บทที่39 Before
หลังจากที่กลุ่มหมอกควันสีเทาทมิฬค่อยๆจางหายไป เหลือเพียงแต่ความโศกศเร้าที่มีต่อความสูญเสียของสมาชิกคนสำคัญไปอีก1คน
งานศพของวินเตอร์ถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย และรวดเร็ว หลังจากที่พิธีงานศพของเขาเสร็จแล้ว
อากาช่าผู้เป็นหัวหน้าของกองทัพได้เรียกประชุมใหญ่ครั้งสุดท้าย ที่ใจกลางของฐานทัพ โดยกางบาเรียตัดเสียงภายอนกเอาไว้เพื่อป้องกันฆ่าศึกไม่ให้ได้ยินแผนการเข้า
“ทุกคนฟังฉันให้ดี” อากาช่าเริ่มกล่าวเปิดบทสนทนา
“จากเหตุการณ์เมื่อกี้น่าจะให้ทุกคนได้เห็นว่า ฝ่ายฆ่าศึก น่าจะเตรียมพร้อมในการสคงรามครั้งใหญ่นี้แล้ว...”
“ดังนั้น เราไม่ควรเสียเวลาอยู่ในการเตรีนมตัว แล้วต้องถูกตอดไปเรื่อยๆ จนท้ายที่สุด เราก็จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ”
น้ำเสียงของเธอดูจริงจังและหนักแน่นขึ้นเมื่อกล่าวประโยคนี้
“เราต้องตัดไฟแต่ต้นลม!”
“ยังไงเหรอคะ?” สมาชิกหญิงคนหนึ่งยกมือขึ้นถาม
“เอาเป็นว่าจะอธิบายง่ายๆนะ ถึงฐานทัพที่เราต่อเตริมจะเสร็จสมบูรณ์70% แต่มันก็พอที่จะช่วยในการศึกครั้งนี้ได้มาก”
“ดังนั้น ลองิคดดูดีๆแล้ว ถ้าหากเราจะรอให้ฐานทัพเสริมสร้างโดยเสร็จสมบูรณ์ แต่ต้องแลกกับจำนวนกองกำลังคิดว่าอันไหนคุ้มกว่ากันล่ะ?”
ไม่มีเสียงตอบรับจากปากของบุคคลใดๆ...
เท่าที่อากาชช่าอ่านสีหน้าของแต่ละคน เธอน่าจะรู้เห็นได้ชัดว่า แต่ละคนแทบจะไม่มีกำลังใจเหลืออบู่แล้ว
“ถ้าหากจะมามัวหดหู่อยู่อย่างนี้...สิ่งที่เพื่อนร่วมกองกำลังทำไปโดยแลกับชีวิตมันจะมีความหมายอะไรล่ะ?”
“ไม่ว่าจะหนี หรือเชื่อฟังไปตามมัน ก็ไมได้ซึ่งสันติภาพมาอยู่ดี!”สิ้นเสียงของอากาช่า ทำให้ทุกคนนิ่งอึ้งคิดไปตามๆกัน
“ถ้าใครยังรักตัวกลัวตาย ไม่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับการต่อสู้อีก
ก็ขอให้ไสหัวออกไปจากกองกำลังแห่งนี้!!!”
“หรือถ้าใครไม่เห็นว่าชีวิตนี้มีความสำคัญแค่ไหนก็จงรู้ไว้ว่า…..
ทุกชีวิตมีความสำคัญ ตราบเท่าที่ยังไม่หมดลมหายใจ ก็จงพยายามทำเพื่อโลกใบนี้ให้ดีที่สุด!”
“เราต้องชนะ! เพื่อช่วยเหลือโลกใบนี้ ให้กลับมามีแสงสว่างดังเดิม ให้จงได้!”อากาช่าตะโกนประกาศสักขีพยานลั่นกึกก้องไปทั่วปฐพี ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องเรียกกำลังใจจากคนในฐานทัพที่ยังหลงเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง
แม้จะเป็นฐานทัพที่มีพละกำลังที่ไม่เยอะมาก แต่ก็สามารถฝ่าฝันอุปสรรคมาได้ถึงขั้นนี้ ต่อให้จะเจออุปสรรคหนักหนาอีกสักเพียงได้
ทุกคนก็คงจะเชื่อว่า ต้องฝ่าฟันมันไปได้อีกแน่นอน....
“แผนการที่ชั้นจะแจกแจงมีดังนี้นะ ฟังให้ดี...”
“กลุ่ม1 คือหน่วยนักรบ หรือต่อสู้ระยะประชิด ให้ทำการกระจายตัว จับคู่ระหว่างส่ายป้องกันกับสายโจมตี แล้วจัดการเป็นตัวๆ หากใครมีสกิลหมู่ ให้คู่ที่เป็นสายป้องกันดีเฟนซ์ฝ่าวงเข้าไปกลางวงศัตรูแล้วใช้สกิลเผด็จศึก จากนั้นรีบฝ่าวงออกมาตั้งหลักใหม่ ทั้งนี้ รูปแบบการต่อสู้ก็ต้องลื่นไหลไปตามสถานการณ์ด้วย”
“กลุ่ม2 คือหน่วยจอมเวทย์ หรือต่อสู้ระยะไกล ให้กระจายตัวอยู่ตามจุดต่างๆด้านหลังกลุ่ม1 และโจมีซัพพอร์ต หากเป็นสายเรนเจอร์ พยายามอยู่ที่สูงแล้วรุมโจมตีลงมาจากด้านบน ศัตรูจะป้องกันได้ยากขึ้น”
“กลุ่ม3 คือหน่วยซัพพอร์ต รักษา ให้หลบอยู่ตามจุดต่างๆ เพราะถ้าหากตั้งสถานพยาบาลโท่งๆศัตรูจะเห็นได้ง่าย พยายามให้สัญญาณว่าอยู่ที่ไหน เมื่อมีคนเจ็บจะได้ให้ไปปฐมพยาบาลที่นั้นๆ”
“และ....”
อากาช่าได้กล่าวแผนการรบไปเรื่อยๆ จนทุกคนเข้าใจเป็นอย่างดีแล้ว ก็แยกย้ายกลับไปเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ให้เรียบร้อย
......
“ท่านอากาช่า~!” เลโอน่าได้วิ่งเข้ามาในเต็นท์ของหัวหน้าของเธออย่างเหนื่อยหอบ พลางชูซองจดหมายสีดำฉบับหนึง่ขึ้นมา
“อะไรน่ะ?” อากาช่ายื่นมือไปหยิบซองจดหมายมาเปิดอ่านดู
“...2ยามถัดไป ข้าจะมาช่วงชิงวิญญาณของพวกเจ้า ที่นี่....” เธออ่านด้วยน้ำเสียงขึงขัง
“แสดงว่า...”
“ใช่แล้ว เลโอน่า พรุ่งนี้ พวกมันจะมาบุกที่นี่ ตอนกลางคืน ...” อากาช่าตอบด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“แต่ว่า ถ้าเราไม่บุกมันไป เราจะขาดโอกาสบุกตอนกาลางวันซึ่งเราได้เปรียบนะคะ!” เลโอน่าเริ่มแย้งขึ้นมา
“หึ ชั้นว่าไม่หรอก ให้มันมาที่นี่แหละ” อากาช่ากล่าวพลางใช้ช้อนคนกาแฟเนืองๆ
“ให้เป็นหนูติดกับ ซัก1ก้อน ก็ยังดี...” เธอกล่าวพร้อมหย่อนก้อนน้ำตาลลงไป1ก้อน
“อันน้ำตาลที่ดูเข้มแข็งเป็นก้อนสี่เหลี่ยมให้ดูเป็นของแข็ง ทนทานกว่าน้ำเหลวๆ ทว่าเมื่อเอาเข้าจริงๆ จะถูกน้ำละลายทิ้งเสีย”
“หมายความว่าไงคะ?” เลโอน่ายังไม่เข้าใจคำพูดที่ผู้อยู่เบื้องหน้าเธอกล่าวออกมาเมื่อกี้
“เอาเถอะ คอยรอดูละกัน...”
“น้ำตาลก้อนหนึ่ง ที่ชั้นมั่นใจว่าจะละลายมันทิ้งได้... กำลังจะมาแล้ว...หึหึหึ...” อากาช่ากล่าวพร้อมทิ้งท้ายประโยคด้วยเสียงหัวเราะอันน่ากลัว และ แอบแฝง...
"อ้อเลดอน่า ช่วยประกาศเรื่องนี้ให้ทุกคนทราบด้วยนะ"
"วางใจได้ลเยค่ะ" เลโอน่ารับคำ ก่อนที่จะเดินออกไป
อากาช่าที่อยู่ในเต๊นท์เพียงคนเดยีวชูเอกสารสถิติของกองกำลังขึ้นมาดูช้าๆ...
"ออกจากกองกำลังไป23คนรึ?"
"หึๆ..."
"น้ำ1แก้ว ที่สามารถซัดพาน้ำตาลให้สลายไปได้ ทว่ากลับแยกออกไปเป็นหยดน้ำให้น้ำตาลกลืนกิน..."
"ช่างโง่เขลาเสียจริงเจ้าพวกนี้ หึๆ...."
อากาช่ารำพึง พลางคนกาแฟด้วยช้อนไปเรื่อยๆ ดว้ยท่าทีอันน่ากลัว...
“เป็นอะไรไปน่ะเลิฟโลว์?” เฟริน่าค่อยๆเดินเข้ามาในเต็นท์ของพวกเธอ ซึ่งมีเลิฟโลว์นั่งเหม่อลอยอยู่
“...ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร...แต่ว่า....” น้ำใสๆที่เบ้าตาค่อยๆเอ่อล้นออกมา
“ชั้นไม่แน่ใจ...ว่าหลังสงครามคัร้งสุดท้ายนี้...พวกเราจะได้อยู่ด้วยกันอีกรึเปล่า...?” เธอหันมาพูดทั้งน้ำตา ด้วยน้ำเสียงที่ดูสั่นเครือ
เฟริน่าได้แต่นิ่งครุ่นคิด และหันออกมองไปที่ไพเรส...
‘นั่นสินะ...หลังจากนี้ จะได้อยู่ด้วยกันเหมือนเดิมอีกรึเปล่านะ....?’
บัดนี้ ทุกคนคงคิดได้แต่เพยีงภายในใจ ซึ่งก็คงไม่มีใครจะหยุดยั้งสงครามครั้งนี้ได้...
“มัวเศร้าอยู่ทำไมล่ะ?” วาเนวซี่กล่าวขึ้นท่ามกลางความเงียบในวงผู้ครอบครองอาวุธในตำนาน
“ดูนั่นสิ” เธอยื่นมือชี้ออกไปนอกเต๊นท์
"มัวชักช้าอยู่ได้ ไม่ได้ยินเหรอ พรุ่งนี้ ตอนกลางคืนก็จะเกิดสงครามแล้ว จะมานั่งเศร้าทำไม ไปๆๆๆไปจัดการอาวุธตัวเองเลย"
ผู้ที่ยังดูเป็นปกติสุขในเวลาเช่นีน้มีเพยีงคนเดียวคือ เอริน
เหล่าสมาชิกที่ถูกสั่งจึงรีบเดินหนีไปจัดการตามที่สั่งแต่โดยดี
"อะไรกันน่ะ สถานการณ์ยังงี้ใครจะนั่งซึมนั่งเครียดก็ไม่แปลกนี่นา" มาช่าที่นั่งดูอยู่กับวาเนซซี่ ถึงกับโพล่งขึ้นมาเบาๆ
"ชั้นว่าก็ดีออก"
"หมายความว่าไง? วาเนซซี่"
"ในเวลาแบบนี้ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมานั่งเศร้านะ~" วาเนซซี่หันมาพูดในขณะที่อยู่ในท่าเท้าค้าง
"ยิ่งพวกเราแล้ว ก็ยิ่งไม่ควรจะยังงั้น" วาเนซซี่ค่อยๆลุกขึ้นมาพลางชูข้อมือที่มีวงแหวนในตานสวมอยู่
"ทำไม?" แฟลชถามด้วยความสงสัย
"พวกเราเป็นผู้ครอบครองอาวุธในตำนานนะ"
“เรื่องนั้นก็รู้กันอยู่ละ” แฟลชกล่าวปัดรำคาญ
"รู้ใช่มั้ย อาวุธในตำนานมีไว้เพื่ออะไร" คราวนี้วาเนซซี่เป็นฝ่ายตั้งคำถามบ้าง
"เอ่อ... ใช้เป็นเครื่องมือ ประกอบให้ถึงสู่สันติภาพ.." เลิฟโลว์สุ่มๆตอบไปตามความคิดของตน
"ถูกต้อง..." เฟริน่าเริ่มสำทับ
"ไหนๆ ก็จะสงครามครั้งสุดท้ายแล้ว ก็ต้องทำให้มันเต็มที่หน่อย" วาเนซซี่กล่าวพลางยิ้มที่มุมปาก
"มาพยายามกันนะ" เธอเอื้อมมือไปประกบกับมือเรียวของเลิฟโลว์
“อย่าเศร้าไปเลย”
เลิฟโลว์พยักหน้าพลางปาดน้ำตาทิ้ง
"อื้ม เราจะร่วมมือกันกำจัดฝ่ายอธรรม เพื่อนำสันติภาพกลับมา ให้สมกับเป็นผู้ครอบครองอาวุธในตำนาน" เฟริน่ากล่าวความตั้งใจที่มีอยู่ขึ้น
“นั่นสินะ” ทุกคนรับคำด้วยความเชือ่มั่น
“ชั้นยังไงก็ได้ ขอให้ได้ขยี้พวกงี่เง่านั่นก็พอ...”
ณ หน้าหลุมศพอาเวเทียส
ชายหนุ่มผมสีทอง มัดไว้ที่หลังคอ ยาวถึงปลายหลัง สวมหมวกสีดำและถือช่อดอกไม้มานั่งใกล้ๆหลุมศพของผู่ที่หลับใหลอยู่ในนั้น
แม้จะเป็นแค่ซากก็ตาม...
“อาเวเทียส..” เขากล่าวขึ้นพลางวางช่อดอกไม้ไว้หน้าหลุมศพ
“อีกไม่นาน สงครามครั้งสุดท้าย ก็จะเริ่มขึ้นแล้ว...”
“ไม่อยากเชื่อเหมือนกันนะ ว่าคนที่เป็นตำนานจะเป็นชั้น...”
“นายคงจะตกใจไม่น้อยล่ะสินะ ชั้นเองก็เหมือนกัน ทว่า ด้วยพลังนี้ เขาว่ากันว่ามันนำมาซึ่งสันติภาพใช่มั้ย?...”
คีมีเดยีสค่อยๆเหลือบมองไปที่คันศรโลหิต อาวุธคู่กายชิ้นใหม่ของเขา...
“คอยดูให้ดีนะ...”
“สิง่ที่ทุกคนทำไป มันจะไม่สูญเปล่าแน่นอน...สันติภาพ ต้องได้กลับ...คืนมา...”
คีมีเดียสกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ พร้อมกับน้ำใสๆที่กำลังเอ่อขึ้นที่เบ้าตา
“ชั้นจะไม่ทำให้ทุกคนที่เชื่อมั่นในตัวชั้นต้องผิดหวัง....”
“เป็นกำลังให้ชั้นด้วย...” เขาเอ่ยทิ้งท้าย พร้อมวางหมวกสีดำไว้หน้าหลุมศพ ก่อนที่จะเดินกลับไป....
อีกในไม่ช้า มหาสงครามครั้งสุดท้าย ก็จะอุบัติขึ้นแล้ว...