GAMEINDY: Asura Online
หน้า: 1 ... 49 50 [51] 52 53 54
ผู้เขียน หัวข้อ: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 44 (อัพเดท 18/03/54)  (อ่าน 16689 ครั้ง)
GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 40 (อัพเดท 31/10/53)
« ตอบ #750 เมื่อ: 26-02-2011, 13:21:49 »

บทที่42 ชะตาฟ้าลิขิต

  อากาช่าที่หมดพลังไปกับการต่อสู้กับโยฮาน ค่อยๆทรุดตัวลงพักอย่างเหนื่อยหอบ ในขณะที่มีน้ำใสๆไหลออกมาจากนัยน์ตาของเธอ

อาจเป็นทั้งน้ำตาแห่งความดีใจ ทีได้แกห้แค้นตามที่สมอยาก หรือว่าส่วนหนึ่งก็เสียใจ ที่เสียอดีตเพื่อนรักไปแล้ว ก็ไม่มีใครจะทราบ

เธอค่อยๆใช้มือเรียวปาดน้ำตาเธอออกจากเบ้า ก่อนที่จะใช้ไม้ค้ำพื้นเพื่อพยุงตัวลุกขึ้น

ก่อนที่จะลากตัวเดินออกจากจุดนั้น เพื่อไปหาเลโอน่า ผู้ติดตามคนสนิทของเธอ


"เลโอน่า..." อากาช่าค่อยๆนั่งลงข้างๆร่างขอเลโอน่า ก่อนที่จะใช้มือช้อนร่างของคนที่อยู่ตรงหน้าขึ้น

"ฉันกำจัดเจ้าโยฮานได้แล้วนะ" เธอกล่าวสิง่ที่อยากบอกให้ผู้ติดตามของเธอได้ทราบ

"จริงเหรอ...คะ?" เลโอน่าในสภาพที่บาดเจ็บพอสมควร และอยู่ในท่าเอนหลังโดยมีมือของอากาช่าค้ำไว้ค่อยๆกล่าวด้วยน้ำเสียงเบาๆ

"อืม" อากาช่าพยักหน้า

"ยินดี..ด้วยนะ...คะ"

"เลโอน่า? ทำไมเสียงเธอถึงอ่อยลงขนาดนั้นล่ะ?" น้ำเสียงของอากาช่าดูร้อนรนขึ้น

"ชั้นไม่เป็นร... แค่ก!!!" ไม่ทันที่เลโอน่าจะกล่าวจบ เธอก็ไอสำรอกออกมาเป็น โลหิตสีดำ

"เลโอน่า!" อากาช่าเขย่าตัวเลดอน่า พลางสายตาที่จับจ้องไปที่โลหิตสีดำ

"โลหิตสีดำ?..."

"ชั้นคงไม่รอดแล้วล่ะค่ะ..." เลโอน่าค่อยๆกล่าวอีกครั้งโดยเหมือนว่าเธอจะฝืนยิ้ม

"หมายความว่าไง!? เธอจะตายไมได้นะ!" อากาช่าเริ่มตระหนกตกใจมากขึ้น พลางเขย่าตัวเลโอน่าไม่ให้หลับลงไป

"ถึงร่างกายของชั้น จะไม่เป็นอะไร แต่ว่าวิญญาณของชั้น..."

"ถูกโยฮานช่วงชิงไปแล้วเกือบทั้งหมด ในอตนที่ชั้นถูกมันโจมตีด้วยฝุ่นดูดวิญญาณของมัน..."

ทันทีที่ทราบความจริง น้ำตาของอากาช่าเริ่มไหลพรากออกมาจากนัยน์ตาอีกครั้ง เธอพยายามสงบสติอารมณ์ไว้เท่าที่จะทำได้

"มีอะไรจะสั่งเสียกับชั้นมั้ย...?" อากาช่าพยายามกล่าวเสียงขรึม เพื่อให้ดูว่าเธอสามารถเข้มแข็งได้ แต่ถึงกระนั้น

น้ำใสๆที่ไหลพรากออกมากลับเป็นตัวชี้ว่าตอนนี้เธอเจ็บปวดมากเกือบถึงที่สุด

"ตอนนี้พลังวิญญาณทั้งหมดของชั้นกำลังจะหมดแล้ว ขอใช้ในการสั่งเสียกับท่านก็แล้วกันค่ะ..." เธอกล่าวเชิงรับคำ
 
"ถ้าในเรื่องแก้แค้น ชั้นไม่ขอพูดหรอกค่ะ... เพราะท่านอากาช่าก็กำจัดมันไปแล้ว ก็ถือว่าแก้แค้นให้ชั้นแล้ว..."

อากาช่าพยักหน้าช้าๆ...

"ชั้นแค่ขอให้ท่านอากาช่าเข้มแข็งขึ้นนับจากนี้ ท่านอาจจะเจออะไรอีกมากมาย..."

เลโอน่าค่อยๆยื่นมือของตัวเองมาจับประสานไว้กับมืออากาช่า อากาช่าค่อยๆเลื่อนมือคู่นั้นชิดกับแก้มของตน

"มหาสงครามครั้งนี้... เป็นสงครามที่ชี้ชะตาโลกใบนี้... ชั้นเชื่อว่า ธรรมะย่อมชนะอธรรม..."

"ตำนาน ที่ท่านหมายไว้ ชั้นก็ขอเชื่อว่า เขาจะเป็นส่วนหลักที่จะทำให้โลกนี้มีแต่ควสามสันติสุขพร้อมๆกับท่านที่ชี้แนะเขามาแล้ว..."

"สิ่งที่ชั้นหวังที่สุด ก็อย่างที่ท่านหวัง คือ ขอให้โลกนี้มีแต่ความสันติสุข ไม่มีสงครามอีก..." เลโอน่ากล่าวด้วยลมหายใจที่รวยรินเต็มที่

"ชั้นจะทำให้มัน...เป็นจริง...ฮึก..." น้ำใสๆเริ่มไหลพรากมากขึ้นจนอาบไปทั้งหน้าของอากาช่า

"ขอให้ท่าน...ทำ..ได้..เช่นนั้น..." สิ้นเสียงครั้งสุดท้ายของเลโอน่า ลมหายใจของเธอได้ดับลง ฝ่ามือทั้ง2ที่ประสานกับอากาช่า

ค่อยๆคลายออกอย่างไร้กำลัง ก่อนที่จะค่อยๆเลื่อนตกลงมาประสานไว้ที่กลางอกของตนอย่างช้าๆ

พร้อมๆกับดวงชีวิตที่ไม่มีวันหวนกลับของเลโอน่า...

อากาช่าที่เห็นดังนั้นก็โผเข้ากอดร่างไร้วิญญาณของผู้ติดตามตน พลางน้ำตาที่ไหลพรากหนักขึ้นจนแทบจะเป็นสายเลือดให้ได้

มีเพียงเสียงสะอื้นไห้ของอากาช่าเท่านั้นที่หลุดออกมาให้ได้ยินอย่างเบาๆ

"ขอให้เธอหลับสบายนะ..." อากาช่ากล่าวอวยพรแก่ร่างไร้วิญญษณที่ตนสวมกอดอยู่ด้วยความอาลัย

ร่างของเลโอน่าค่อยๆเรืองแสงสีทองขึ้น พร้อมค่อยๆสลายกลายเป็นแสงขนนกกระจัดกระจายออกไปอย่างสวยงาม

อากาช่าในท่าที่กอดสิ่งบางสิ่ง ค่อยๆลดมือลงปาดน้ำตาออก พลางพยุงตัวขึ้นยืนอย่างเข้มแข็ง

พร้อมคว้าไม้เท้าคู่ใจเดินก้าวเท้าไปยังสนามรบด้านหน้า...


ทีมพยาบาลต่างเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บจากในสนามรบเข้าสู่ที่พักรักษา พลางทำการพยาบาลผู้บาดเจ็บอย่างยุ่งเหยิง

โดยมีหัวห้นาทีมพยาบาลคือหมอไรอัน และผู้ช่วยหลักคือเจสสิก้า

"สถานการณ์หน่วยสู้รบตอนนี้เป็นไงมั่ง" ไพเรสหันมาถามผู้สังเกตการณ์บนหอคอย พลางสั่งโกเลมและสัตว์อัญเชิญที่อยู่ด้านล่างกวาดพวกศัตรู

"หน่วยกำลังรบด้าหน้าของฝั่งเราเหลือประมาน30%ในสนาม อีกฝ่ายมันมีไม่จำกัดครับ" ผู้สังเกตการณ์รายงาน

"ดูเหมือนว่าฝายนี้เราจะต้านไม่ไหวแล้วล่ะ" ไพเรสเริ่มออกความเห็น

"หน่วยกำลังเสริม ซัพพอร์ตการโจมตีระยะไกล เหลือประมาณ40%ของสนามรบ คาดว่าอาจจะต้านไม่อยู่ภายในเร็วๆนี้"

"ส่วนฝ่ายพยาบาล กำลังยุ่งวุน่วายกับการปฐมพยาบาลคนเจ็บมากครับ"

"อืม... ดูเหมือนว่า ต้องขอความช่วยเหลือซะแล้ว..."


  หลังจากที่อากาช่าได้รับการแจ้งสถานการณ์จากไพเรส ทำให้เธอฉุกคิดได้ขึ้น และเปิดไอดีการ์ดขึ้นมาทันที

"ฮัลโหล? ว่าไง เรียบร้อยดีใช่มั้ย?" 

น้ำเสียงเรียบๆแต่แฝงด้วยเลศนัย กำลังสนทนาผ่านไอดีการ์ดกับพันธมิตรคู่ขาของเธออยู่

"สิ่งที่คุณสร้างไว้ นับว่าเป็นประโยชน์ต่อแผนการเรามาก" น้ำเสียงคู่สนทนาปลายสายตอบกลับก็ดูถ้าจะมีเลศนัยเช่นกัน

"งั้นก็เอาเลย ก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายไปมากกว่านี้..." เธอกำชับ ก่อนที่จะปิดไอดีการ์ดลงไป

"ในเมื่อบุกแบบพวกโง่ๆเดิมๆเอามันไม่ไหว ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ" อากาช่าแสยะยิ้มขึ้น


  ระหว่างที่กองกำลังโจมตีทั้งหมดของฝ่ายอากาช่าได้เคลื่อนทัพหนีจากข้าศึกอยู่ซักพักหนึ่ง

เหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนานได้หยุดอยู่ที่หน้าผาที่สูงกว่ากองกำลังทั้งหมด

"ทุกคนฟังพวกชั้นให้ดี!!" เลิฟโลว์ตะโกนขึ้นอย่างกึกก้องกับกองกำลังฝ่ายบุกกายภาพประชิดตัวที่หลงเหลือ

กองกำลังบางส่วนที่ยังล่อกแลก บางคนฟัง บางคนไม่ฟัง หรือบางคนที่โห่ร้องจะบุกต่อให้ตายไปข้าง ยังปรากฏอยู่ให้เห็นเป็นระยะๆ

กระทั่งกลุ่มที่ไม่ยอมจะรับฟังคำสั่งของเหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนาน ได้รุดขึ้นมาชี้หน้า

"พวกเราไม่ฟังึคำสั่งของผู้ใดนอกจากหัวหน้าของเรา!" ดูเหมือนว่าความแตกคอจะเริ่มเกิดในหมู่กองกำลังที่เหลือ

เหตุผลที่คนพวกนี้ไม่ฟัง อาจเป็นเพราะความจงรักภักดีที่อคติเกินประกอบกับสถานการณ์ที่บีบคั้น ทำให้เกิดปากเสียงขึ้น

พล่อก!!!

ปลายทอนฟ่าที่ทำด้วยเหล็กกระทบกับปากของบุคคลที่กล่าวชี้หน้าด่าเมื่อกี้ จนเขาล้มลงกับพื้น ซึ่งเขาเหมือนจะไม่พอใจจะลุกขึ้นมา

มีเรื่องให้แล้วรู้รอด แต่กลับเจอคมปลายทวนของเลิฟโลว์จี้คอเอาไว้ในระยะแค่ปลายนิ้ว

หลายฝ่ายความเห็นที่เห็นภาพข้างหน้าจึงสงบลง

"โปรดฟังพวกเราด้วย เพราะแผนการที่วางมาดูเหมือนจะได้ผลในระยะสั้น แต่ตอนนี้กลับไม่สามารถต้านศัตรูได้ไหวแล้ว

เฟริน่าที่ดูจะมีวุฒิภาวะสุดในกลุ่มเริ่มกล่าวเชิงเจรจาขึ้น

"ชั้นเข้าใจ ว่าทุกคนต่างจงรักภักดีและเชื่อมั่นต่อหัวหน้าของตนมาก..."

"ทว่าตอนนี้สถานการณ์ทั้งหมดกลับเลวร้ายกว่าที่คิด หัวหน้าของพวกเธอน่ะ..." วาเนซซี่เสริมขึ้น พลางเปรยตาไปมองที่เต๊นท์พยาบาล

ที่ตั้งอยู่ในที่ซ่อนภายในของหุบเขาอีกลูก ซึ่งระยะนี้ทุกคนสามารถเห็นได้และก็คงจะทราบถ้าหากว่ารู้มาก่อนว่ามันคืออะไร

"หัวหน้าทุกหน่วยโจมตีทั้ง กีเซอร์ จูเลีย อัลเบิร์ต ตอนนี้ก็ถูกรุมโจมตีจนบาดเจ็บสาหัสจนต้องพักรักษาตัวอยู่ที่เต๊นท์พยาบาลแล้ว"

เหล่าพลกำลังทั้งหลายต่างนิ่งคิด และตัดสินใจเงียบๆคล้ายๆกัน คือ

เมื่อสิ้นคำสั่งหัวหน้าเดิม ทุกคนจึงต้องรับฟังคำบัญชาของเหล่าผู้ที่น่าจะเป็นผู้นำได้ดีที่สุดในสถานการณ์อันเลวร้ายเช่นนี้แทน

"ถึงจะมีฝีมือสักเท่าไร แต่ถ้าถุกรุมในสภาพถี่ๆเช่นนี้ อย่างไรก็ไม่มีทางที่จะเอาชัยได้!"

มาช่าตะโกนประกาศแก่ทุกคนให้ทราบไว้

"แม้กระทั่งหัวหน้าของพวกแก หรือพวกเราเองก็เหอะ..." แฟลชกล่าวขึ้นเสียงเรียบ เชิงๆว่าอารมณ์ยังขุ่นมัวอยู่

"ขอให้ทุกคนใช้สมองไตร่ตรองก่อน แม้ทำอะไรตอนนี้คงจะทำอะไรไม่ได้ ดังนั้น ชั้นรู้มาว่าจะมีกำลังเสริมมาในไม่ช้า"

วาเนซซี่หันมายักคิ้วให้เฟริน่าที่เป็นคนปล่อยข่าวมาให้ (เนื่องจากได้ข่าวมาจ่ากใครก็ไม่รู้(?)ก่อน)

'น่าๆ ก็...ก็แค่บอกกันเฉยๆเอง~' เฟริน่าส่งซิกกลับในท่าทีล่อกแล่กและใบหน้าที่แดงขึ้นอย่างลูกตำลึงสุก

"ก..ก็ขอให้ทุกคนพักฟื้นรอไปก่อน ฝ่ายอาชีพนักฆ่าทั้งหมดได้ใช้หมอกพรางตาแล้ว คงจะอยู่ได้ประมาณ5นาทีนับจากนี้แหละ

ถ้าหากว่าหมดเวลาหมอก ทุกคนก็... บุกต่อได้เลย" เฟริน่าสรุปความ ก่อนที่จะทิ้งตัวนั่งลง

ทุกคนในกองกำลังที่พิจารณาคำพูดของบุคคลเหล่านี้แล้วก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเนืองๆ


"ดูซิเจอยังงี้หล่อนจะทำยังไง แม่เล็บเขียวเน่า" อากาช่าแสยะยิ้ม ก่อนส่งซิกให้กับหัวหน้ากองกำลัง

ฝ่ายเงือก...

"เครื่องทะลุมิติอัพเกรด อืม... ถือว่าท่านก็มีทักษะประดิษบ์เทียบเท่ากับพวกเราเลยทีเดียว" ราชาเงือกกล่าวชทมเชยขึ้นแก่อากาช่า

"ไม่เท่าไหร่หรอก ก็ต้องอขบุคณพวกท่านด้วยที่เป็นแนวทางให้พวกเรา"

อากาช่าเปรยขึ้นมาแล้วหันมาหัวเราะหึๆกับราชาเงือก

"น่าเสียดายที่เวลาในการสร้างและปรับเปลี่ยนน้อยเกินไป จึงไม่สามารถใช้กับมนุษย์น่ะ" ราชาเงือกรำพึงเชิงเสียดาย

"เอาเถอะ แค่นี้ก็น่าจะจัดการมันได้หมดสนามแล้ว..."

"ข้าจะรอดู ว่าเครื่องทะลุมิติของเจ้า คงจะไม่ใช่แค่ใช้วาร์ปไปฟันข้างหลังเฉยๆนะ..."


  "ทางสนามรบเป็นไงบ้าง?" ปิศาจสาวที่ห่อหุ้มร่างด้วยผ้าคลุมขาดๆสีดำทมิฬ ทรงผมเหมือนหนามแหลมเป็นแฉกๆแยกออกมาสีแดงเลือดสด

ริมฝีปากสีม่วงดูขลึงขลัง เล็บสีเขียวประดุจอาบพิษไว้ ผิวกายสีน้ำเงินซีดเหมือนซากศพ ผู้บังคับบัญชาทุกๆอย่างแห่งความมืด เอลซ่า

"เรียบร้อยดีระดับหนึ่ง พลกำลังเราในสนามรบตอนนี้มีมากกว่า แต่ระดับหัวหน้าทั้งหมด" คล็อกโคเดี่ยนตนหนึ่งรายงานสถานการณ์ ก่อนที่จะชะงักไป

มันมองซ้ายมองขวาล่อกแล่กก่อนที่จะเอ่ยคำที่ไม่อยากจะกล่าวมากที่สุดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ต...ตายหมดแล้วเจ้าข้า..."

"สวะ!!!"

สิ้นเสียงที่เหมือนกรีดร้องของเธอ ร่างคล็อกโค้เดี้ยนก็สลายกลายเป็นฝุ่น พร้อมวิญญาณที่พุ่งออกมาแล้วถูดูดกลับไปเข้าไปในกำไลของเธอ

"เป็นหัวหน้าตั้ง4 แต่ไม่ได้เรื่องซักตัว! " เธออตวาดขึ้นอย่างฉุนเฉียว

"แต่ไม่เป็นไร แค่กำลังพลน้อยๆของชั้น ก็สยบพวกซากสวะนั่นได้ง่ายๆแล้ว...ฮึๆๆๆ"

เสียงหัวเราะชวนขนลุกขวัญผวาของเอลซ่าดังไปรอบๆทั่วปราสาทแห่งรัติกาล ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากสนามรบ

"นี่คือบทตอบแทนสำหรับพวก สวะ...!" เธอเม้มปาก แหวกเขี้ยวเล็บชูมือดูกำไลราตรีของเธอ ที่มีเหล่าวิญญาณถูกกักขังอยู่จำนวนมาก

และต่างกรีดร้องโหยหวนอย่างเจ็บปวดทรมาน เสียงๆนี้ไม่มีวันจะหยุดนิ่งลงไป อาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนอื่นหวาดผวา

แต่สำหรับเธอ... เอลซ่าจ้าวแห่งความมืดรัติกาลทั้งปวง ย่อมเป็นดนตรีบรรเลงอันแสนไพเราะเสนาะหูอยู่ร่ำไป...




บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
เอิร์ธคุงขอรับกระผม
Hero Member
*****
กระทู้: 8,586

กุเบื่อ...


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #751 เมื่อ: 26-02-2011, 13:30:21 »

แง Cryแง Cryตายซะแล้ว Cry

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #752 เมื่อ: 26-02-2011, 14:09:52 »

กรี๊ดดด คุ้มค่ากับที่รอคอยมากค่ะ  รัก

ทำได้ดีมากเลยตัวเธอว์ แต่เค้าทำไมต้องเอาหอกฟาดปาก เค้าออกจะใสซื่อ.. Sad ( สซื่อตรงไหน-_-ชีวิตจริงหล่อนน่ากลัวกว่านี้อีกย่ะ)

ใกล้จบแล้ว สู้ๆจ้ะ  รัก

ป.ล.เค้าจะรักและเทิดทูนเลโอน่าตลอดปาย ~

//me โดนถีบ



●♫•Kαnαмe Äi•♫●
Hero Member
*****
กระทู้: 2,201

คำคมที่เจ็บปวดที่สุด คือเธอมันแย่ที่สุด!


เว็บไซต์
Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #753 เมื่อ: 27-02-2011, 19:58:54 »

รัก รัก รัก

รอมานานแว๊วววววววววว

สนุกอ่า ตาย He อีกแล้ว >[]<

รอบทต่อไป

ไกล้จบแล้วสู้ๆคร๊า~~~

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #754 เมื่อ: 03-03-2011, 14:31:55 »

อ้างจาก: Äπτ●πįéΓ ραммįΓềề ที่ 27-02-2011, 19:58:54
รัก รัก รัก

รอมานานแว๊วววววววววว

สนุกอ่า ตาย He อีกแล้ว >[]<

รอบทต่อไป

ไกล้จบแล้วสู้ๆคร๊า~~~


ตะ..ตาย He  Shocked

แนทพูดอะไรน่ะ เค้าอายนะ -3-



●♫•Kαnαмe Äi•♫●
Hero Member
*****
กระทู้: 2,201

คำคมที่เจ็บปวดที่สุด คือเธอมันแย่ที่สุด!


เว็บไซต์
Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #755 เมื่อ: 07-03-2011, 02:39:08 »

อ้างจาก: 一番の宝物 ที่ 03-03-2011, 14:31:55
อ้างจาก: Äπτ●πįéΓ ραммįΓềề ที่ 27-02-2011, 19:58:54
รัก รัก รัก

รอมานานแว๊วววววววววว

สนุกอ่า ตาย He อีกแล้ว >[]<

รอบทต่อไป

ไกล้จบแล้วสู้ๆคร๊า~~~


ตะ..ตาย He  Shocked

แนทพูดอะไรน่ะ เค้าอายนะ -3-

คิดไปถึงไหนน่ะ - -

GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #756 เมื่อ: 13-03-2011, 19:13:55 »

บทที่43 อภินิหารที่มากยิ่งขึ้น

 "ไพเรส พร้อมแล้ว" เสียงของอากาช่าที่ติดต่อผ่านไอดีการ์ดเป็นการออกคำสั่งเชิงนัยว่าจะเริ่มแผนที่วางกันไว้แล้ว

"รับทราบครับ" เขาตอบกลับ แล้วหันไปพยักหน้ากับคนป่าวประกาศ

 "สถานการณ์ไม่สู้ดี ขอให้ทุกท่านที่เป็นฝ่ายกองกำลังของเราถอยทัพ!!!"

นักรบทั้งหมดที่ได้ยนคำสั่งนี้บ้างส่วนยังอึ้ง เพราะสงครามครั้งใหญ่นี้ ต่อให้หนีก็จะกลับไปแพ้อยู่ดี

แต่เมื่อเห็นอากาช่าหัวหน้ากองกำลังที่ยืนอยู่บนยอดหน้าผายังควงไม้เท้าเล่นสบายใจ ทั้งหมดก็เริ่มจะตีความคิดออก

"เขาว่างั้นน่ะ" แฟลชตีหน้าตายพลางยักไหล่ให้กับคนที่เหลือ

"เออๆออๆตามไปเถอะ แล้วคีมีเดียสล่ะ?" เฟริน่าถามขึ้นพลางหันมองซ้ายขวา

"เตรียมลุกไม้อะไรแผลงๆอยู่แหละ เดี๋ยวซักพักก็คงจะออกมา" มาช่าออกความเห็น

"งั้นเราก็รออยู่ตรงีน้แหละ เขาให้สนับสนุนเมื่อไหร่คงติดต่อมาเอง" วาเนซซี่สรุปความ แล้วนั่งลงพักอีกรอบ

กองทัพเล็กน้อยที่นั่งอยู่ข้างๆมองหน้ากัน แล้วตัดสินใจที่จะนั่งรอดูสถานการณ์ต่อไป


 "คีมีเดียส พร้อมมั้ย??" อากาช่าที่ยืนอยู่ที่หน้าผากล่าวขึ้นโดยมิได้ขยับอิริยาบถแต่อย่างใด

เอลฟ์หนุ่มคีมีเดียสค่อยๆเดินออกจากที่พักล่องหน พร้อมศาสตราชี้ชะตา คันศรโลหิต

ที่ตอนนี้ได้เสริมออพชั่นโดยเทคโนโลยีของกองกำลังเป็นอย่างดี

เอลฟ์หนุ่มร่างสูง เส้นผมสีเหลืองบลอนด์ยาวมัดไว้เรียบร้อย นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนแต่แฝงด้วยความุ่งมั่น

ชุดเสื้อหนังที่ตีมาอย่างดีโดยฝีมือลุงวินเตอร์ก่อนหน้าที่เขาจะจากไป หมวกหนังสีเขียวคาดขนนกดูสง่ายิ่งนัก

 "พร้อมแล้ว" เขาตอบรับคำ อากาช่าที่หันหลังอยู่พยักหน้าในท่าเดิม

แล้วชาร์จพลังเวทย์เตรียมไว้ แล้วเอามือป้องปาก สูดลมหายใจเต็มปอด ก่อนที่จะเปล่งเสียงออกไปสุดกำลัง

"เปิดมิติได้!!!"

 เครื่องทะลุมิติที่รูปทรงตรงกลางเป็นเหมือนบานกระจก มีฐานควบคุมอยู่ข้างล่าง พร้อมชาวเงือกที่ควบคุมไว้อย่างดี

ทันทีที่พวกเขาได้รับสัญญาณ ก็เริ่มเดินเครื่องให้ทำงาน ทัพเงือกนับร้อย ที่ดูไม่มากแต่กำลังรบต่อหัวถือว่ามากกว่าเผ่าพันธุใดๆ

พร้อมราชาเงือกในชุดเกราะเกล็ดปลาสีน้ำเงินเข้มดั่งผืนมหาสมุทรเสริมออพชั่นอย่างดี ประดับลวดลาย ดูหน้าเกรงขาม

ในมือคว้าทวนกึ่งฉมวกขนาดยักษ์ที่คนทั่วไปมไน่จะสามารถถือได้ไว้ในมือ

เขาพยักหน้าพร้อมชี้นิ้วสั่ง  "เข้าไปเลย!!!"

สิ้นเสียงของราชาเงือก นักรบเงือกทั้งหมดก็กรูเข้าไปในเครื่องทะลุมิติ พร้อมเสียงโห่ร้องฮึกเหมิที่ดังกระหึ่ม

 
 "อย่าให้พวกมันถอยทัพหนี ยิ่งตอดให้เหลือน้อยเท่าไหร่ยิ่งดี!!!" น้ำเสียงอันสยดสยองดั่งเสียงคนกรีดร้องได้แผดกังวานขึ้นในหัวของ

กองกำลังฝ่ายลัทธิเอลซ่าขึ้น ทั้งหมดรู้ทันทีว่าน้ำเสียงนี่คือ เอลซ่าจ้าวแห่งความมืดรัติกาล หัวหน้ากองกำลังของพวกตน

ทั้งหมดที่รู้ชะตากรรมดีว่าถ้าฝืนขัดคำสั่งเท่ากับกลายเป็นจุน จึงฮึกเหิมเคลื่อนทัพไล่ตามกองกำลังอีกฝ่ายในสนามรบที่เหลือ

 
 กองกำลังฝ่ายต่อต้านลัทธิเอลซ่าที่เหลือส่วนมากจะเป้นอาชีพสายนักฆ่า ซึ่งมีความสามารถทักษะในการหลบหนีว่องไวกว่า จึงวิ่งนำหนีไปได้

"อย่าให้มันหนีไปได้ แม้แต่คนเดียว เพราะข้าไม่อยากถูกหยามหน้า!!!" เสียงเชิงหวีดร้องของเอลซ่าดังขึ้นอีกครั้ง

ยิ่งฝ่ายความมืดทั้งหลายเห็นดังนั้นก็ยิ่งเกรี้ยวกราด พร้อมด้วยที่ถูกหัวหน้ากองกำลังกระตุ้น ปลุกสัญชาตญาณสัตว์ป่าดุร้ายได้กำเริบขึ้นอีกครั้ง

ดวงตาสีแดงฉานดั่งเลือด เขี้ยวเล็บคมกริบค่อยๆผุดออกมาอีกรอบ พวกมันนับพันคำรามด้วยความกระหายเหยื่อยิ่งกว่าสิ่งใด

ก่อนจะเคลื่อนทัพไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างบ้าคลั่ง


 "Trap on!"

สิ้นเสียงของอากาช่าที่บงการอยู่ริมหน้าผา พื้นหินข้างหน้าเหล่ากองทัพคล็อกโคเดี้ยน และนักเวทย์ นักล่าฆ่าหัวฝ่ายความมืด

ก็ได้ถล่มแยกออก โดยพื้นข้างล่างเป็นหินลาวา พวกมันไม่ได้หยุดเคลื่อนที่ทัพหน้าทั้งหมดจึงดิ่งลงสู่ลาวา

ถูกหลอมละลายทั้งร่างและดวงวิญญาณไป และสัญชาตญาณของพวกมันก็คือเครื่องชี้ความตายของพวกมันนี่เอง

 เสียงกรีดร้องคำรามกระหายเลือดครั้งสุดท้ายของหลายๆชีพชีวิตแห่งฝ่ายความมืดดังขึ้นเป็นเสียงบรรเลงให้เอลซ่าได้ยิน

ถึงจะเป็นเพลงบรรเลงที่ไพเราะ แต่หมายถึงฝ่ายของนางติดกับดักติ้นๆเสียแล้ว

"สมน้ำหน้า อยากเค้นให้ไอพวกนี้มันบ้าคลั่งเองนะ ช่วยไม่ได้" อากาช่าควงไม้เท้าตัวเองพร้อมแสยะยิ้ม

ก่อนจะตั้งไม้เท้ายิงเวทย์สายแรงดึงดูดลงไปลากพวกที่รู้สึกตัว หรือลอยอยู่บนอากาศลงมาตกลาวาตายด้วยกัน

"ไม่ๆ!!! ดวงวิญญาณของข้า~!!!" เสียงหวีดร้องของนางดังขึ้นอีกครั้ง ในลักษณะที่ทุกคนได้ยิน พากันปิดหูทั้งหมด

"พวกเจ้าบังอาจมาก ที่เผาผลาญดวงวิญญาณของพวกข้าไปทั้งหมด!!!" นางตะโกนขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด

"ก็เอาออกมาอีกสิ สร้างได้ไม่ใช่รึไง?" น้ำเสียงตอบของอากาช่าฟังแล้วช่างดูยียวนยิ่งนัก

"แก!!!!"

คมเล็บสีเขียวจิกเข้าที่เนื้อหนังตน นางเคาะที่กำไลราตรีอย่างบ้าคลั่ง ด้วยความฉุนเฉียวถึงที่สุดที่ดวงวิญญาณที่นางอุตส่าห์สละไปสร้าง

เหล่าคล็อกโครเดี้ยนทั้งหลายได้ถูกดับลงเป็นจำนวนมากในพริบตา

กองกำลังคร็อกโครเดี้ยนนับหมื่นปรากฏตัวขึ้น พร้อมสัญชาตญาณกระหายเลือดถึงที่สุด

ดวงจันทราสีเลือดที่ลอยอยู่เหนือท้องฟ้าสีเทาทมิฬ ที่อยู่คู่กับเหล่ากองกำลังฝ่ายความมืดตอนนี้ตรงหน้าแค่เหลียวตามอง

ก็อดที่จะขนลุกไม่ได้ พวกมันคำรามอย่างบ้าคลั่ง แล้วพุ่งตัวไล่หาเหยื่อของตนอย่างสะเปะสะปะ

"เอาเลย!!!" อากาช่าตะโกนดังขึ้นสู้เสียงคำรามของพวกมัน

 ท้องฟ้าสีเทาทมิฬหลายส่วนถูกแยกออกเป็นมิติสีขาว แสงสีขาวบริสุทธิ์ทั้งหลายที่ออกมาจากมิติสาดแสงขึ้น

พวกคล้อกโครเดี้ยนที่เผลอหันไปมองมันก็ต้องกรีดร้องสลายไปหลาย100ตัว

ทว่าในสายตาของเหล่ากองกำลังที่เป็นมนุษย์ฝ่ายแสงกลับเป็นแสงทอที่อบอุ่น เพิ่มพละกำลังให้มากขึ้นยิ่งนัก

เหล่าผู้คนที่บาดเจ็บก็ค่อยๆฟื้นตื่นขึ้น บาดแผลจำนวนมากก็ค่อยๆหายไปในพริบตา จนทีมพยาบาลยังคงอึ้งทึ่งอยู่ตรงนั้น

ปฏิกิริยาต่ออาวุธในตนานของทั้ง5เริ่มแสดงออกมา ศาสตราของพวกเขาค่อยๆเปลี่ยนรุปร่างวิวัฒนาการ กลายเป็นอาวุธในตำนาน

ที่ล้อมรอบด้วยแสงออร่าตามธาตุของอาวุธที่เห็นด้วยตาก็มองออกว่าดูแข็งแกร่งขึ้น

คันศรโลหิตในมือคีมีเดียสตอบรับต่อแสงนั้น ลวดลายมังกรที่ขดอยู่ในหลายๆจุด ค่อยๆเปลี่ยนลายเป้นลายมังกรคำรามสง่างาม

พร้อมออร่าแสงสีขาวนวลล้อมรอบศาสตรานั้นอยู่ให้สมเป็นศาสตราคู่ชี้ชะตาโลก

"ดูเหมือนว่า มันจะทำงานมากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เราตั้งไว้นะ" ราชาเงือกรำพึงเบาๆ ในขณะที่ยังอึ้งทึ่งอยู่

"พระเจ้ามีจริง... ท่านช่วยดนบันดาลแด่พวกเราแล้ว..." อากาช่ากล่าวเบาๆพลางหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความปลาบปลื้ม

กระจุกแสงนับ100 สาดแสงอยู่บนนั้น โดยที่ใครหารู้ไม่ว่ากระจุกแสงัน้นคือร่างของนักรบเงือกทั้งหมดที่ผ่านเครือ่งทะลุมิติ

แม้แต่ชาวเงือกที่ถุกโอบอุ้มด้วยแสงนั้นก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่เอฟเฟกของอุปกรณ์ของเทคโนโลยีอะไรแต่อย่างใด

หากแต่เป็นอภินิหาร สิ่งมหัศจรรย์ที่ยื่นมือมาช่วยพวกเขาแล้ว

 เมื่อแสงสว่างค่อยๆสลายกลายเป็นขนนกบินกระจัดกระจายออกไป ก็ได้ปรากฏเป็นร่างนักรบเงือกที่ขดตัวเอาด้านเกราะเกล็ด

แข็งที่สามารถทิ่มแทงทุกอย่างได้ ก่อนจะพุ่งเป็นอุกกาบาตขนาดย่อมนับร้อยพร้อมๆกัน

เหล่าคร็อกโครเดี้ยนที่ถูกอุกกาบาตกระแทกอัดเข้าด้วยความแรงสูง ร่างของพวกมันถูกทิ่มแทงและเผาไหม้ด้วยธาตุแสง

 เมื่อกายามิสามารถจะให้ดวงวิญญาณสิงสถิตได้ ลูกประจุวิญญาณของพวกมันจึงลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้าที่บางส่วนค่อยๆกลายเป็นสีฟ้าครามแล้ว

ดูเป้นภาพที่สวยงามมาก บางส่วนที่ยังไม่ถูกโจมตีต่างทึ่งและคล้อยไปตามไปอย่างสงบ

"พวกแกนิ่งทำไม ฆ่ามัน!!!" เสียงสั่งการอันสยดสยองและบาดหูดังขึ้นในหัวของพวกมันอีกครั้ง

พวกมันทั้งหลายที่หวาดกลัวความตาย จึงรุดหน้าสู้อีกครั้ง

 เหล่านักรบเงือกที่ได้พลังประทานพรธาตุแสงจากเทพเจ้า ต่างฮึกเหิมและบุกโจมตีเหล่าคล้อกโครเดี้ยน

ในขณะที่อีกฝ่ายกลับต่อสู้อย่างกล้าๆกลัวๆไร้ซึ่งพลังที่จะต่อกรได้ จะยื้อได้ก็แค่จำนวนที่มากกว่าเท่านั้น

"เห็นแล้วใช่มั้ย" เฟริน่าชี้ไปที่สนามรบข้างหน้า ซึ่งสถานการณ์รู้ได้ทันทีว่าพลิกแพลงจากเดิมไปแล้ว

"ดีแล้วล่ะที่พวกเรารอไว้ก่อน" วาเนซซี่สมทบ ก่อนจะกวักมือให้ทุกคนลุกขึ้นยืน

"พร้อมมั้ย!?" เลิฟโลว์ที่เป็นคนนำทัพตะโกนขึ้น แล้วชี้หอกในตำนานขั้นอัพเกรดคู่ใจของเธอไปข้างหน้าสนามรบ

 ทุกคนในกองกำลังโห่ร้องด้วยความฮึกเหิมอีกครั้งด้วยพละกำลังที่เต็มพร้อมล้นหลามเป็นการตอบรับ เมื่อเลิฟโลว์ให้สัญญาณจึงบุกลงไปประจัญบาน

กับข้าศึกในสมรภูมิทันที เหล่าคนเจ็บที่นอนอยู่ในเต๊นท์เมื่อกี้ต่างคว้าอาวุธชุดเกราะสวมใส่เตรียมต่อสู้แล้วบุกออกไปเป็นกำลังเสริมตามแบบแผน

เดิมด้วยความรวดเร็ว ทำเอาหน่วยพยาบาลยิ้มได้ในตอนนั้น

 "ชั้นว่านายหน้าจะไปทำหน้าที่ได้แล้วนะ" อากาช่ากล่าวเชิงสั่งการกับเอลฟ์หนุ่มคีมีเดียสที่ยืนอยู่ข้างหลัง

เขาพยักหน้าตอบ ห่อนจะหันหน้าถือคันศรโลหิตเดินลงจากหน้าผาไปยังสมรภูมิเบื้องหน้า

อากาช่าตั้งไม้เท้าประสานมือไว้อยู่ระดับหัว แล้วรำพึงเบาๆ

 "ขอบพระคุณท่าน... เทพีลูซิส..."




บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
เอิร์ธคุงขอรับกระผม
Hero Member
*****
กระทู้: 8,586

กุเบื่อ...


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #757 เมื่อ: 13-03-2011, 19:23:02 »

มีเทพมาช่วยแย้ว Wink

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #758 เมื่อ: 13-03-2011, 21:05:14 »

อร๊ายยยย ใกล้จบเข้าไปทุกทีแล้ว

พระเจ้ามาช่วย แสงจากสวรรค์ อะเฮาะ ~ * *

บทนี้แต่งได้ดีมากเลยจ้ะ >w<



●♫•Kαnαмe Äi•♫●
Hero Member
*****
กระทู้: 2,201

คำคมที่เจ็บปวดที่สุด คือเธอมันแย่ที่สุด!


เว็บไซต์
Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #759 เมื่อ: 13-03-2011, 21:44:28 »

Shocked Shocked Shocked สนุกอ่ะ~!!

บทนี้แต่งได้ดีมาก~~~>[]<

มีเทพเจ้ามาช่วยเก่งกาจน่าดู สงครามดุเดือดแบบนี้จะปรองดองกันยังไงว๊า

ไกล้จบแล้ว จะติดตามนะคะ ชอบๆ ><

GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #760 เมื่อ: 18-03-2011, 12:47:20 »

บทที่44 ประจัญหน้า

 สถานการณ์ของมหาสงครามครั้งนี้ ดูเหมือนจะเริ่มพลิกล็อคกลายเป็นฝ่ายแสงที่กำลังได้เปรียบเสียมากกว่า

ชาวนักรบคล็อกโครเดี้ยนที่ดูเหมือนจะหมดกำลังใจในการต่อสู้ก็ถูกนักรบเงือกโค่นล้มได้อย่างง่ายดาย

ยิ่งมีสมาชิกกองกำลังทั้งหมดที่ฮึกเหิมด้วยพลังพรแห่งเทพีลูซิส ก็ยิ่งสามารถเอาชนะอีก่ายได้ยอางไม่สงสัย

 อากาช่าที่ยืนอยู่บนหน้าผาหลังจากคุกเข้าภาวนาเสร้จ เธอจึงค่อยๆยันตัวขึ้นพร้อมตั้งไม้เท้าไว้ข้างหน้า

"ฮึกเหิมต่อไป ให้กำลังใจแรงกล้าอย่าให้มอดดับ เพราะของจริงมันจะมาในอีกไม่ช้า..." อากาช่ารำพึงเบาๆ

ก่อนจะชาร์จพลังเวทย์เตรียมตัวลงไปนำทัพดังเดิม


 "ว่าไงนะ! นังลูซิสอีกแล้วเรอะ!!!" เสียงกรีดร้องแห่งเทพีความมืดตวาดขึ้น ทำเอาคร็อกโครเดี้ยนที่มารายงานข่าววิ่งหนีหัวซุกหัวซุนไปตามๆกัน

"ถึงแกจะเป็นพี่สาวฝาแฝดข้า อย่าหวังว่าแกจะมีอะไรเหนือกว่าข้า"

นางค่อยๆเหลือบไปดูกำไลราตรีที่สวมอยู่ทั้ง2ข้าง

"แต่ว่า ร่างข้าก็สมบูรณ์แล้วเช่นกัน อ๊า...! ฮะฮะฮะ...!"

เทพีแห่งความมืดรัติกาลทื้งปวง เอลซ่า ค่อยๆแผดเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง กำไลราตรีสีเทานวล หุ้มด้วยออร่าพิษสีม่วง

ที่สั่นคลอนตลอดเวลา บ่งบอกถึงเหล่าวิญญาณที่ถูกกักขังกำลังกรีดร้องให้หลุดออกไปจากที่จองจำแห่งนี้

 "หลังจากที่ข้ารอเวลามานับหลาย10ปี ร่างของข้าบัดนี้ก็สมบูรณ์ไม่แพ้ร่างเก่าแล้ว...!!"

"ต่อให้แกจะมีผู้ถืออาวุธในตำนาน หรือแม้กระทั่งตัวชี้ชะตาอะไร ข้าก็จะขยี้มันด้วยฝ่ามือของข้าเอง!!!"

 
 ร่างสง่าของเอลฟ์หนุ่มนามว่า คีมีเดียส ที่บัดนี้ได้สวมเกราะและถืออาวุธชี้ชะตาโลก คันศรโลหิต อย่างองอาจ

 แพะพิกม่าตัวอ้วนกลมที่ตั้งชื่อเล่นๆว่า เวนทีส ผู้เป็นสัตว์เลีย้งของเขาค่อยๆวิ่งมาแล้วเกาะอยู่บนไหล่อย่างสงบ

เขาค่อยๆเดินลงจากหน้าผาก่อนจะง้างศาสตราธนูขึ้นไปบนฟ้า สายคันธนูที่ไม่ได้ปรากฏแต่เดิม กลับเหมือนมี

สายที่ทำจากแสง เมื่อสัมผัสจึงจะเห็น พร้อมลูกธนูเวทย์ที่เขาสร้างขึ้นมาจากมือได้ทันที

นี่คือจะไม่ใช่ออพชั่นเสริมจากอาวุธหรืออะไรใดๆ หากแต่อาจเป็นเพราะมาจากการฝึกหนักของเขาที่ผ่านมา

ทำให้ความสามารถของเขาก้าวข้ามไปได้อีกระดับ

สายธนูง้างขึ้นพร้อมกระจุกลูกธนูเวทย์ที่ง้างไว้อยู่ "ระยะสูงขนาดนี้ขอให้ไปถึงทีเถอะ"

ก่อนที่จะปล่อยมืออกจากลูกธนูให้พุ่งไปตามแรงส่งของสายธนู

ลูกคันศรทั้งหลายพุ่งไปถึงบนฟ้าเหนือเมฆาทั้งปวง ก่อนที่ฟ้าฝนจะตกลงมาเป็นลูกธนูธาตุ ลม และ แสงจำนวนมากมายมหาศาล

ทว่า ฝ่ายกองกำลังที่อยู่ฝ่ายแสงทั้งหมดและนักรบเงือกกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย

ในทางข้าศึก เมื่อถูกลูกธนูเฉือนเข้าก็ต่างลงไปนอนดื้นทุรนทุรายก่อนสิ้นใจอย่างสงบตรงนั้นกันเป็นจำนวนมาก

 ฝ่ายข้าศึกที่เหลือเมื่อเห็นดังนั้น ก็หมดกำลังใจต่อสู้ ทิ้งอาวุธในมือตนก่อนจะตั้งท่าวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย

แต่จะทำได้เช่นนั้นก็คงจะไม่ เพราะขาของเหล่าคล็อกโครเดี้ยนและนักล่าค่าหัวัท้งหมดถูกตรึงไว้ด้วยปิศาจ

รูปร่างกลมๆขยุกขยุยน่ากลัวน่าเกลียด ดวงตาสีเลือดของมันค่อยๆเบิกขึ้น ก่อนที่มันจะแยกเขี้ยวอันแหลมคมตรงที่คาดว่าจะเป็นปากของมัน

กัดกินขาของข้าศึกทั้งหมด ก่อนจะเขมือบร่างของข้าศึกเข้าไปอย่าเอร็ดร่อยๆทีละคน...

 ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของข้าศึกหลายๆคนที่ถูกปลิดชีพอย่างทรมาน ดวงวิญญาณของพวกมันทั้งหลายถูกดูดเข้ากลับไปในกำไลราตรีอีกครั้ง

ร่างของเทพีแห่งความมืดที่ค่อยๆย่างกรายเข้ามา แต่ละก้าวเมื่อเดินผ่านสิ่งใด ต้นไม้ทุ่งหญ้าทั้งหมดก็ค่อยๆเห-รี่ยวเฉาตายกันไปตามๆกันทั้งหมด

พร้อมกับเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งที่ฟังเหมือนเสียงกรีดร้องอันสยดสยองในหูของแต่ละคน

กายาของนางใหย่ยักษ์เปรียบได้ดั่งภูผา2ลูกต่อกันก็ไม่เชิง อากาช่าที่ยืนดูอยู่ก็เตรียมชาร์จพลังเวทย์เตรียมต่อสู้อย่างเต็มที่

"ฆ่าพวกเดียวกันเอง?" เลิฟโลว์ค่อยๆขยับปากขึ้นช้าๆในขณะที่ยังมึนงงกับเหตุการณ์ตรงหน้า

"ดีแล้วแหละ โง่ฆ่ากองกำลังตัวเอง" วาเนซซี่รำพึงเบาๆ ก่อนจะให้สัญญาณคนทั้งหมดให้เตรียมต่อสู้

เฟริน่าที่ยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ หมู่บ้านชาวเงือกก็เกิดอาการสั่นหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก

ก่อนขณะนั้น ID การ์ดของเธอเด้งขึ้นมา ผู้ติดต่อไม่ใช่ใครนอกจากไพเรส

"ไม่ต้องกลัวนะ ทุกคนพร้อมช่วยกันเสมอ" น้ำเสียงที่ฟังแล้วดุอบอุ่นดังผ่านไอดีการ์ด ช่วยเรียกสติเฟริน่ากลับมาอีกครั้ง

เธอพยักหน้ารับก่อนจะลด ID การ์ดลงไป แฟลชที่ทำหน้าแหยๆกับคูรักที่หวานเกินสะกิดเรียกเฟริน่าอีกรอบ

"คราวนี้จะมาหมดมุขผสมยาไม่ทันไมได้อีกนะเฟ้ย" แฟลชกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ดูเหมือนท้าทายระดับหนึ่ง

"ไม่หรอกน่า คราวนี้เอาจริงย่ะ แกน่ะแหละยิงให้ทันก็แล้วกัน" เธอยักไหล่ตอบกลับ ก่อนจะลงมือผสมยาอย่างรวดเร็ว

 
 "ว่าไง เจ้าพวกงมงายเด็กฝ่ายแสงทั้งหลาย~" น้ำเสียงแหลมแฝงด้วยความน่ากลัวต่อผู้ได้รับฟังดังขึ้น

ทุกคนในกองกำลังฝ่ายแสงที่ยังมีกำลังใจดีอยู่ จ้องมองมาที่นางผู้เป็นข้าศึกใหญ่ตัวเดียวในสมรภูมิสงคราม

"โผล่มาแล้วเรอะ? เอลซ่า..." เสียงอากาช่าที่เหมือนรำพึงเบาๆ แต่กลับดังในหัวของทุกคนให้ได้ยินในขณะนั้น

"ใช่ โผล่จะมาจัดการพวกแกนี่แหละ" นางตอบกลับอย่างสบายอารมณ์ พลางชูมือให้เห็นกำไลราตรีที่นางสวมอยู่

ความรู้สึกของทุกคนในที่นั้นค่อยๆรู้สึกขึ้นถึงวิญญาณที่กรีดร้องให้ได้รับการช่วย ภาพในอดีตของคนที่เกี่ยวข้องทั้งหมด

ค่อยๆไหลมาจนถึงขณะที่ล้มตายแล้วถูกดูดดวงวิยญาณไปกักขังในนั้น ทำให้หลายส่วนยิ่งฝังใจโกรธแค้นยิ่งนัก

 เสี้ยววินาทีแม้ไม่มีสัญญาณสั่งประจัญบาน ทั้งหมดก็กรูเข้าหมายจะโจมตีฟาดฟันเทพีแห่งคามมืดผู้เป็ข้าศึกตัวสำคัญให้ตายเสีย

ทว่า กลับทำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ซ้ำแค่นั้นกระดิกนิ้ว คลื่นพลังความมืดก็กวาดเข้าสู่ร่างของหลายๆคนให้สลายไป

ดวงวิญญาณนับ100ค่อยๆลอยขึ้นก่อนจะถูกดูดเข้าไปรวมกักขังไว้ในกำไลราตรี

"ทุกคนถอยมาก่อน" หัวหน้ากองกำลังทั้งมนุษย์และเงือกกล่าวขึ้นพร้อมกัน

คนที่เหลือสติอยู่ ต่างวิ่งหนีกลับเข้าที่หลบซ่อนอย่างสุดชีวิต ในขณะที่นางยังหัวเราะชอบใจกับดวงวิญญาณที่มีมากขึ้นได้ทันตาเห็น

"พลังของทุกคนตอนนี้ โค่นล้มมันไม่ได้ ต้องรอสถานการณ์ไปก่อน ที่เหลือพวกชั้นจัดการเอง"

เสียงอากาช่ารำพึงเบาๆก้องขึ้นในหัวของทุกคน จึงยอมปฏิบัติตาม เพราะต่อให้ออกไปก้ได้แต่ไปตายอยู่ดี

 เหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนานทั้ง5 ตามมาด้วยอากาช่าที่กระโดดลงมาเมื่อกี้ และคีมีเดียสผู้ถือคันศรโลหิต และได้กล่าวว่าเป็น "ตำนาน"

ซึ่งตอนนี้ทั้งหมดคงต้องรวมพลังกันเพื่อกำจัดนางมารแห่งความมืดที่ร้ายกาจตนนี้เสีย 

"เดี๋ยวสิ" เสียงๆหนึ่งอันคุ้นหูดังขึ้น ร่างของต้นเสียงกระโดดลงมายืนสง่าอยู่ตรงหน้า

"วีนัส!?" เลิฟโลว์ร้องขึ้นอย่างดีใจถึงจะตกใจอยู่บ้างก็ตาม

"หวังว่าข้าคงมาทันกะเขานะ"

ทั้งหมดค่อยๆเดินมาประจัญหน้ากับนางอย่างกล้าหาญ ก่อนจะตั้งอาวุธขึ้นเตรียมต่อสู้

"ชั้นขี้เกียจเสวนากะพวกลูกน้องของแกแล้วนะ เห็นส่งมาทีละตัวก็โง่ตายหมดทุกตัว"

อากาช่ายืนอยู่แถวหน้าสุด เปิดฉากเสวนาขึ้นเป็นคนแรก

"พวกแกก็ได้แต่หมาหมู่ไม่ใช่เรอะ? ไม่เป็นไร ถือว่าออมมือให้~" สิ้นเสียงของนาง ทั้งหมดที่เตรียมจังหวะการต่อสู้มาอย่างดี

ก็ทำตามหน้าที่หากใครโจมตีระยะสั้นก็จะอยู่แถวหน้า ตอนนี้ทุกคนก็จะอยู่บนวิญญาณที่แปลงรุปร่างเป็นพาหนะของวาเนซซี่

เพื่อเล็งเป้ามหายโจมตีที่หัวถึงกลางตัว ส่วนคนที่โจมตีระยะไกลก็จะไปลอยอยู่ในระยะไกลและสูงกว่า

 ไม่ทันจะพูดพ่ำทำเพลงอะไร ทั้งหมดก็ปิดฉากต่อสู้อย่างดุเดือด พลังของอาวุธในตำนานทั้ง5ชิ้นดูเหมือนจะแรงกล้าขึ้น

ทำเอานางมารที่อยู่ตรงหน้ารู้สึกเจ็บแสบขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอยู่ในท่าดวาเคลื่นความมืดอย่างบ้าคลั่งเหมือนปัดแมลงหวี่แมลงวันรอบๆ

ในขณะที่ผู้โจมตีระยะใกล้ทั้ง2คือ เลิฟโลว์ และมาช่า ได้เป็นตัวแทงก์โจมตีด้านหน้าสุด

เฟริน่าทำหน้าที่ยิงกระสุนกรดสลับกับผสมยาให้แฟลช ส่วนแฟลชและคนที่เหลือก็ระดมโจมตีกันอย่างสุดกำลัง

ส่วนวีนัสก็บรรเลงขับร้องเพลงให้เสียดแก้วหูนางให้เสียจังหวะ ก่อนจะปากงจักรขนาดยักษ์เฉือนร่างของนางไปบางจุด

อากาช่าที่ยืนอยู่สูงที่สุด ร่ายเวทย์ธาตุธรรมชาติทั้งหลายโจมตีเอลซ่าอย่างไม่ลดละ บางส่วนโจมตีได้ แต่บางส่วนก็ค่อยๆซึมหายไปตามผิวหนังของนาง

"แค่นี้คิดเหรอว่าจะโค่นล้มข้าได้!!!" นางแผดเสียงขึ้น ก่อนจะตวัดเกลียวคลื่นความมืดขนาดยักษ์เฉียดหัวทุกคนไปไม่กี่เมตร

"ระวังนะ! โดนทีเดียวได้ตายแน่!" อากาช่าร้องเตือนทุกคน

ไม่ทันที่อากาช่าจะพูดจบ เกลียวคลื่นแห่งความมืดพุ่งมาที่ตัวเธออีกรอบ...!



บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
●♫•Kαnαмe Äi•♫●
Hero Member
*****
กระทู้: 2,201

คำคมที่เจ็บปวดที่สุด คือเธอมันแย่ที่สุด!


เว็บไซต์
Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #761 เมื่อ: 18-03-2011, 12:50:58 »

อ๊าย~~~~!!!

ลุ้นๆ ไกล้แล้ว >[]<

กำลังมันรออ่านนะคะ ^^"

เอิร์ธคุงขอรับกระผม
Hero Member
*****
กระทู้: 8,586

กุเบื่อ...


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #762 เมื่อ: 18-03-2011, 13:01:46 »

ว้าวเอลซ่าตัวใหญ๋ยักษ์เลยหรอ Shocked Shocked น่าจะเดินไปข้างใต้จะได้แอยส่องใต้กระโปรง Evil โดนตบ Shocked

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 42 (อัพเดท 26/02/54)
« ตอบ #763 เมื่อ: 18-03-2011, 15:26:04 »

เห้ยยย อากาช่าที่รัก ระว๊างงงงงงงงงงงงง  Shocked

สนุกมากมายเลยจ้ะเธอว์ >w< รอบทต่อไปนะ

ใกล้จบและ บรรยายได้ดีเหมือนเคย



GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fic.asura "ตำนานบทราตรีเเห่งวิญญาณ" บทที่ 44 (อัพเดท 18/03/54)
« ตอบ #764 เมื่อ: 06-04-2011, 23:42:29 »

บทที่45 เสียสละ

 "ระวัง!!!" เสียงตะโกนเตือนของทุกคนดังขึ้น เมื่อเหตุการณ์ที่จะพรากชีวิตหัวหน้ากองกำลังพวกเขากำลังอยู่บนปลายด้าย

ในเสี้ยววินาที ร่างของอากาช่าย่อตัวหลบคลื่นพลังเวทย์แห่งความมืดในระยะที่ฉิวเฉียด แม้กระทั่งสายตานับหลายคู่

ยังมิสามารถที่จะจดจ้องเหตุการณ์ได้ทันได้เลยแม้แต่คนเดียว

 อากาช่าที่ตั้งหลักได้แล้วหันขวับกลับมาพร้อมอาวุธที่ชี้นำหน้าเธอ ด้วยแววตาอันมุ่งมั่นที่จะพาทุกคนสู่ชัยชนะ

คีมีเดียสที่มองอยู่จึงฮึดสู้ขึ้น เตรียมชักคันศรโลหิตขึ้นมาระดมโจมตีต่อทันที
 
 ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ นักรบแนวหน้าเช่น เลิฟโลว์ และ มาช่า ที่ต่อสู้โดยระยะประชิด ทำให้ทั้งคู่เริ่มรู้สึกถึงพละกำลังภายในที่กำลังถูกกัดกิน

หากมันไม่กระตุ้นแรงจนทำให้ทั้งคู่ฮวบไปทันที ผู้ที่รู้ดีแสยะยิ้มขึ้นในขณะที่ใช้มือชุ่มไอพิษตวัดกวาดไปรอบๆเยีย่งคู่ต่อสู้ตรงหน้า

เป็นแมลงวันบินว่อนตอมตัวรอบๆ เรี่ยวแรงของนางค่อยๆมากขึ้นตามระดับจากพลังวิญญาณที่นักรบแนวหน้าทั้ง2ค่อยถ่ายเทให้ตนโดยไม่รู้ตัว

 วีนัสซึ่งเหลือบไปเห็นค่อยๆสะกิดเฟริน่าที่อยู่ข้างตัว ก่อนจะชี้ไปดูอาการของเจ้าหล่อน2คนนั้น

 เฟริน่าที่ดูใบหน้าที่เริ่มซีดเซียวของทั้งสองอยู่ห่.างๆ เริ่มจับสังเกตได้ว่าพละกำลังของทั้งคู่เริ่มลดลงจากที่ควรจะเป็น

ความรุนแรงในการตวัดอาวุธของพวกเธอดูปวกเปียกลงในระดับหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด เมื่อสรุปความคิดเช่นนั้นแล้วจึงร้องถาม

 "พวกเธอไหวมั้ย!!!"

 ขณะที่เลิฟโลว์และมาช่า ยังเกาะวิญญาณที่ทำให้ร่างของทั้งหมดลอยอยู่เหนือฟ้าและฟาดฟันศาสตราวุธของตนไปตามร่างของนางจอมมาร

ศัตรูตนสุดท้ายที่อยู่ตรงหน้า ทั้งคู่กระชากวิญญาณใต้เท้าให้ถอยห่.างออกมาในระดับหนึ่งก่อนตะโกนกลับ

 "ม..ไม่เป็นไร แค่รู้สึกปวดหัวนิดหน่อย" เลิฟโลว์ที่พูดจาฉะฉานกว่าเป็นคนนำตอบ มาช่าที่อยู่ข้างๆได้แต่พยักหน้าหงึกๆ

หากคำพูดของพวกเธอช่างผิดกับสีหน้าที่ถอดสีจางลงอย่างถนัดตาเมื่อเห็นชัดๆ ยิ่งจะให้ไปพักตอนนี้ก็จะขาดคนตราทัพแนวหน้า

คาดว่าเฟริน่าอาจต้องทำอะไรสักอย่าง...

 "แฟลช ชั้นขอหยุดผสมยาให้นายก่อน" เฟริน่ากำชับคำกับเจ้าธุระข้างตัว พอเขาเออออตาม เธอรีบบังคับวิญญาณพาหนะของตนไปใกล้

มาช่าและเลิฟโลว์ ก่อนจะผสมยาด้วยความไวที่มากขึ้นตามออพชั่นเสริมของศาสตราวุธที่เธอถืออยู่

 เมื่อแคปซูลที่เธอผสมเสร็จสมบูรณ์ทั้งหมดแล้ว เธอยัดลงในช่องเติมกระสุนของปืนในตนานคู่ใจของเธอ ก่อนจะยิงออกเข้าที่ตัวของหญิงสาว

ผู้เป็นเพื่อนร่วมทีมอีก2คนที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เมล็ดแคปซูลค่อยๆละลายฝังไปตามผิวหนังอย่างรวดเร็ว

 ความรู้สึกกระตุ้นต่างๆแล่นเข้าสู่สมอง พละกำลังของทั้งคู่เหมือนจะฟื้นกลับมาด้วยความรวดเร็ว ในท่าทีที่พวกเธอยังอึ้งทึ่งกับความสามารถอยู่

เฟริน่ารีบแจงอธิบายสิ่งที่ควรรุ้ไว้ก่อนทันที

 "ยาชูกำลังขั้นS มันจะเพิ่มพละกำลังพวกเธอได้ในระยะเวลาหนึ่งประมาณ15นาที และที่สำคัญ" เธอเอียงคอไปทางศัตรูที่อยู่ตรงหน้า

 "ปิดกั้นเคิร์สดูดพลังงานด้วย" พลางแสยะยิ้ม เมื่อแผนดูดพลังงานตัดขั้วนำทัพของนางมารศัตรูตัวฉกาจ ถูกตัดขาดลงเสียเอง

ด้วยความที่เธอเป็นคลาสอัลเชมิสมาแต่เดิม การสังเกตเคิร์สหรือสถานผิดปกติของพรรคพวกเพื่อนร่วมทีมให้กระจ่างจึงไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเธอ

 "ขอบคุณมากจ้ะ" สองสาวเอ่ยขึ้นก่อนคำนับขอบคุณผู้อาวุโสในอุดมการณ์ของตน แล้วพุ่งตัวไปเป็นทัพแนวหน้าต่อตามวิถีการต่อสู้เดิม

 ฝ่ายนางมารที่รู้สึกตัวว่าพลังงานที่ดูดซึมซับมาโดยออร่าความมืดจากตัวนางที่หากใครเข้าใกล้ประชิดจะถูกดูดพลังวิญญาณไปเรื่อยๆ

เมื่อหมดตัวก็ถึงขั้นจะดับลมหายใจได้ง่ายๆ บัดนี้ เหล่านังหน้าโง่ทัพหน้าในความคิดนางกลับไม่ถูกดูดพลังงานไปแต่อย่างเดิม

จึงได้แต่คิดเจ็บใจที่ไม่สามารถคว้าตัวหยุดยั้งหล่อนทั้ง2ไว้ได้ทัน

 "ข้าเบื่อที่จะต้องอยู่ร่างยักษ์ไล่ตบแมลงวันน่ารำคาญนี่แล้ว..." เสียงเอื่อยเอื้อนแสบแก้วหูของนางแผดขึ้น อารมณ์ที่เริ่มพลุ่นพล่านรำคาญใจ

สะท้อนออกมาโดยเสียงอันน่าสะพรึงกลัวของหล่อน ก่อนที่นางจะเคลื่อนร่างผงะออกจากจุดเดิมเล้กน้อย แล้วรวบรวมพลังในมือ

ของนางอัดใส่เข้าร่างของตนด้วยสีหน้าที่แสยะฉีกยิ้มริมฝีปากที่แทบจะถึงหูช่างสมกับเป็นนางมารแห่งความชั่วร้ายทั้งปวง

 เรือนร่างของนางมารค่อยๆถูกย่อขนาดลง แต่อิทธิฤทธิ์นั้นไม่มีวันที่จะคล้อยหย่อนตามขนาดตัวแน่นอน

ร่างศัตรูที่ติดอยู่กับพื้นเช่นนี้ ทำให้วาเนซซี่รู้สึกโล่งใจ ได้โอกาสปลดแท่นวิญญาณของตนลงเมื่อทุกคนแล่นถึงพื้น ทำให้เอไม่จำเป็นต้องใช้

พลังงานตลอดเวลาให้สิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ

 สายตาจ้องเขม็งของผู้ที่มีพลังอิทธิปาฏิหาริย์เหนือกว่าสิ่งใดสบกัน ทำเอาอีกฝ่ายที่ครอบครองพลงแห่งความมืดกลั้วหัวเราะออกมา

 "โฮะโฮะ..! เจ้าสินะ ตัวแทนนักรบของพี่สาวฝาแฝดน่ารังเกียจของข้า..!" น้ำเสียงกลั้วหัวเราะของนาง ช่างเป็นทำนองที่เสียดสีหูที่สุด

ในชีวิตเท่าที่เอลฟ์หนุ่มอย่างเขาเคยได้ยินมา น้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยอำนาจ และน่าสะพรึงกลัวลึกๆ และบาดแก้วหูทุกประโยค

มันไม่ใช่น้ำเสียงของผู้ที่มีสัจธรรมในชีวิตของตน หากแต่เป็นน้ำเสียงที่ต้องกรีดร้องเค้นออกมาดั่งถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยความมืดอันชั่วร้ายนี้

 เอลฟ์หนุ่มชำเลืองสายตาดูทั่วก่อนจะตั้งอาวุธเตรียมต่อสู้อีกครั้ง "ข้าไม่จำเป็นต้องตอบ บัญชีนี้เราควรสะสางกันแต่เร็วไว"

น้ำเสียงที่เปี่ยมอำนาจดังขึ้น เพียงแต่คนที่อยู่รอบข้างรู้สึกแปลกใจเล้กน้อยที่น้ำเสียงค่อยๆของเขาเหมือนมีอะไรบางอย่างทำให้มัน

ดูสง่าเหมาะสมที่จะเป็นผู้นำยิ่งนัก อากาช่าที่มองดูอยู่เริ่มรู้ทันทีว่าเทพเจ้าที่ตนนับถือมาตลอด กำลังเปล่งอิทธิฤทธิ์ช่วยเหลือพวกตนอยู่

ถึงจะไม่รู้ว่าทางไหนก็ตามที แต่แค่นี้พวกเธอก็มีกำลังใจต่อที่จะต่อสู้ฟาดฟันกับสิ่งที่อยุ่ตรงหน้าอย่างไม่เกรงกลัว

 เมื่อสิ้นเสียงทุกแห่ง สมรภูมิในจุดนี้ช่างเงียบงันยิ่ง มีเพียงเสียงลมที่พัดพาฝุ่นทรายผ่านไปเรื่อยๆ บรรยากาศที่มืดครึ้มชวนให้ดูขึงขัง

มันเป็นช่วงสุดท้าย ที่ทั้งหมดจะประจัญหน้ากัน นางมารที่อยู่ตรงหน้าแสยะยิ้มก่อนจะเรียกสิ่งที่หวงแหนที่สุดในชีวิตออกมาสวม

 "กำไลราตรีเอ๋ย...ส่งเสียงกรีดร้องที่เสนาะหูให้ทุกคนได้ยินซิ..."

 ไม่ทันขาดคำเชิงสั่งการของนางมารแห่งความมืด เสียงแห่งกำไลราตรีที่ถูกปิดกั้นมานานเริ่มแผดขึ้น

เป็นเสียงกรีดร้องของเหล่าดวงวิญญาณนับล้าน ที่หวยหวนความเป็นอิสรภาพ แม้นร่างกายจะถูกดับลมหายใจลงไปแล้ว

แต่ดวงวิญญาณของพวกเขาเหล่านั้นก็ไม่อาจจะหลุดออกไปไหนได้ นอกจากจะถูกกักขังอยู่อย่างทุกข์ทรมานเช่นนี้

 เสียงกรีดร้องค่อยๆแผ่ซ่านสู่ความนึกคิดของทุกคน ดวงวิญญาณที่เคยเป็นเพื่อนร่วมรบ เพื่อน ครอบครัวทั้งหลายของผู้รอดชีวิต

ส่งเสียงก้องอยู่ในหัวของหลายๆคน บางคนที่หลุดหลงไปในภวงัค์ของดวงวิญญาณที่เรียกหาเริ่มมีอาการเสียสติไปตามๆกัน

 อากาช่าที่ยังพอจะประคับประคองสติสัมปชัญญะของตนได้ จึงส่ายหน้าไปมาแล้วตั้งอาวุธเตรียมตอสู้ตรงหน้า

 "แกไม่ต้องทำลีลาให้คนอื่นเขาเสียเจตนารบเลย เพราะยังไง..."

 "ก็ต้องตายกันไปข้าง..."

 เสียงของหญิงสาวผู้เป็นจอมทัพถูกดับลง ด้วยเสียงอาวุธกระทบกับคลื่นพลังแห่งความมืดที่ดังสนั่น ซึ่งเป็นอาวุธไม้เท้าของอากาช่าเอง

ที่ยื้อรับคลื่นพลังความมืดก่อนจะปัดมันออกไปอย่างฉิวเฉียด

 ทุกคนทีได้สติแล้ว จึงชักศาสตราวุธของตัวเองขึ้น แล้วบุกเข้าโจมตีตามวิถีของตนอีกครั้ง

 คีมีเดียสที่กระโดดถอยขึ้นที่สูง ก่อนจะง้างลูกธนูที่เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งแสง แล้วปล่อยพุ่งไปตามความเร็ว

เสี้ยววินาที ลูกธนูแสงของเขาได้เฉียดที่แขนคงนางมารเอลซาที่หลบได้ประจวบเหมาะสถานการณ์

 โลหิตสีม่วงเข้มที่รินไหลออกมาเล็กน้อย ยิ่งทำให้นางสะใจมากขึ้น ก่อนจะยกแขนของตนดูดเดื่อมโลหติตนด้วยสีหน้าที่ดูเอร็ดอร่อยมาก

ในระหว่างที่ย้ายร่างหลบการโจมตีในรูปแบบต่างๆของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าถึงเวลาแล้ว นางยกมือขึ้นรวมพลังไว้ที่กำไล

 เพียงชั่วพริบตา สนามรบที่แห่งแล้ง กลายเป็นมิติเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรคสิ่งกีดขวาง ร่างของทั้งหมดทุกกระจายไปตามจุดต่างๆ

นางมารเอลซ่าแสยะยิ้ม ก่อนหันหลังกระโดดไปจุดที่เหนือที่สุด

 เส้นทางหินที่ด้านล่างเป็นเหวแห่งมิติ ที่รู้กัยดีใครตกลงไปคงถูกความมืดกลืนกินร่างและวิญญาณไปตลอดนิรันดร์แน่

เหล่านักรบทั้งหมดถูกกระจัดกระจายไปตามจุดต่างๆเป็นกลุ่มๆ ทำได้เพียงเรียกร้องหากันในความมืดเท่านั้น

 อากาช่าที่อยู่จุดหนึ่งค่อยๆเลื่อนสายตาชะเง้อมองทางหินที่เต็มไปด้วยอุปสรรคคต่างๆ ที่สรรค์สร้างขึ้นดว้ยความมืด

ไม่ว่าจะกิโยตินที่พร้อมจะสับลงมาได้ทุกเมื่อหากเดินผิดก้าว หรือเหล่าคล็อกโครเดี้ยนขนาดมหึมาที่ขวางทางไว้อยู่

หากจะไปทางอากาศ ก็จะติดเหล่าสัตว์ประหลาดหน้าสุนัขผสมหมาป่า ร่างมนุษย์ประดับปีค้างคาว ที่บินว่อนอยู่รอบๆค่อยปล่อยคลื่นพลังความมืด

สอยให้ร่วงตกลงไปอย่างง่ายดาย

 เหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนานได้ถูกส่งมาอยู่ที่จุดจุดหนึ่งทั้งหมดค่อยๆหันหลังชนกัน ก่อนจะปรึกษาตามสถานการณ์

 "ถ้าเราไปตามทางเดิน ไม่รู้ว่าจะเจอกับดักเท่าไหร่..." เฟริน่าเริ่มแจงความเห็น

 เลิฟโลว์แหงนขึ้นฟ้าก่อนจะเริ่มเอ่ยขึ้น "แต่ถ้าไปทางอากาศ อย่างมากก็เผชิญแค่การ์กอย"

 สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่วาเนซซี่ ซึ่งเธอรู้ตัวอยุ่แล้วว่าควรจะอย่างไร...

กำไลแห่งวิญญาณของเธอสั่นขึ้น ก่อนวิญญาณดวงหนึ่งจะกลายร่างเป็นวิญญาณมังกรที่สามารถเป็นพาหนะให้คนจำนวนไม่เกิน10ได้

ทำเอาแฟลชเบ้ปากเอ่ยถาม "ทำไมไม่ทำแยกแบบมะกี้ล่ะ?" เขาถามงุ่นง่านหงุดหงิดใจที่จะต้องกลายเป็นผู้โดนสารจำเป็น

 "เอาเหอะน่า ขึ้นมาเถอะ แยกกันหลายคนแต่ละคนจะไม่มีเวลาคุ้มกันตัวเองน่ะสิ แต่การบังคับแบบนี้จะทำให้ชั้นเสียพลังงานมากนะ..."

วาเนซซี่เอ่ยเสียงเรียบแจงเหตุผล ก่อนจะก้าวขึ้นไปที่หัววิญญาณมังกร ทั้งหมดที่เหลือว่งไม่มีทางเลือกเออออแล้วก้าวขึ้นหลังของมัน

 "ไปเลย!!!" ก่อนที่ปีกของวิญญาณมังกรค่อยๆกระพือลอยสู่ฟ้าขึ้น

 "เลิฟโลว์ มาช่า! คุ้มกันวาเนซซี่ที่เป็นคนบังคับ! เดี๋ยวชั้นกลับแฟชจะจัดการตัวที่บินผ่านหัวเราเอง!" เฟริน่ารีบเร่งสั่งการตามสถานการณ์

ทั้งหมดพยักหน้ารับคำ ก่อนจะทำตามหน้าที่ของตนฝ่าด่านไปตามทางเรื่อยๆ

 อากช่าค่อยๆเหลียวหลังมาเห็นคีมีเดียสเดินมาดุ่มๆ จึงคิดว่าจะปรึกษากับเอลฟ์หนุ่มเสียหน่อย

 "ชั้นคาดว่าทางพวกนู้นคงจะเดินทางทางฟ้า แต่ของเราอาจต้องเดินดิน"

 เอลฟ์หนุ่มพยักหน้ารับรู้ ก่อนออกความเห็น "ก็ต้องฝ่าอุปสรรคพวกนั้นแน่นอน"

หญิงสาวพยักหน้ากลับ แล้วหมุนตัวรีบวิ่งมุ่งหน้าฝ่าอุปสรรคไป

 ท่ามกลางกับดักกลไกเปิดปิดมากมาย ที่สามารถจะขยี้ร่างของพวกเขาได้ทุกเมื่อ เหล่านักรบผู้กล้ากลับฝ่าฟันมันอย่างไม่เกรงกลัว

เหล่าผู้ครอบครองอาวุธในตำนานทั้ง5ซึ่งตอนนี้ลอยเหนืออยู่บนฟ้าและยื้อหลบหลีกกับศัตรูปิศาจการ์กอยกลางอากาศ

สีหน้าของวาเนซซี่เริ่มซีดลงเรื่อยๆ พลังวิญญาณที่ใช้แปรรุปเป็นพลังเวทยืออกมาร่อยหรอเต็มที่แล้ว

สายตาของเธอพยายามกวาดหาพรรคพวกต่างๆ ก่อนจะเหลือบไปเจออากาช่าและคีมีเดียสที่กระโดดหลบสิ่งกีดขวางจำพวกกีโยติน ขวานแกว่งตามทาง

สติที่เริ่มพร่าเลือนของเธอ ทำให้ค่อยชลอมังกรวิญญาณที่เป็นพาหนะลงใกล้จุดๆที่พรรคพวกอีกกลุ่มของเธอ ก่อนมันจะสลายไป

 ร่างทั้งหมดกระแทกลงสู่พื้นในจุดเดียวกัน คนที่ยังไม่เรี่ยวแรงอยู่ค่อยๆปัดฝุ่นออกจากตัวแล้วยันร่างขึ้นยืน

ขณะนั้น คนที่ยังไม่สามารถลุกขยับไปไหนได้คงมีเพียงแต่วาเนซซี่ที่นอนหน้าถอดสีเยี่ยงคนไร้เรี่ยวแรงอยู่ ณ ตรงนั้น

 เฟริน่าที่พยายามกรอกปากด้วยยาชูกำลังของเธอแต่ก็ไม่เป็นผล หญิงสาวที่หมดเรี่ยวแรงสำลักมันออกมาในขณะปากที่สั่นระทวยพยายาม

ละล่ำพลั้งกล่าวออกมาให้ได้ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา "ร่างกายของชั้นมันหมดพลังวิญญาณถึงขีดสุด..ต่อให้ยาอะไรก็ช่วยไม่ได้..." 

 ถึงคนจะมาครบแล้ว แต่เลิฟโลว์เริ่มมองหาจุดผิดสังเกต ก่อนจะเอะใจขึ้น "วีนัสล่ะ?"

 อากาช่าได้ยินคำถามขึ้น ก่อนถอนหายใจออกมาอย่างปลงๆ "เธอคงไม่ได้ติดมาในห้วงมิตินี่ด้วย อาจจะอยู่ข้างนอก"

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอลฟ์หนุ่มคีมีเดียสเริ่มขบฟันอย่างเคร่งเครียด ดูเหมือนจะเสียกำลังรบไป1คนโดยที่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย

 แต่ขณะที่หันมาดูอาการของวาเนซซี่อีกครั้ง เธอค่อยๆโบกไม้โบกมือห้ามทุกคน "ทิ้งชั้นไว้ที่นี่เถอะ"

ก่อนที่มืออันบอบบางจะค่อยๆดึงกำไลวิญญาณในตำนานของเธออกจากข้อมือทั้งสองข้าง

 "ฝากนี่ด้วย ชั้นว่ามันคงจำเป็น อาจะเกิดอะไรขึ้นกับชั้นก็ได้" วาเนซซี่ฝืนยิ้ม ก่อนจะวางอาวุธของตนในมือมาช่าอย่างฝากฝัง

มาช่าที่เห็นลังเล ก่อนพยักหน้ารับคำแล้วเก็บมันเอาไว้อย่างดี บุคคลรอบข้างเธอค่อยๆลุกขึ้น มีเพียงสายตาเท่านั้นที่เป็นคำบอกลา

และฝากฝังให้เธอตามพวกเขามา อากาช่ากระตุกตามอง ก่อนจะเบิ่งโพลงตาออกมาด้วยความตกใจ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่วาเนซซี่จะทำคืออะไร

 "รีบไปสิ!!!" วาเนซซี่ออกแรงตะโกนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ทุกคนจะรีบปรามเธอ

 เพื่อนร่วมทีมทุกคนที่ได้ยินดังนั้น จึงรุดหน้าเดินทางต่อไปอย่างจำใจที่ต้องปล่อยให้เพื่อนร่วมทีมที่เป็นหญิงสาวบอบบางนอนอ้างว้างอยู่ตรงนั้น

อากาช่านิ่งอยู่เป็นคนสุดท้าย พยักหน้าเชิงถามความแน่ใจอีกครั้งแก่วาเนซซี่ เมื่ออีกฝ่ายพยักหน้าตอบเชิงว่าใช่ ก็คงจะห้ามไมได้อะไรเสีย

นอกจากจะรุดเดินหน้าตามพรรคพวกคนอื่นออกไป

 'พ้นแล้ว...' ความคิดที่อัดอั้นมานานแวบขึ้นในหัว

  ก่อนหน้านี้ที่เธอบังคับมังกรวิญญาณอยู่ นัยน์ตาของเธอเหลือบไปเห็นแท่นในจุดหนึ่ง ซึ่งในตอนนี้ก็คือจุดที่เธอนอนอยู่

เธอสังเกตสัญลักษณ์รูปข้าวหลามตัดสีม่วงล้อมรอบด้วยอักขระเวทย์ที่อยู่ตรงกลาง แล้วนึกถึงคำสอนของบรรพบุรุษเธอ

 'เมื่อเห็นสัญลักษณ์นี้ คือสัญลักษณ์แห่งการสังเวยของเหล่าความมืด มันจะสังเวยวิญญาณของผู้ที่นอนอยู่ ณ จุดนั้นเกิน5นาที

ผลตอบรับการสังเวย จะเป็นไปตามที่ปฏิกิริยาความคิดของคนที่อยู่รอบๆทั้งหมดแรงกล้า หากมันจะรับสนองเรื่องในระดับ

ที่มนุษย์ธรรมดาทำได้ มิใช่อิทธิปาฏิหาริย์ดั่งขอพรที่ดลใจได้ทันที'

 และที่วาเนซซี่นอนร่างของเธออยู่ ณ จุดนี้ ก็ได้ตัดสินใจเอาไว้แล้ว การประเมินของเธอไม่มีความผิดพลาดหากเธอได้เห็น

ร่างเงาของเอลซ่าที่ยืนอยู่อีกมุมหนึ่งโดยที่ไม่มีใครเห็น จากการสังเกตนางลงสัญลักษณ์ทุ่นระเบิดเวทยื ที่เหล่านักเวทย์รุ้จักดีไว้ตามจุดต่างๆ

หากพรรคพวกของเธอจะเดินไปตามทางต่อไป อาจได้มีพลาดพลั้งต่อระเบิดที่จะสูบพวกเขาเป็นแน่

 1นาทีสุดท้าย ณ จุดนั้น คำขอที่แรงกล้าที่สุดตกเป็นของวาเนซซี่ ที่ภาวนาและมันน่าจะเป็นไปได้และเป็นประโยชน์ที่สุดตอนนี้

คือ 'การทำให้ทุ่นระเบิดทั้งหมดดับการทำงานลง' เธอนึกขำเสียดายที่สถานการณ์แบบนี้คงทำได้แค่นี้เท่านั้น

ยิ่งขอไปมากกว่านี้พรของเธออาจสูญเปล่าฟรีๆ แน่นอนสิ่งที่ทำได้มากที่สุดก็น่าจะเป็นสิ่งนี้

 "ทุกคน...ฝากที่เหลือด้วยนะ... ชั้นคงมาได้แค่นี้จริงๆ..." หยาดน้ำใสๆค่อยหลั่งออกมาจากนัยน์ตาของเธอ

เมื่อหมดเรื่องคาใจหลังจากฝากฝังอาวุธในตำนานของเธอไว้แล้ว เธอจึงแน่วแน่และพร้อมรับมือกับการสังเวยแสนทรมานในช่วงสุดท้ายของชีวิต..

 ร่างกายที่นิ่งอยู่เริ่มตอบสนองปฏิกิริยา พิธีสังเวยอัตโนมัติเริ่มขึ้น แสงไฟสีม่วงพุ่งขึ้นรอบๆสัญลักษณ์ ก่อนที่มันจะคลอกร่างของเธอไปทีละส่วน

 เสียงกรีดร้องของนักเวทย์สาวแผดขึ้น ไฟแห่งความมืดค่อยๆกลืนกินร่างของเธอ ด้วยความเจ็บปวดทรมานดั่งตกเหวนรกทั้งเป็น

สติสัมปชัญญะสุดท้ายเหลือบไปเห็นทุ่นระเบิดด้านหน้าที่กำลังเรืองออร่ามากขึ้นเหมือนใกล้จะทำงาน บัดนี้มันดับลงตามคำภาวนาของเธอ

 ความเจ็บปวดทรมานของเธอสิ้นสุดลง เมื่อร่างของวาเนซซี่ค่อยๆมอดไปตามพิธีการสังเวย

เหลือเพียงแต่จิษอธิษฐานแรงกล้าที่เธอทิ้งไว้ ในฐานะนักรบผู้ทรงเกียรติแห่งมหาสงครามครั้งนี้...



บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
ป้าย:
หน้า: 1 ... 49 50 [51] 52 53 54