราแห่งตำนาน
เสียงอันทรงอำนาจแห่งฝ่ายแสงดังขึ้นอีกรอบเพื่อเป็นการสติตัวแทนนักรบฝ่ายแสงที่อยู่ตรงหน้า
"ข้านึกเสียดายที่ข้าไม่สามารถสะสางปัญหานี้ได้ด้วยตัวข้าเอง อันร่างของข้าที่สามารถลงมาสถิตบนโลกมนุษย์นี่ได้
แค่น้ำเสียงข้ายังต้องส่งผ่านร่างสัตว์โลกที่จิตหลุดเช่นนี้ ข้าหวังว่าตัวแทนตำนานแห่งฝ่ายแสงของเราจะไม่ทำให้ทุกคน
และโลกใบนี้ผิดหวัง..." คำกล่าวทิ้งท้ายอันทรงอำนาจ สดับอยู่ในห้วงความคิดของตัวแทนนักรบฝ่ายแสงที่เห็นจะเป็นผู้ทีได้เรียกว่าเป็นตำนาน
เอลฟ์หนุ่มนามว่า คีมีเดียส ด้วยในมือเป็นคันศรโลหิตที่ถูกเสริมพลังจะอาวุธในตำนานทั้งหมดรวมกัน คันศรขนาดยักษ์ที่มีความแข็งแกร่ง
พอจะพิฆาตนางมารสูงสุดแห่งฝ่ายความมืดได้ เจ้าของแววตามุ่งมั่นโค้งคำนับเทพเจ้าของตนพลางกำศาสตราในมือแน่น
นักเวทย์สาวที่หลงเลหืออยู่คนเดียวในสมรภูมินี้ก็ยินดีรับคำแทนเขาเฉกเช่นเดียวกัน
"พวกข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวัง" ดวงหน้าเปื้อนยิ้มและคราบน้ำตาเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน กับน้ำตาแห่งการจากไปของพวกพ้อง
และรอยยิ้มที่ได้รับเกียรติสื่อสารกับเทพเจ้าของตนที่แม้ชีวิตนี้เธอก็ไม่คิดว่าจะได้มาถึงจุดนี้ได้
"ข้าก็เช่นกัน จะพยายามให้ถึงที่สุด เพื่อทวงความสงบสุขและสันติภาพกลับมาหใจงได้" เอลฟ์หนุ่มผู้เป็นความหวังแห่งชะตากรรมโลกมนุษย์
ตั้งคำสัตย์มั่นสัญญา ที่มิอาจจะบิดเบือนได้ด้วยความเต็มใจและมุ่งมั่นถึงขีดสุด
เทพีลูซิสที่จ้องมองอยู่ ณ จุดเบื้องบนถึงกับผ่อนลมหายใจออกมาในท่าทีที่วางใจแล้ว ก่อนถอดจิตของตนออกจากร่างของเจ้าแพะพิกม่าเสีย
เมื่อหมดเวลาธุระ เพราะเกรงจะเกะกะระรานต่อไป พลางรำพึงออกมาเบาๆด้วยน้ำเสียงทีเปีย่มไปด้วยความหวัง
"ข้าก็เชื่อมั่นเช่นนั้น..."
ฝีเท้าหนักย่างสามขุมไปตามทางเดินอันมืดมิดที่ไม่เห็นจุดสิ้นสุดของมัน พร้อมด้วยพรรคพวกที่เหลือดรอดอยู่เพียงคนเดียว ซึ่งก็น่าจะ
เป็นผู้ที่ชี้แนะนำทางเขาได้ดีที่สุดก่อนจะเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง
"ระวังให้ดีนะ นังนางมารนั่นมันอาจจะโผล่เมื่อไหร่ก็ได้" คำกล่าวเตือนของผู้ชี้แนะ ทำให้เขาเกร็งตัวตั้งปฏิกิริยาเตรียมตัวรบราได้ทุกเมื่อ
หากเสียงฝีเท้าทุกคู่ได้หยุดลง เพื่อมองสิ่งที่อยู่ทางหน้าพวกตนออกไป
ภาพที่เห็นตรงหน้าเป็นลานที่คล้ายลานประลอง ซึ่งด้านหลังของมันก็เป็นขอบเหวแห่งห้วงมิตินี้ ถือเป็นจุดสิ้นสุดแห่งหวงมิติก็ว่าได้
นักรบฝ่ายแสงทั้งสองคอ่ยๆย่างก้าวเข้าไปด้วยท่าทีเตรียมพร้อมรับมือกับการต่อสู้เต็มที่ พลันเหลือบเห็นดวงไฟสีม่วงลุกโชนขึ้นรอบๆ
"ยินดีต้อนสู่ลานประลองแห่งชะตากรรม โฮะโฮะโฮะ...!" ร่างของต้นเสียงค่อยๆแหวกออกมาจากมิติแห่งความมืด
มือสีซีดพรายเล็บสีเขียวดั่งพิษกรีดกรายไปที่เรือนผมสีดำทิมฬที่ดูแห้งไร้ความสลวยใดๆ มุมริมฝีปากสีม่วงฉีกขึ้นจากการแสยะยิ้ม
นางหัวเราะกึ่งกรีดร้องเมื่อเห็นอีกฝ่ายอยู่ตรงหน้าแล้ว ซึ่งก็เป็นบุคคลที่นางรออยู่พอดี
"เอลซ่า ทีนี้แหละเราจะตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกัน" น้ำเสียงทุ้มของเอลฟ์หนุ่มกึกก้องขึ้นดว้ยความองอาจ หากมันถูกกลบด้วยเสียง
หัวเราะบาดหูที่แผดเสียงดังยิ่งขึ้น ทำให้อากาช่าต้องยกมือห้ามคนที่อยู่ด้านหน้าไว้ก่อน เมหือนจะเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายพร่ำเพร้ออะไร
บางอย่างจนกว่าจะพอใจ
"น่าเสียดายนะ ที่เจ้าเลือกตัวเลือกข้อสอง...!" นางเว้นคำไว้ชั่วหนึ่งก่อนแสยะฉีกยิ้มให้กว้างยิ่งขึ้นแล้วโพล่งออกมา
"กับการที่เลือกเพื่อนตัวเองเป็นเครื่องสังเวย!!! ช่างน่าขบขันจริงๆที่ควาคิดนี้มีนังพี่สาวฝาแฝดข้าเป็นคนต้นคิด...!!!"
"โง่จริงๆ..."
มีเพียงมือที่กำแน่นของนักรบฝ่ายแสงทั้งสอง อารมณ์ที่เริ่มกีราดเกรี้ยวจากการดูถูกศักดิ์ศรีระหว่างเพื่อน และความเคารพในเทพเจ้าองค์เดียวของตน
ริมฝีปากของหญิงสาวจอมเวทย์ขมุบขมิบเชิงท่องคาถาเตรียมเวทย์ไว้อย่างช่อชอง ส่วนเอลฟ์หนุ่มข้างตัวก็เตรียมเล็งคันศรไว้แล้ว
"ใจร้อนกันจริงๆ" นางมารส่ายหน้าอย่างระอาเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย
ก่อนจะกระดิกนิ้วให้เป็นสัญญาณ...! "ถึงเวลาที่พวกเจ้ารอคอยแล้ว!!!"
สิ้นเสียงตะโกนของนาง เหล่ามอนสเตอร์ธาตุมือทั้งการ์กอย โกเลมหินผา คล็อกโครเดี้ยน ที่เรียกมาจนเต็มลาน ก่อนนางจะกระโดดขึ้นไป
ตั้งตัวอยู่บนแท่นหินที่ลอยหวืออยู่กลางอากาศ พลันสัญญาณสั่งการอย่างเลือดเย็นก็ถูกประกาศิตขึ้น
"ฆ่ามันซะ...!"
ไม่ทันขาดคำ เหล่ามอนสเตอร์ทั้งหมดต่างคำรามปลุกสัญชาตญาณสัตวืป่าที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อตรงหน้าให้ตายเสียได้ทุกเมื่อ
ดวงตาคละสีของพวกมันค่อยๆแปรสภาพกลายเป็นสีเลือดดั่งถูกอาบไว้ชวนขนลุกด้วยความสยดสยอง
เหล่านักรบฝ่ายแสงที่เห็นเช่นนี้แล้วจึงรีบทำตามหน้าที่วิถี ที่กำชับเอาไว้ตั้งแต่ระหว่างทางเดินที่ผ่านมา
ร่างของนักเวทย์สาวพุ่งตัวเข้าพร้อมเวทมนตร์จำนวนมากที่เธอเตรียมร่ายไว้แล้วยื้อประจัญบานกับคู่ต่อสู้ที่เป็นมอสเตอร์ตรงหน้าอย่างบ้าระห่ำ...!
'ชั้นรู้ว่ามันจะต้องใช้ลูกไม้เรียกลูกสมุนมาผสมโรงแน่ ส่วนนี้ชั้นขอจัดการเอง'
'ส่วนนาย ก็จัดการนังเอลซ่าซะ ไม่ต้องห่วงชั้น ทำส่วนตัวเองให้ดีที่สุดก็พอ ถ้ามันเกิดเหตุสุดวิสัยค่อยว่ากันอีกที'
คำกล่าวกำหนดวิถีต่อสู้ที่ทบทวนอยู่ในสมองเขาได้แสดงขึ้น ทำให้เอลฟ์หนุ่มผละตัวออกจากวงมอนสเตอร์ก่อนกระโดดพุ่งตัวไปเกาะตัวตาม
หินผาที่ลอยอยู่เป็นระยะๆ นางมารเอลซ่ากระตุกยิ้มพลางตะโกนหยามอีกฝ่ายเป็นน้ำจิ้มให้การต่อสุ้ดุเดือดขึ้น
"ทิ้งเพื่อนมาหาข้าเรอะ แหม..! เห็นเช่นีน้แล้วข้าก็จะสนองความอยากตายของเจ้าให้สาสม!!!"
นางสั่นมือที่คล้องไว้ด้วยกำไลราตรี เป้าหมายของอีกฝ่าย หากทำลายกำไลราตรีได้ก็เดาไม่ยากเลยที่จะลดหลั่นพลังของนางลง...!
สิ้นคำของนางคลื่นพลังความมืดก็แหวกอากาศมาหมายจะกลืนกินสิง่ที่อยู่ตรงหน้าให้หมดสิ้น
เอ็นคันศรโลหิตถูกง้างอย่างใจเย็น ก่อนจะปล่อยให้ลูกศรเวทย์ที่แผ่ซ่านด้วยออร่าธาตุแสงอันรุนแรงถาโถมกว่าเดิมหลายเท่า
ฉับพลัน ลูกศรที่พุ่งไปได้แหวกคลื่นพลังความมืดพลางเรืองแสงสลายความมืดมิดนั้นให้หายไปไหนบัดดล
ศัตรูอีกฝ่ายที่เห็นดังนั้นจึงเอี้ยวตัวหลบลูกศรอย่างทันท่วงที หากร่างของนางยังถูกเฉี่ยวด้วยออร่าแสงทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อนตามตัว
ด้วยความเจ็บปวดทรมาน "เจ้า...!"
ไฟอันแรงกล้าแห่งการต่อสู้ลุกโชนขึ้นพร้อมๆกับความหวังที่ทุกคนตั้งไว้แก่ตัวเขา เป็นแรงผลักดันที่ส่งผลให้การต่อสู้ครั้งนี้สำคัญยิ่ง
สายคันศรถูกง้างขึ้นนับ10ครั้ง แล้วปล่อยพุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว ด้วยทักษะฝีมือที่เขาชำนาญรวมถึงออร่าแห่งแสง
ที่เปล่งออกมาเป็นกำลังใจต่อท่ามกลางสถานการณ์รอบด้านที่มืดมิด ยิ่งทำให้ต้องสั่งการมือของตนให้ยิงลูกศรออกไปอย่างแม่นยำที่สุด
ลูกศรแสงหลายดอกพุ่งผ่านนางมารตามการเอี้ยวร่างหลบอย่างคล่องแคล่ว พลางการโต้ตอบด้วยคลื่นพลังแห่งความมืดที่มีจำนวนมาก
ไม่แพ้ลูกศรที่พุ่งมา ต่างฝ่ายที่ต่างหลบการโจมตีของคู่ต่อสู้กันพัลวัน ทว่าก็ไม่ลืมที่จะโต้ตอบกลับไปด้วย
ความหัวแข็งของคู่ต่อสู้ที่นางไม่เคยเจอมาก่อน หากเทียบกับนักรบฝ่ายแสงที่เคยเจอมา ก็ไม่เคยที่จะต้องมารับมือใครเช่นนี้
ยิ่งเช่นนี้ความสนุกในใจก็ยิ่งถูกปลุกกระตุ้นขึ้น พร้อมๆกับสติที่บ้าระห่ำกับสถานการณ์ตรงหน้า
"ฮ่าฮ่า!! ดูซิว่าไอการเสียสละกับพรงี่เง่าของพวกพ้องแก มันจะมีน้ำยาสักแค่ไหน!!!" น้ำเสียงที่ตวาดหนักขึ้นของฝ่ายตรงข้าม ทำให้พิกม่า
ที่เกาะอยู่บนไหล่ของเขาลุกตัวขึ้นร้องฮึดฮัดในลำคอตามประสามอนสเตอร์ทั่วไป
"เห็นทีข้าต้องเต็มที่เสียแล้ว...!" สิ้นคำของนาง ปฏิกิริยาแห่งความืดอันน่าสะพรึงได้บังเกิดขึ้นกำไลราตรีบนรอบข้อมือของนางมารเอลซ่า
เสียงกรีดร้องแห่งวิญญาณหลายแสนล้านดวงกำลังโหยหวนแผดขึ้นอย่างไม่รู้จบ ความน่าสะพรึงกลัวที่ใครเมื่อได้ยินเสียงเหล่านี้
อาจต้องจิตหลุดไปเพราะมัน หากจิตใจที่เข้มแข็งของฝ่ายตรงข้ามจึงทำให้เสียงกรีดร้องนี้ไม่ได้ทพให้เขาหวั่นไหวต่อสมาธิที่มีอยู่แต่อย่างไร
คาถาบทสวดที่ฟังไม่เป็นภาษาดังอุบอิบออกจากรีมฝีปากเรียวซีดของนาง ถึงแม้จะถูกการโจมตีจากลูกศรของอีกฝ่ายสกัดขัดขวาง
ทว่าก็ไม่สามารถที่จะหยุดจังหวะการร่ายคาถามนต์ดำของนางได้ มีเพียงความกังวลที่เกิดขึ้นในใจของเอลฟ์หนุ่มที่ไม่รู้ว่า
ถ้าศัตรูตรงหน้าร่ายคาถาอันยาวนานเสร็จสำเร็จสมใจมัน จะเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก...!
เหล่าดอกลูกศรแห่งแสงที่ผ่านตัวนางมารไปนับแล้วนับเล่า ก็ยังไม่สามารถหยุดการท่องคาถาของนางได้อยู่ดี
ชั่วเวลานั้น เอลฟ์หนุ่มตัดสินใจที่จะเป็นฝ่ายตั้งรับเสียบ้าง ก่อนจะหยุดรัวยิงธนู แล้วง้างลูกศรลูกใหม่ด้วยเวลายาวนานพอกัน
ตามทักษะการประมวลผลสถานการณ์ที่ฝึกสอนมาอย่างดีระหว่างที่เขาเป็แค่นักรบคนหนึ่งในกองกำลังเท่านั้น
เสียงกรีดร้องแห่งบทสวดของนางมารเอลซ่าแผดขึ้นเรื่อยๆ ดวงวิญญาณที่โหยหวนยิ่งวนเวียนอยู่รอบๆร่างของนางเป็นจำนวนมากยิ่งขึ้น
จนแทบจะเรียกว่าห่อหุ้มร่างไว้เลยก็เป็นได้ ในขณะที่อีกฝ่ายก็ง้างคันธนูที่ชาร์จพลังไว้ให้ถึงขีดสุดแล้วปล่อยพุ่งไปหมายโจมตีเป้าหมาย
ทว่าดวงวิญญาณที่อยู่รอบๆกลับกลายเป็นตัวเกราะรับเคราะห์แทนสิ่งที่มันวนเวียนอยู่ ก่อนทื่มันจะสลายไปตามเสียงโหยหวนครั้งสุดท้ายของมัน
สร้างความตกใจให้เอลฟ์หนุ่ทมมิใช่น้อยที่แม้จะต้องการทำลายตัวต้นเหตุกลับกลายเป็นเขาพลั้งไปทำลายดวงวิญญาณบริสุทธิ์เสีย
หรือว่า นี่คือวิถีจับตัวประกัน!?
พลันบทสวดที่ไม่เป็นภาษาสิ้นสุดลง จึงปิดท้ายด้วยเสียงคำรามอันบาดหูกึกก้องจากร่างของนางมาร ผมแห้งกรังชี้ขึ้นตามแรงปะทะของพลังวิญญาณ
จากกำไลราตรีที่สูบฉีดขึ้นให้ถึงขีดสุด ดวงวิญญาณรอบๆเริ่มลอยสะเปะสะปะไม่เป็นทิศทาง ออร่าความมืดที่ออกมาเป็นชั้นๆพุ่งออก
เป็นคลื่นเกรียวเตรียมทำลายทุกสิ่งรอบๆเป้าหมาย คีมีเดียสที่เริ่มเห็นท่าไม่ดีจริงต้องเปลี่ยนเป็นฝ่ายหลบหนีจากพลังออร่าแทน
ทว่า เกรียวคลื่นพลังความมืดกลับมีความเร็วมากกว่าการเคลื่อนไหวของมนุษย์ธรรมดาจะสามารถหลบหนีได้ทัน
ร่างกำยำที่หุ้มด้วยเกราะหนังชั้นดีของเขาจึงเกรียวคลื่นความมืดพุ่งเข้าทำลายกัดเซาะกลางตัวไปโดยไม่สามารถแม้จะหลบได้
"อ๊ากกกกก...!!!!"
ความเจ็บปวดทรมานแล่นเข้าสู่โสตประสาทของเอลฟ์หนุ่มผู้ถูกเกรียวคลื่นความมืดกัดกินพลังวิญญาณจากในตัว ได้ระเบิดเสียงกรีดร้อง
ตามความรู้สึกของทนที่ยากจะอัดอั้นเอาไว้ ร่างของเขาค่อยๆทรุดลงตามพื้นหินที่เขายืนอยู่หลังจากเกรียวคลื่นค่อยๆสลายไป
หลังจากที่หมดอิทธิฤทธิ์ของมันแล้ว มือที่ป้องไว้โชกด้วยเลือดจากแผลเหวอหวะภายนอกจากการกัดกินของวิญญาณธาตุมือเหล่านั้น
เกรียวคลื่นพลังความมืดที่ออกมานับ10ลูกหนึ่งกำลังจะพุ่งมาที่ตัวเขาอีกครั้ง..!
'แย่ล่ะ! กลบไม่ทันแน่!!!'
ฉับพลัน ในชั่วเสี้ยววินาทีที่เอลฟ์หนุ่มคาดว่าอาจต้องเจ็บตัวปางตายอีกครั้ง กลับถูกหยุดลงพร้อมเสียงที่ร่ายคาถาที่คุ้นหูอุบอิบอยู่ในระยะอันใกล้
ก่อนมันจะถูกปลดปล่อยออกไปเป็นพลังเวทย์ซัดเกรียวคลื่นความมืดออกไปเสียหมดสิ้น
เมื่อลืมตาขึ้นมาดูสิ่งที่อยุ่ตรงหน้า บุคคลที่เขาไม่คาดคิดว่าจะขึ้นมาช่วยเขาได้ในเวลาทันเวลาก็ปรากฏต่อหน้าเขาแล้ว
"อา..กาช่า!!!?"
"ใช่น่ะสิ คิดว่าใครล่ะ? เชอะ...!" เสียงเรียบเย็นชา แต่แฝงด้วยคำพูดสบถอิดออดประมาณว่า 'ไม่ได้เรื่อง' นั้นทำให้เขาอุ่นใจยิ่งนัก
ที่พวกพ้องของเขากลับมาร่วทมในสมรภูมิเดียวกันอีกครั้ง
"ให้ตายสิ ต้องให้ชั้นมาช่วยทุกครั้งเลยหรือไงนะ ถ้าชั้นจัดการมอนสเตอร์ข้างล่างไม่เสร็จแล้วรีบขึ้นมานี่คิดว่านายจะรอดเรอะ?"
แม้คำบ่นอุบอิบจะดังขึ้นเป็นระยะ ทว่าคาถาที่เธอร่ายเวทย์อยู่นั้นสำคัญกว่าที่จะมานั่ง
บ่นด่ากันอยู่ตรงนี้ และที่สำคัญที่สุด ศัตรูฝั่งตรงข้ามคงจะมีลูกไม้อะไรใหม่ๆมาให้แล้วแน่ๆ
ในเมื่อหัวเดียวตาย ยังไง2หัวก็ต้องรอด...!
ร่างของนางมารเอลซ่าค่อยๆผุดขึ้นจากความมืดด้านหน้าอีกครั้ง เสียงหัวเราะบาดหูกระอักกระอวนดังขึ้นอีกครั้ง
ด้วยท่าทีที่แข็งกร้าวขึ้นของอีกฝ่ายที่เป็นนางมารแห่งความมืดรัติกาลทั้งปวง
"ข้าจะไม่ออมมือแล้ว...ฮ่าฮ่า..!" นางกรีดกรายเค้นคำพูดที่แสนจะปวดหูทุกครั้งสำหรับคนที่ฟัง ก่อนจะสวดคาถาอุบอิบแล้วจมวูบไปในความมืด
อากาช่าที่เห็นเช่นนั้นจึงรีบตั้งอาวุรับ หนัซ้ายหันขวาล่อกแล่กไปมา ไม่ว่าจะเป็นยังไง ก็ต้องป้องกันไว้ให้ได้
เพราะเป้าหมายของเธอคือถ่วงเวลาให้คีมีเดียสพักฟื้นให้ได้มากที่สดเท่าที่จะทำได้ แม้มันจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม
"บน!!!" สิ้นเสียงของหญิงสาวจอมเวทย์ เวทย์ธาตุไฟได้พุ่งออกมาจากเกจพลังเวทย์ใต้เท้าของเธอโดยมีทิศทางไปสู่ทิศบนที่มีแต่ความมืดสงัด
มือแต้มเล็บเขียวของนางแหวกออกมาจากความมืดหยุดยั้งพลังไฟที่จ้องจะเผาผลาญทุกสิ่งไว้
ในจังหวะนั้นอากาช่าที่ร่ายเวทย์เตรียมไว้หลายสำรับแล้วจึงท่องคาถาปล่อยพลังเวทย์ธาตุน้ำแข็ง ซึ่งเยือกแช่เป็นทางจนถึงทิศบนได้
ชิ้นส่วนที่แยกออกมาจากความมืดผลุบเข้าไปด้วยความว่องไว อากาช่าที่ออกโรงป้องกันเต็มที่จึงหายขวับซ้ายขวา
แล้วปล่อยพลังเวทย์ออกไปไม่ยั้ง หากมันจะโดนเข้าที่เป้าหมาย ก็คงแค่เฉียดๆมิได้โดนจังๆอย่างง่ายดายเหมือนเช่นศัตรูที่ผ่านมา
'ไวมาก...! ลำพังเทพสายเวทย์ล้วนๆเช่นนี้ไม่สามารถผลุบโผล่ในความมืดได้ไวขนาดนี้' ความคิดที่เริ่มตีกันผสมปนเปกับความระแวงที่ผุดขึ้นมา
ในหัวสมองที่ฉับไหวของหญิงสาวนักเวทย์ ที่ระแคะระคายแต่ต้นแล้ว ว่าทำไมหลังจากที่นางสวดคาถาประหลาดเสร็จสิ้น
จึงทำให้ทักษะการต่อสู้ในแต่ละดานของนางที่ไม่มีความคาดว่าน่าจะเป็นไปได้มันดีเลิศขึ้นลิบลับอย่างน่าฉงน
'ต่อให้เป็นเทพไทมาจากไหนก็เถอะ ความสามารถแบบนี้...!!!' ทันทีที่ความคิดในสมองถูกตีให้กระจ่าง
เธอก็อดไม่ได้ที่จะโพล่งขึ้นด้วยความเกรี้ยวกราด "แกเห็นวิญญาณของคนอื่นเป็นอะไรกัน! แค่ยาชูกำลังเพิ่มความสามารถหรือไง!!!"
ใช่แล้ว หากสังเกตให้ดีและทบทวนความจำในระหว่างการต่อสู้ต่างๆที่ผ่านมา เหล่าขุนพลฝ่ายลัทธิแห่งความมืดของนางมารเอลซ่า
ไล่เรียงตั้งแต่คนที่5ยันคนที่1ที่ถูกพวกเขาร่วมมือจัดการให้ตายไปอย่างสิ้นซาก สภาพในการตายมลายสิ่นชีพของพวกเขาเหล่านั้น
ไม่มีความแตกต่างกันเลยนอกจากร่างกลายเป็นผุยผง คาดว่าอาจเป็นไปตามที่หล่อนคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วก็ได้
พลันเสียงหัวเราะที่บาดหูจนชินก็ดังขึ้นอีกครั้งพร้อมเจ้าของต้นตอเสียง ก่อนจะสบถตอบโต้อีกฝั่งด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
"ใช่น่ะสิ!!! อย่างทีแกคาดไว้แหละ! ในเมื่อเจ้าพวกนั้นมันทำงานให้ข้าพลาด บทเรียนของพวกมันก็คงไม่พ้นสิ่งนี้!"
สายตาไร้แววของนางกรอกไปที่สิ่งที่อยู่บนข้อมือตน "ก็สาสมแล้ว...!"
"จะดูถูกสิ่งที่มีชิวิตมากเกินไปแล้ว!!!" เสียงตะโกนตอบโต้ในคราวนี้กลับเป็นเสียงของเอลฟ์หนุ่มคีมีเดยีสที่กร้าวเกรียดต่อคำพูดของอีกฝ่าย
"แล้วจะทำไม?" นางยิ้มยียวน
"แก...!" ทันทีที่คีมีเดยีสจะลุกขึ้น ทว่าเขาถูกมือเรียวของหญิงสาวจอมเวทย์ที่อยู่ตรงหน้ากดตัวให้นั่งลงพักฟื้นต่อ
"อย่าเพิ่งลุกแผลมันจะเปิดอีกรอบ...! จะต่อล้อคารมกับมันก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมา" อากาช่ารำพึงด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นที่สามารถ
ควบคุมสถานการณ์ของคนในฝ่ายตนได้อย่างเด็ดขาด มันเป็นไปตามที่เธอคิดไว้ไม่มีผิด เมื่อดวงวิญญาณที่ถูกสังเวยเข้าสู่การกักขัง
อันเป็นนิรันดร์แห่งกำไลราตรี ไม่แปลกเลยที่นางจะสามารถสวมทับวิญญาณของร่างเดิมนั้นๆให้เสริมความสามารถของนางได้
ความสามารถที่เห็นเพิ่มขึ้นเป็นอันดับแรกคงไม่พ้นขุนพลคนที่5ของนาง นินจาสาวที่คลั่งไค้ลในความมืดมิด แต่กลับจบชีวิตลง
ท่ามกลางสนามรบด้วยฝีมือของอากาช่าเอง ความสามารถในการเคลื่อนไหวและหลบซ่อน ลอบแทงข้างหลังที่ไม่เป็นรองใครของ
เจ้าหล่อนที่ตายไปแล้ว บัดนี้มันถูกเรียกมาสิงสู่ในร่างของผู้เป็นเจ้านายอันโหดเห.รี้ยมอีกครั้ง
"ถ้าเป็นไปตามที่ชั้นคาด มันสวมวิญญาณเพื่อเร้นเอาความสามารถของขุนพลที่ตายไปแล้วของมันอยู่ และคาดว่า..."
อากาช่ากระตุกน้ำเสียงที่แผ่วเบาที่พอจะได้ยินกันแค่สองคน ก่อนจะกลืนก้อนแข็งๆลงคออย่างยากลำบาก
"มันอาจจะใช้ทุกขุนพล ตั้งแต่5ยัน1 ที่เราเคยเจอ...!"
คิ้วคู่หนาของเอลฟ์หนุ่มนิ่วรวมกันอีกครั้ง บ่งบอกถึงความกังวลต่อสถานการณ์ด้านหน้า หากเขาทำใจสู้เพื่อไม่ให้สมาธิในการต่อสู้
ที่เหลืออยู่มันหลุดหายไป จิตใจที่เข้มแข็งค่อยๆลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เป้าหมายเดียวของพวกเขาคือ กำไลราตรี...!
ขณะนั้นอากาช่าลอบทอดถอนใจ เสกพืชไม้พันธนาการร่างของเอลฟ์หนุ่มพวกพ้องของตนเอาไว้มิให้ได้ขยับกายไปไหน
หากหนามแหลมของเถาวัลย์พันธนาการนั้นกลับกลายเป็นใบไม้กลิ่นหอมหนาค่อยซึมปิดปากแผลอย่างดี
ทว่าเจ้าตัวที่ถูกพันธนาการยิ่งดิ้นพรวดพราดอยุ่เช่นนั้นจนนักวเทย์สาวต้องร้องเตือน
"ร่างกายของนายยังไม่พร้อมที่จะสู้กับมันต่อ ดังนั้น นายพัฟื้นที่นี่ไปก่อน ชั้นจะถ่วงเวลาให้" สิ้นคำของเธอ ร่างโปร่งของนักเวทย์วก็กระโดด
จากแท่นหินที่ยืนอยู่ ณ จุดนั้น ล่อเบนความสนใจของศัตรุอีกฝ่ายไปยังแท่นหินที่ลอยคว้างอยู่ตรงจุดอื่น
ไม่ทันที่จะพูดพล่ำฮัมเพลงอะไรอีก มีดนับพันเล่มที่ล้อมด้วยออร่าสีม่วงเข้มที่บ่งบอกได้ว่าคือธาตุพลังความมืด
ได้พุ่งเข้ามาหมายจะเฉือนตัดเส้นชีพจรของเป้าหมายให้ตายเสีย อากาช่าที่ไหวตัวทันคว้าไม้เท้าศาสตราของตนเสกเปลวไฟบรรลัยกัลป์
วงใหญ่เข้าเผาผลาญเหล่าห่.าฝนมีดให้กลายเป็นจุนธุลีสลายไปกลางอากาศ ทว่ามันกลับไม่มีท่าทีว่าจะหยุดลงง่ายๆเลย
'เกลือต้องจิ้มด้วยเกลือ หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง!'
ผู้เป็นนักเวทย์สาวสบถในใจก่อนหมุนตัวร่ายเวทย์ชุดใหฐ่ขนานหนัก อัญเชิญห่.าฝนแห่งเปลวไฟพุ่งต่ำลงมาเปาผลาญคมมีดที่ลอยคว้างอยู่
กลางอากาศทว่าการบังคับฝนแห่งเปลวไฟนั้นก็จำเป็นจะต้องใช้การควบคุมเวทย์อย่างดีจากผุ้อัญเชิญมันลงมา
ในจังหวะที่เปิดช่องว่างเหล่านั้น ฝุ่นควันปริศนาได้ตลบครอบคลุมร่างบางของนักเวทย์สาวไว้มิดชิด ลมหายใจของเธอเหมือนถูกชะงักลง
ให้ขัดติด วินาทีที่สติสัมปชัญญะแทบหลุดเลื่อนลอยด้วยความตกใจกับเหตุการณ์รอบตัวของตน ทำให้เธอเริ่มฉุกคิดได้ว่า
ฝุ่นธาตุอากาศเป็นของใคร "แก...! ชั้นนึกว่าโยฮานจะไปสบายเสียแล้ว แต่แกกลับ...!"
ไม่ทันที่หญิงสาวจะพร่ำพรึงด้วยความกราดเกรี้ยว เสียงเชิงตวาดของเธอถูกดับลงพร้อมๆกับโลหิตที่ไหลรินออกมาตรงกลางท้องเรียบของเธอ
แววตาที่ค้างนิ่งแทบถลนออกจากเบ้า ด้วยความรู้สึกเจ็ปบวดที่ส่งไปสู่ระบบประสาทเฉียบพลัน มือที่สั่นเทาค่อยๆเอื้อมลงมากุมตรงบริเวณแผล
ร่างโปร่งค่อยๆเลื่อนออกจากใบลับคมของศาสตราประเภทหนึ่งตามเข่าที่ทรุดอ่อนลง ก่อนที่เรือนร่างของอากาช่าจะซบนอนลงตรงจุดนั้น
พร้อมเลือดโลหิตสีแดงฉานไหลออกมาจากช่องบาดแผลที่ถูกทะลุจากข้างหลัง โดยไม่มีท่าทีว่าเจ้าของร่างจะกระดิกขยับตัวใดๆอีก
"ไม่นึกเลย ว่าแค่คมดาบเดียวของเจ้าโยฮานจะทำให้มันตายได้ง่ายๆเพียงนี้" เจ้าของมือที่ถือศาสตราของดวงวิญญาณที่กล่าวอ้าง
ฉีกริมฝีปากยิ้มกระหยิ่มด้วยความสะใจเป็นที่สุด!
พรรณไม้ที่พันธนาการอยู่ค่อยๆลดวูบลง ใจคอที่เอลฟ์หนุ่มสังหรณ์เป็นจริง พลังเวทย์ที่ต้องใช้ควบคุมหากไม่มีมัน
รูปแบบเวทย์ทั้งหลายก็มิอาจจะคงอยู่ได้ บ่งบอกถึงต้นตอสภาพผู้ใช้คาถาพลังเวทย์ในตอนนี้ในลักษณะคอขาดบาดตายก็เป็นได้
จิตใจของคีมีเดียสที่เริ่มสั่นคลอน ถูกทำให้สงบลงด้วยจิตใจที่แน่วแน่ของเขา หากมัวแต่เกรงกลัว ไม่ใช่แค่พวกพ้องของเขาที่จะต้อง
เป็นอะไรไปต่อหน้าทีละคนทีละคน... ในที่สุดก็ต้องมาถึงตัวเขาอยู่ดีเป็นธรรมดา ความหวาดระแวงทั้งปวงหมดสิ้นไปด้วยจิตใจที่แกร่ง
กล้าดั่งภูผา แต่เย็นนิ่งดั่งธาราในริมลำธาร สภาพร่างกายที่ได้ที่แล้ว จึงทำให้เขาสามารถขยับโดยเป็นอิสระอีกครั้ง
ถึงจะแปลกที่แค่เวทย์ที่ประยุกต์ใช้ปิดปากแผลทำให้บาดแผลเหวอของเขายุบตัวลงจนแทบไม่รู้สึก คงไม่พ้นพรในการรักษาฟื้นตัวที่มาพร้อม
คันศรโลหิตที่ถูกเสริมพลังอย่างดีแล้วเป็นแน่แท้
เมื่อพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับการต่อสู้ต่อแล้ว เขาตั้งจิตมุ่งมั่นเสกลูกศรเวทย์แสงรับ10ดอกให้อยู่ในกำมือเขา ก่อนจะเหนี่ยวกับสายคันศร
ที่อยู่ในมืออีกข้างด้วยท่าทีสงบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความองอาจ ก่อนจะปล่อยให้มันพุ่งกระจัดกระจายไปตามทาง
นางมารอีกฝ่ายที่รู้ตัวทันในความมืดมิด จึงเคลื่อนตัวหลบอย่างคล่องแคล่วเพื่อให้ดอกลูกศรผ่านพ้นตัวไปอย่างง่ายดาย
หากไม่เป็นเช่นที่นางคิดไว้ เหล่าลูกศรทั้งหมดกลับเบนเลี้ยวทิศทางอย่าง่นาประหลาดใจด้วยความเร็วที่ยากจะจับตามองทัน
ดั่งมีเรดาร์เป้าหมายติดไว้ที่หัวลูกศร ชั่วเสี้ยววินาที เสียงกรีดร้องพร้อมโลหิตสีม่วงเข้มก็ทะลักออกมาจากริมร่างกร่องซูบซีดของนาง
"เจ้า...!!!" ร่างของนางมารเอลซ่าค่อยๆผุดขึ้นจากความมืด ในขณะที่นางพยายามใช้มือตนดึงลูกศรออกจากเรือนร่างแล้วโยนทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
"แก...! ทำข้าแสบไว้นักนะ! คิดเหรอว่าจะเอาชนะข้าได้!" คำด่าสบถเหยียดหยามมากมายกลับกลายเป็นลมผ่านหูของเอลฟ์หนุ่มที่
มีท่าทีนิ่งงันสงบเสงี่ยมไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใดที่อยู่ด้านหน้าตน มือที่ค้าไงว้อยู่เสกลูกศรธาตุแสงออกมาอีกรอบก่อนจะรัวยิงไปอย่างไม่ลดละ
วิญญาณที่รายล้อมรอบตัวนางค่อยๆวนเวียนเร็วขึ้นดั่งเป็นสว่านกงจักรที่พร้อมจะปั่นบดทุกสิงที่ย่างกรายเข้ามาแม้แต่ปลายเล็บ
ลูกศรนับ10ที่วกเข้าตัวนางอีกรอบถูกป้องกันไว้อย่างดุเดือด พลางยือ้ไว้กับคลื่นพลังความมืดที่ถูกปล่อยออกมาด้วยอามณ์โทสะดุดัน
ทว่ากลับสามารถป้องกันได้แค่ครึ่งเดียว ส่วนลุกศรอีก5ดอกพุ่งเข้ามาปักตามเรือนีร่างของนางได้จนโลหิตสีม่วงเข้มกระอักขึ้นอีกครา
ความเดือดดาลและสัญชาตญาณกระหายความเอาชนะที่ถึงที่สุด ใครจะสะกดคำว่าพ่ายแพ้ก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่ตัวนางเอง...!
เหล่าดวงวิญญาณทั้งหมดกระเจิดกระเจิงไปตามทางกัดเซาะกินทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า คีมีเดียสทีเห้นเช่นนั้นจึงทรุดตัวลงตั้งตัว
เป็นฐานป้องกัน ทว่าดวงวิญญาณที่ถูกปลุกเสกให้กระหายยิ่งขึ้นดว้ยอารมณ์โทสะของนางกลับแข็งแกร่งกว่าที่ร่างกำยำของเอลฟ์หนุ่มจะรับไว้
เขาผละมันออกก่อนที่จะมองสภาพแขนของตนที่มีรอยเขี้ยวกัดมากมายจนโลหิตสีแดงไหลเยิ้มเป็นหย่อมๆ
แม้เขาจะยิงลูกศรโต้สวนกลับไป ลูกศรของเขากับถูกมือที่เย็นเฉียบด้วยไอพิษปัดออกอย่างไม่เกรงกลัว หรือแม้แต่จะให้แค่โดน
แม้ลูกศรแห่งแสงที่ลัดเลี้ยวตามแรงจิตของผู้ปล่อยให้มันพุ่งออกไป ก็ยังพลาดเป้าไปอย่างเหลือเชื่อ
เอลฟ์หนุม่ที่เห็นสถานการณ์ตรงหน้าก็ยิ่งหนักใจ ไม่คิดว่าอารมณ์โทสะของนางจะทำให้ระดับความสามารถในการต่อสู้แรงกล้าขึ้นมาอีกไม่รุ้ต่อกี่เท่า
"แกจะมีชีวิตอยู่โดยเป็นกาฝากพึ่งพาความสามารถคนอื่นได้ไปถึงเมื่อไหร่..!" เขาเริ่มต่อปากต่อคำด้วยท่าทีสงบนิ่ง
"ไม่ต้องมาสั่งสอนข้า!!!" นางตวาดก่อนที่จะปล่อยคลื่นเกรียวพลังความมืดในมือออกไปอย่างเดือดดาล
ร่าของนางค่อยๆโผล่ขึ้นที่หลังร่างของเอลฟ์หนุ่ม ก่อนมือที่เย็นเฉียบจะกระชากบีบเค้นคอเขาด้วยความแค้นพยาบาท...!