บทที่34 เพื่อนใหม่
“คีมีเดียส เลิฟโลว์ เจสสิก้า! ” วาเนซซี่อุทานอย่างดีใจเมื่อได้เห็นเพื่อนร่วมทีมอีกครั้ง
“เรามาช่วยแล้ว…!” เจสสิก้าตะโกนเรียกวาเนซซี่
ในจังหวะที่เจ้ามอนเตอร์ชะงักนั้น หญิงสาวรีบกระหน่ำปากงจักรเข้าโจมตี แต่มัดปัดกงจักรออกได้ทุกนัด
“ฮ่าห์!!!!!” มันคำรามแล้วใช้มืออันใหญ่ยีกษ์ของมันกวาดไปรอบๆตัวอย่างบ้าคลั่ง
“ชิ...” หญิงสาวสบถพลางปากงจักรโจมตีต่อเนื่อง
“ฮ่าห์!” มันหันนิ้วชี้มาที่หญิงสาว ทำให้หล่อนขยับไม่ได้ “อะไรเนี่ย?” หล่อนอุทานด้วยความตกใจเมื่อร่างกายของตนไม่สามารถขยับได้อย่างที่ใจคิด
มันหันเป้าหายมาทางคีมีเดียสพร้อมจะฆ่าเขาได้ในชั่วพริบตา เจสสิก้ารีบบัฟให้คีมีเดียส และเลิฟโลว์ เตรียมต่อสู้กับมัน
ที่หัวของเจ้ามอนเตอร์ เนื้อเยื่อต่างๆค่อยๆรวมตัวกันเป็นหัวเต็มอีกครั้ง มันแยกเขี้ยวแล้วคำรามอีกรอบ
“หัวของข้ากลับมาแล้ว ทีนี้พวกเจ้าไม่รอดแน่!” เมื่อสิ้นเสียง เจ้ามอนเตอร์ใช้แขนกวาดเข้าที่คีมีเดียส เขารีบกระโดดหลบแล้วกระหน่ำยิงเข้าทีหั่วของมัน
“ไร้ประโยชน์!” มันปัดลูกธนูทั้งหมดออกกลับไปแทงคีมีเดียส “อ๊าก!!!!” เขาร้องลั่นอย่างเจ็บปวด เมื่อลูกธนูนับ10ดอกปักบนร่างของเขาจังๆ
เจ้ามอนเตอร์หันขวับ ใช้นิ้วชี้ที่เลิฟโลว์กับเจสสิก้า ทำให้ทั้ง2ขยับไม่ได้เหมือนหญิงสาว
“ได้เวลา ฆ่าแกแล้ว....หึๆ...” มันแสยะยิ้ม แล้วง้างมือขึ้นเตรียมทุบคีมีเดียสให้แหลกละเอียดคามือ แต่ในจังหวะนั้นมันเหลือบไปเห็นปานรูปโพดำที่ข้อมือของคีมีเดียส ทำให้มันชะงัก
‘ผู้กำจัดอาทรัม ในตำนานงั้นรึ.....’ มันสงบแล้วแล้วครุ่นคิด
“ข้าขอเปลี่ยนใจ ไม่อยากยุ่งกับพวกเจ้า....” ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนี้ต่างอึ้งด้วยความงุนงงตามๆกัน
มันไม่ได้พูดอะไร ก่อนที่จะหันหลังแล้วเดินกลับเข้าไปในป่าลึก....
‘ที่ข้าให้เจ้าอยู่รอด เพราะข้าไม่อยากให้โลกใบนี้ต้องเสื่อมสลายเพราะพวกอาทรัมนั่น....’
ที่ถ้ำแห่งหนึ่ง....
“โอ๊ย! เบาๆหน่อยสิ” คีมีเดียสสะดุ้งเพราะการทำแผลของเจสสิก้าที่ต้นแขน
“เป็นผู้ชาย แค่นี้ทำเป็นเจ็บ” เจสสิก้าบ่นอย่างหงุดหงิดพลางพันแผลให้คีมีเดียส
“ว่าแต่ พวกเธอไปอยู่ที่ไหนมา ถึงคลาดกับกลุ่มนานขนาดนี้” วาเนซซี่ถามด้วยความสงสัย
“ช่างเถอะ มันอธิบายยาก” เจสสิก้ารีบตัดบท พร้อมใส่ยาที่แผลอีกจุดของคีมีเดียส
เลิฟโลว์ที่นั่งอยู่ในวงกลุ่ม เหลือบหันไปดูหญิงสาวที่นั่งอยู่ที่ปากถ้ำคนเดียวเงียบๆ แววตาเหม่อลอยอย่างเห็นได้ชัด
เธอลุกขึ้นแล้วเดินไปสะกิดหญิงสาว หญิงสาวตอบรับแล้วหันไปเหม่อลอยเหมือนเดิม
“เอ่อ... คุณชื่ออะไรเหรอ?” เลิฟโลว์เริ่มถามหญิงสาว
“ฉันชื่อ....
วีนัส....” เธอตอบด้วยน้ำเสียงเรียบง่าย
“อืม ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ ชั้นเลิฟโลว์นะ” หล่อนยิ้มแฉ่งพร้อมยื่นมือไปด้านหน้าวีนัส
วีนัสหันมามองเลิฟโลว์ ด้วยสายตาที่มีแววมากขึ้น แล้วจับมือกับเลิฟโลว์
ทั้ง2เริ่มพูดคุยกันใต้แสงจันทร์ เพื่อทำความเป็นเพื่อน โดยจะมีเลิฟโลว์เป็นฝ่ายพูดและวีนัสเป็นฝ่ายฟังอย่างเงียบๆมากกว่า
“พระจันทร์วันนี้เต็มดวง สวยจังนะ” เลิฟโลว์ชี้ขึ้นไปบนดวงจันทร์ ที่ส่องประกายอยู่บนฟ้ายามราตรี
“อืม...” วีนัสตอบรับเสียงสั้นๆ
“ชั้นอยากเป็นอย่างดวงจันทร์นั่นมั่งจัง” เลิฟโลว์กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนก่อนที่จะนั่งกอดเข่า
“ทำไมรึ?”
“ก็ ดวงจันทร์มันช่วยสิ่งแสงสว่างนวลแทนดวงอาทิตย์ ในยามกลางคืน กลางคืนก็เหมือนสงคราม ดวงจันทร์ในที่นี้มันเหมือนกับช่วยทำประโยชน์ให้กับผู้คนมากมาย ในยามสงครามน่ะ.....” เลิฟโลว์ตอบเป็นความหมายอย่างลึกซึ้ง
“บางทีที่ชั้นพูดเธออาจจะงงๆอยู่ก็ขอโทษด้วยนะ” เลิฟโลว์ยิ้มให้วีนัสอย่างอ่อนโยน
“ม...ไม่หรอก...” วีนัสส่ายหน้า
“ในช่วงสงครามนี้ ชั้นอยากทำอะไรซักอย่าง... ที่เป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ ก่อนที่จะตายตามพ่อแม่ไปน่ะ....” เลิฟโลว์กล่าวเชิงเศร้า
“เจ้าก็ทำให้มันเป็นจริงสิ....” วีนัสค่อยๆเอื้อมมือมาประกบกับมือเลิฟโลว์อย่างนิ่มนวล
“ในสนามรบครั้งใหญ่ ขอให้เจ้าทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ให้สุดความสามารถและพละกำลังที่เจ้ามีอยู่... ข้าจะเป็นกำลังใจให้เจ้า....” วีนัสพูดให้กำลังใจพร้อมยิ้มให้เลิฟโลว์
“จ้ะ” เลิฟรับคำ ทั้งสองนั่งดูดวงจันทร์ที่ฉายแสงยามค่ำคืนดว้ยกันอย่างมีความสุข....
--------------ด้านกองทัพต่อต้านลัทธิเอลซ่า----------------
กีเซอร์ค่อยๆเดินเข้ามาในเต็นท์อากาช่า แล้วนั่งลงที่หน้าโจ๊ะทำงานอากาช่า
“ตามสบายนะ” อากาช่าพูดอย่างเป็นมิตรพร้อมยื่นกาแฟให้ถ้วยหนึ่ง
กีเซอร์รับแก้วกาแฟไปจิบหนึ่งอึก แล้ววางไว้บนโต๊ะข้างตัว
“ที่เรียกข้ามา มีอะไรรึท่านอากาช่า....” กีเซอร์เริ่มถามขึ้น
อากาช่าถอนหายใจเบาๆ “เรื่องที่ชั้นจะบอกนาย มันก็ยาวอยู่ เท่าที่ชั้นนับวันการไปเก็บแร่ธีดอม ทั่ช้นสั่งำว้ เท่าที่ดูเวลาอย่างช้าแล้ว ก็ประมาน3วัน แต่นี่5วันปาเข้าไปแล้ว พวกนั้นยังไม่กลับมาเลย ชั้นว่ามันชักจะน่าเป็นห่วงแล่วนะ จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้” อากาช่ากล่าวด้วยน้ำเสียงตึงเครียด
“แล้วที่เรียกนายมา ชั้นกะว่าจะส่งนายไปช่วยพวกนั้นสักหน่อย เพราะเท่าที่ชั้นคาดการณ์ พวกนั้นต้องติดอยู่บนอาณาจักรสวรรค์แน่ๆ....”
“แต่ว่า เจ้ามอนเตอร์บนอาณาจักรสวรรค์ พวกนี้มันโหดมาก ถึงกับฆ่าท่านได้ภายในพริบตาเลยนะ ถ้าไม่ใช่พวกระดับต่ำๆน่ะ....ถึงจะสั่งคนไปเป็นกองทัพ ก็” กีเซอร์เริ่มคัดค้านด้วยน้ำเสียงร้อนรน ทั้งๆที่เขาก็เริ่มเป็นห่วงพวกเพื่อนเหมือนกัน แต่สงครามครั้งใหญ่ จะมาถึงในเร็วๆนี้ ถ้าไปตายที่นั่น ในสงครามครั้งใหญ่อาจจะไม่ได้ร่วมรบกอบกู้อิสรภาพด้วยแน่ๆ
“ชั้นเข้าใจ ที่นายคิด..... แต่ว่าที่ชั้นให้นายไป ไม่ใช่จะให้ไปทิ้งชีวิตหรอกนะ... แต่ชั้นจะให้ไปช่วยจัดการพวกศัตรูนี้มากกว่า เพราะลำพังสองสาวสายนักรบ เท่านั้นคงจะไม่พอที่จะต่อกรณ์กับพวกนี้อย่างได้เปรียบเป็นแน่...” อากาช่าค่อยๆเอาเอกสารกองหนึ่งออกมาตั้งบนโต๊ะ
“พวกศัตรู?” กีเซอร์หยิบใบเอกสารออกมาจากกองสัก2-3ใบ แล้วอ่านรายละเอียด
-----------------เช้าวันใหม่ เวลา 7.00น. ณ กลุ่มพวกที่วิ่งหนี---------------
“อื้อ.....หลับสบายจัง~” มาช่าลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ จากกองหญ้า แล้วไปตักน้ำในบ่อข้างๆที่นอน
*บริเวณที่พวกเขาหลับนอนเมื่อคืน คือบริเวณในป่า ซึ่งมีบ่อน้ำอยู่1บ่อ ส่วนข้างๆเป็นป่าล้อมรอบ
“เอ้อ ว่าแต่ทุกคนตื่นแล้ว แต่ยัยเฟริน่ายังไม่ตื่นเลย ไปปลุกหล่อนทีซิ” แฟลชชี้ไปที่ร่างเฟริน่า ที่กำลังหลับอุตุอยู่
ไพเรสอาสาไปปลุกเฟริน่าเอง “คุณเฟริน่าตื่นได้แล้วครับ...” ไพเรสเขย่าตัวเฟริน่า
เฟริน่าลุกขึ้นมาอย่างงัวเงีย ก่อนที่จะเดินไปล้างหน้า
ไพเรสคิดหวังจะชวนเฟริน่าไปหาของกิน จึงเริ่มออกปากโน้มน้าวเฟริน่าด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม“คุณเฟริน่า อากาศดีๆยามเช้าแบบนี้ เหมาะกับการ.....”
“ไปนอนต่อ” เฟริน่าพูดตัดบท แล้วกลับไปนอนทันที
ทุกคนทำหน้าตายพร้อมกัน พลางส่งซิกกันว่า ‘ปล่อยให้ยัยนี่นอนไปเหอะ=[]=’
ส่วนไพเรสถึงกับกินแห้ว....................
“ใครอาสาไปหาของกิน” มาช่าเอ่ยปากขึ้น ทุกคนส่ายหน้าพร้อมกัน
“ไปทิ้งชีวิตรึไง....” แฟลชปฏิเสธคนแรก
เมื่อหันกลับไปอีกที ไม่เห็นร่างเฟริน่าอยู่ที่เดิมแล้ว.....
“ถ้าเฟริน่าไม่ได้อยู่ตรงนี้ แล้ว....” ทุกคนหันไปดูที่ เห็นเฟริน่าคว้าปืนในตำนานของตัวเอง แล้วเดินเซๆเข้าไปในป่า
“ละเมอชัวร์” มาช่าทำหน้าตาย
“ว่าแต่ ละเมอออกไปอย่างนั้นจะเป็นไงมั่งน้า~” แฟลชพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอารมณ์ดี
จากน้ำเสียงอารมณ์ดีของแฟลช ทำให้ทุกคนคาดการณ์ได้พร้อมกันว่า ‘ต้องเกิดเรื่องอันตรายขึ้นแน่ๆ’ ทั้งหมดจึงรีบวิ่งตามเฟริน่าไป ส่วนแฟลชนั่งยิ้มอย่างชั่วร้ายอยู่คนเดียว
“เฟริน่า! หยุดก่อน! อย่าเดินไปคนเดียวน้า~!!!!” มาช่าวิ่งพลางตะโกนเรียก
“คุณเฟริน่า หยุดก่อน~!” ไพเรสพยายามวิ่งไล่ตามเฟริน่า แต่ความสามารถละเมอของหล่อน ทำให้เดินเร็วขึ้น2เท่า
โฮกกกกกกกก!!!!! กรี๊ดดดดดดดด!!!!! ปังๆๆ!!!!เสียงคำราม เสียงปืน และกรีดร้องดังขึ้นพร้อมๆกัน
“แย่แล้ว!!! เฟริน่า~!” ทุกคนร้อนรนด้วยความตกใจ เพราะนึกว่าเฟริน่าจะโดนมอนเตอร์จำพวกหมีป่าทำร้าย
แต่ภาพที่เห็นอยู่ข้างหน้า ทำให้ทุกคนอึ้งไปตามๆกัน
“~เย้~ช้านยิงโดนหัวใจนายแย้ว~แอ้ก” เฟริน่าละเมอพูดพร้อมแกว่งปืนไปมาแล้วล้มลงไปนอนหลับกับพื้น
“เอ่อ....ดูเหมือนจะฝันน่ะครับ” ไพเรสเกาหัวแกรกๆ ก่อนที่จะอุ้มเฟริน่าที่หลับอยู่ขึ้นขี่หลังตนเอง
“อย่างน้อยเราก็ได้อาหารเช้าแล้ว....” มาช่าเดินเข้าไปใกล้ศพหมี ที่เฟริน่ายิงมันตาย ก่อนที่จะใช้ดาบใหญ่ ตวัดเนื้อหมีเป็นชิ้นๆ แล้วถือกลับบริเวณที่อาศัยชั่วคราว....