GAMEINDY: Asura Online
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35 ... 37
ผู้เขียน หัวข้อ: Fan Fictionอสุรา" นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร"บทที่36บทสรุป/บทส่งท้าย (22/11/52)  (อ่าน 16052 ครั้ง)
อาริงกิ๊งกิ๊ง
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 7,353


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #480 เมื่อ: 16-11-2009, 09:32:23 »

บทที่ 32. เปิดฉากสงครามเซาเทรินไซร์

เวลาผ่านไป2วัน ตอนนี้เวลา 6.00 กองทัพของแต่ละเมืองที่จะบุกก็ ค่อยๆทะยอยตั้งแถวและแยกย้ายไปตามจุดที่แต่ละกลุ่มต้องทำหน้าที่ แต่เป้นเมืองเซาเทรินไซร์ที่เริ่มโจมตีก่อนเวลาที่กำหนด โดยมีเสียงปืนใหญ่จากเรือรบโจรสลัดระดมยิงไปที่ตลาดน้ำและในเมืองเซาเทรินไซร์

อาริง : "เกิดอะไรขึ้น ทำไมเรือโจรสลัดถึงลงมือก่อนเวลา หรือว่าเรือโจรสลัดโดนโจมตีแล้ว งั้นพวกเราเตรียมตัวบุกเลยและทำตามแผนของแต่ละกลุ่มให้ดี"(อาริงเดินออกมาจากเต้นท์ และเห้นหมู่บ้านเซาเทรินไซร์โดนปืนใหญ่จากเรือโจรสลัดยิงอยู่และอาริงสั่งบุก)
10 นาทีต่อมา กองทัพของพวกอาริงก็ลุกคืบหน้าอย่างไวอีก200เมตรจะถึงกำแพงเมืองเซาเทรินไซร์ และอาริงก็เห้นราชินีป่าไม้บินมาหาอาริง
ราชินีป่าไม้ : "กองเรือโจรสลัดและกองเรือของอณาจักรเมทัลลิกาน่า ถูกมอนสเตอร์กุลโจมตีอยู่ พวกกุลมันแอบดำน้ำมาและแอบปีนขึ้นไปบนเรือ ดีที่พวกโจรสลัดรู้ตัวทัน เลยจัดการพวกกุลที่แอบขึ้นเรือมาและลูกเรือโจรสลัดก็จัดการฟันกุลตายบนเรือไปก็เยอะ และเรือโจรสลัดก็ระดมยิงพวกกุลที่กำลังดำน้ำจะขึ้นเรือมาอีกหลายระลอก"(ราชินีป่าไม้รายงานที่ตนเองได้เห้นมา)

อาริง : "แล้วมอนสเตอร์ในเมืองละมีอะไรบ้าง"(อาริงถามเพื่อจะได้รู้แนวทางการรบ)
ราชินีป่าไม้ : " ไม่มีมอนสเตอร์สักตัว จะมีก็แค่พวกกุลที่อยู่ตรงตลาดน้ำไม่กี่ร้อยตัวและกำลังโจมตีเรือโจรสลัดอยู่"
อาริง : "ทำไมเป้นแบบนั้นละ ทำไมไม่มีมอนสเตอร์เฝ้ารักษาแท่นเสาหินเลยละ"(อาริงก็งง)
ราชินีป่าไม้ : "แท่นเสาหินสีดำก็ไม่มีแล้ว "(ราชินีป่าไม้บอกแบบนี้ยิ่งทำให้อาริงงงเข้าไปใหญ่ ว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น)
อาริง : " งั้นให้บุกเข้าเมืองเลย แต่แบ่งกำลังของแต่ละกลุ่มไว้อย่างละครึ่ง ให้บุกเข้าเมืองครึ่งนึงและอีกครึ่งให้เตรียมพร้อมรบอยู่นอกเมือง เพราะนี่อาจจะเป็นกับดักก็ได้"(อาริงบอกราชินีป่าไม้แบบนี้ และต่างคนก็ต่างแยกกันไปจัดคนที่จะเข้าไปในเมืองและอยู่นอกเมืองอย่างละครึ่ง)

ราชินีป่าไม้พาพวกเอลฟ์ประมาณ 200คน เข้าไปในเมืองทางด้านตลาดน้ำ และสั่งให้เหล่าเอลฟ์ยิงธนูใส่พวกกุล แต่พวกกุลก็มีความไวพอสมควรจึงมีกุลหลายสิบตัวที่หลบลูกธนูของพวกเอลฟ์มาได้ และพุ่งเข้าใส่พวกเอลฟ์ แต่พวกกุลที่พุ่งเข้าใส่เอลฟ์ก็ถูกภูติพฤกษา 30ตน ใช้เถาวัลย์มัดจับไว้ เลยเป้นเป้านิ่งให้กับเหล่าเอลฟ์ยิง แต่ก็มีประมาณ10-20 ตัวที่เล็ดรอดมาจึงถึงตัวเอลฟ์ได้และพวกกุลก็เน้นพุ่งกัดคอของพวกเอลฟ์ตายไปเกือบ 10คน พวกนักรบประชิตตัวที่ตามหลังพวกเอลฟ์มา เลยรีบออกไปเป็นกองหน้าโจมตีพวกกุลให้ และให้พวกเอลฟ์ยิงธนูสนับสนุนช่วยนักรบอีกแรง ส่วนพลปืนใหญ่กอบบลิน 2กระบอก ก็เน้นยิงพวกกุลที่อยู่เป้นกลุ่มใหญ่ๆ และยิงโดนไปหลายทีเหมือนกัน

อาริงพาเอลฟ์ 150 คนกับเหล่านักรบ 150คน และพลปืนใหญ่กอบบลิน20คนพร้อมปืนใหญ่ 3กระบอก บุกเข้ามาทางประตูหน้าเมืองเซาเทรินไซร์และพาเข้ามาในเมือง อาริงก็สั่งให้ทุกคนกระจายกำลังรอบเมือง เพื่อตรวจสอบดูว่าเกิดอะไรขึ้น และอาริงก็เดินไปยังลานกว้างในหมู่บ้าน ที่อาริงคาดว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ตรงจุดนี้น่าจะเป้นที่ตั้งของแท่นเสาสีดำ แต่ตอนนี้ไม่มีแท่นเสาสีดำแล้วแต่มีร่องรอยเหลืออยู่ และพวกเอลฟ์และนักรบหลายคนวิ่งกลับมาบอกอาริงว่าไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นเลยนอกจากพวกตน อาริงก็ยิ่งคิดหนักไปใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น อาริงเลยสั่งให้คนที่เข้าเมืองมาแล้วบางส่วนไปช่วยกันโจมตีกุลที่ตลาดน้ำ และอาริงก็กำลังจะเดินไปนอกเมืองเพื่อจะสั่งการให้พวกที่อยู่นอกเมืองเข้ามาในเมืองได้ แต่อยู่ๆในเมืองก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้น และอยู่ๆแผ่นดินก็ยุบตัวลงไปหลายสิบจุด และสิ่งที่โผล่มาจากใต้ดินคือเหล่า "ผู้พิทักษ์แห่งอาทรัมหรือเรียกว่าโกเลมแห่งความมึด" และมีกุลอีกหลายร้อยตัวคลานออกมาจากหลุมด้วย พวกนี้ทั้งหมดเป็นลูกน้องของ "เจ้าแห่งการล่มสลายคอรัปเซอร์"


อาริง : "เสียท่าแล้ว พวกมันวางกับดักไว้จริงๆ"(อาริงตกใจที่ตัวเองตกหลุมพรางกับดักแบบนี้ เพราะไม่คิดว่ามอนสเตอร์พวกนี้จะคิดแผนแบบนี้ได้ แสดงว่าต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลังอีกที)
อาริง : " พวกเราจับกลุ่มกันไว้ อย่าพยายามอยู่คนเดียว" (อาริงตะโกนบอกเหล่าเอลฟ์และนักรบ)

และเมื่ออาริงสั่งการเสร็จก็ได้ยินเสียงคนร้องหลายสิบคนมาจากทางนอกเมือง อาริงหันไปดุพวกนักรบที่อยู่นอกเมืองกำลังโดนกองทัพกุลที่โผล่มาจากแม่น้ำด้านข้างของเมือง อาริงกำลังจะวิ่งออกไปสั่งการ แต่ตอนนี้หน้าประตูเมืองมีโกเลมแห่งความมึดหลายสิบตัวกำลังมายืนปิดทางเข้าออกเมืองอยู่ อาริงกับนักรบในเมือง จึงถูกตัดขาดกับพวกนักรบนอกเมืองอย่างสิ้นเชิง และตอนนี้ในเมืองพวกโกเลมแห่งความมึดและกุลก็โจมตีพวกเอลฟ์และนักรบประชิดอยู่ ส่วนพลปืนใหญ่กอบบลินก็รีบช่วยกันยิงใส่โกเลมแห่งความมึด โดยมีอาริงและนักรบประชิด 3กลุ่ม กลุ่มละ 15คนช่วยกันป้องกันไม่ให้พวกโกเลมแห่งความมึดมาถึงปืนใหญ่ได้ เพราะโกเลมแห่งความมึดเป้นมอนสเตอร์ที่แข็งมากเพราะเป้นหินหนาทั้งตัว จึงมีแค่เบรดดาบใหญ่ เบอร์เซอร์เกอร์ขวานใหญ่ ซึ่งมีไม่กี่สิบคน และปืนใหญ่ของพวกกอบบลินเท่านั้นที่พอจะจัดการอยู่ และพวกเอลฟ์ก็พยายามยิงพวกกุลให้ได้มากที่สุด แต่ด้วยพวกกุลเป้นพวกที่ไวมาก เอลฟ์และนักรบหลายคนก็โดนมันกัดหน้าและคอตายไปหลายคนเหมือนกัน

ตอนนี้พวกของอาริงที่อยู่ในลานกว้างในเมืองเซาเทรินไซร์กำลังตกที่นั่งลำบาก เพราะโดนโจมตีอย่างหนักทั้งโกเลมแห่งความมึดและพวกกุล เอลฟ์และนักรบก็ค่อยๆทะยอยล้มตายไปทีละคนสองคนเพราะจำนวนคนน้อยกว่าศัตรูมากนัก แต่ยังดีที่พวกเอลฟ์ นักรบและกอบบลินที่ทางด้านตลาดทะยอยกันมาช่วยโจมตีทางกลางเมือง เลยยังพอเฉลี่ยๆไปสู้กันได้บ้างไม่ถึงกับเสียทีซะทีเดียว
 
อาริง : "ทางด้านตลาดน้ำติดกับทะเล จัดการพวกกุลหมดแล้วหรือ "
ทหารเอลฟ์ : "หมดแล้ว ตอนนี้ราชินีป่าไม้ก็บินออกไปบัญชาการรบให้กับกลุ่มนักรบอีกครึ่งที่อยู่นอกเมืองนะ"
อาริง : "โชคดีจังที่ราชินีป่าไม้ไหวตัวทันออกไปช่วยกองกำลังข้างนอก"(อาริงรู้สึกหมดห่วงไปเปาะนึง)

ตอนนี้อาริงเริ่มที่จะคุมสถานการณ์ในเมืองเซาเทรินไซร์ได้แล้ว เพราะได้กองกำลังจากทางด้านตลาดน้ำ และเรือโจรสลัดก็มาจอดเทียบท่าแล้วประมาณ 5ลำ และกัปตันแจ็ค ดี สปอยเรอร์ก็สั่งให้ลูกน้องประมาณ150คน ที่เป็นโจรสลัดชาวนัลและโจรสลัดมีดบินชาวนัลจากเรือทั้ง 5ลำที่มาจอดแล้วลงไปช่วยพวกอาริงในตัวเมือง ฝีมือการปามีดของโจรสลัดมีดบินชาวนัลถือว่าแม่นมาก พวกกุลที่โดนมีดบินก็ตายกันไปหลายสิบตัว แต่พวกโกเลมแห่งความมึด ยังเหลืออีกเกือบร้อยตัว ต้องอาศัยปืนใหญ่จากพวกกอบบลิน และปืนใหญ่จากบนเรือโจรสลัดช่วยยิงอีกแรง ถึงจะเอาพวกโกเลมแห่งความมืดอยู่


30 นาทีต่อมาพวกอาริงและนักรบที่อยู่ในเมืองก็สามารถจัดการมอนสเตอร์โกเลมแห่งความมึดและกุลได้หมด แต่อาริงก็เสียเอลฟ์และนักรบไปเกือบ 200คน จากเอลฟ์และนักรบที่บุกมามากกว่า500คน ถึงว่าเสียหายพอสมควรจากการติดกับดักนี้ ยังดีที่พวกโจรสลัดมาช่วยอีกแรงทำให้ไม่ต้องสูญเสียมากกว่านี้ และอาริงกับพวกนักรบที่เหลือกำลังจะวิ่งออกไปนอกเมืองเพื่อจะไปร่วมรบกับพวกนักรบนอกเมืองที่โดนกุลโจมตีอีกทาง อยู่ๆก็มีเสียงหัวเราะที่เย็นยะเยือกดังมาจากข้างหลังพวกอาริง ทำให้อาริงหยุดและหันไปทางต้นเสียงนั้น จึงเห็นชายในชุดคลุมสีน้ำเงินยืนอยู่บนหลังคาสำนักงานบ้านไก่จ๊วบ อาริงจึงสั่งให้พวกนักรบส่วนมากออกไปช่วยพวกนักรบข้างนอกก่อนเพราะสำคัญกว่า ในเมืองตอนนี้เลยมีอาริงกับนักรบประมาณ50คน กับโจรสลัดชาวนัลและโจรสลัดมีดบินชาวนัล อย่างละ30คนที่ลงงจากเรือมาช่วยตอนแรก และตอนนี้มีเรือโจรสลัดและเรือของอณาจันเมทันลิกาน่ามาจอดอีกอย่างละ 5ลำและพวกโจรสลัดชาวนัลและโจรสลัดมีดบินชาวนัล150คนและนักรบพาราดินของอณาจักรเมทัลลิกาน่า 200คน ก็ลงจากเรือและวิ่งเข้ามาในเมืองเพื่อสมทบกับกองกำลังของอาริงที่เหลืออยู่ในเมือง

ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "สวัสดียัยหนูอาริง ไม่น่าเชื่อนะว่าขนาดเป็นเจ้ายังติดกับดักของข้าได้ง่ายดายแบบนี้ ฮ่าๆๆ"
อาริง : "ว่าแล้ว ว่าพวกมอนสเตอร์พวกนีต้องมีคนชักใยอยู่เบื้องหลัง ไม่งั้นพวกมันคงไม่คิดแผนแบบนี้ได้หรอก"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "อย่าว่าแต่กับดักนี้เลย ที่เมืองอื่นๆที่พวกเจ้ากำลังจะบุก ข้าก็สอนวิธีการรบและสอนวิธีวางกับดักให้กับพวกมอนสเตอร์ไว้หมดแล้ว "
อาริง : "ชิ..เจ้ารู้แผนพวกเราทุกอย่างเลยนะ แสดงว่าเจ้าก็คงแอบมีไส้ศึกปนอยู่ในพวกเราสินะ"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ถูกต้องสมกับเป้นเธอจริงๆ ฮ่าๆๆ งั้นฉันจะตั้งคำถามให้ละกันนะ ถ้าเป้นเธอจะตอบถูกไหม ถ้าตอบถูกจะมีรางวัลให้ และตอบผิดก็มีรางวัลให้เหมือนกัน"
อาริง : " รู้สึกว่าเจ้าจะสนุกกับสงครามเหล่านี้เหลือเกินนะ เจ้าคงมีเป้าหมายต่างจากคนอื่นๆละสิ"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : " เจ้านี่ช่างรู้ใจข้าจริงๆ สมกับเป้นลูกของ2คนนั้นจริงๆ หึๆๆ"
อาริง : " แกรู้จักพ่อกับแม่ของฉันด้วยหรือ "(อาริงตกใจและร้อนรนมากกับคำพูดของชายในชุดคลุมน้ำเงิน)
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ไว้เจ้าตอบของข้าถูกสักข้อแล้วข้าจะบอกละกันนะ  ข้อแรก ทำไมอณาจักรนี้จึงเกิดสงครามครั้งนี้ขึ้น"
อาริง : "เพราะพวกแกอยากได้อำนาจมาครอบครองอณาจักรนี้ยังไงละ"(อาริงตอบโดยใช้อารมโมโหตอบ)
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ยังไม่ถูกซะทั้งหมดทีเดียว ข้าก็แค่คิดว่าสังคมของอณาจักรตอนนี้มันเน่าเฟะ พวกข้าก็แค่อยากจะลบล้างและสร้างใหม่ให้เป็นอณาจักรในความคิดของพวกข้า"


อาริง : "แค่นี้ พวกเจ้าถึงกับทำขนาดนี้เลยหรือ"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ใช่แล้วละ ประกี้ถือว่าเจ้าตอบไม่ถูกนะ เพราะตอบไม่ถูก100% งั้น ข้อ 2 เจ้ารู้ไหมทำไมแท่นหินสีดำในเมืองนี้ถึงหายไป"
อาริง : " ตอนนี้ฉันคิดได้อย่างเดียว คงเป็นเพราะพวกข้าทำลายไปแล้วถึง 2เสา พวกแกเลยคิดจะเอาเสาที่เหลือไปรวมกันไว้ที่เดียวละสิ จะได้มีพลังมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ตอนนี้"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : " ถูกต้องนะครับ พวกข้าย้ายเสาของเมืองเซาเทรินไซร์และเมืองวิลเดอวู้ดไปรวมไว้ที่เมืองเซาเทรินฟอร์ทหมดแล้วละ แต่เจ้านี่เก่งจริงๆ เก่งๆแบบนี้มาอยู่ฝ่ายข้าไหมละ จะได้ช่วยงานพวกข้าได้มากทีเดียว ฮ่าๆๆ"(ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินปรมมือให้กับอาริงที่ตอบถูกอย่างง่ายดาย)
อาริง : " งั้นตอนนี้ที่เมืองเซาเทรินฟอร์ท คงลำบากที่สุดละสิเนี่ย"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ก็คงอย่างนั้น ในเมื่อเจ้าตอบถูกข้าก็คงให้รางวัลที่เจ้าตอบถูกสักหน่อยแล้วละ ข้าเป้นเพื่อนของ"อาลิเซียกับริงรอนแม่ชาวมนุษย์กับพ่อชาวอสุราของเจ้านั้นละ"(อาริงตกใจอย่างมากเพราะชื่อที่ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินพูดนั้น เป้นชื่อของพ่อแม่ของอาริงจริงๆ)
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "งั้นฉันจะบอกให้ละกันว่าฉันเป็นใคร และใครเป็นไส้ศึกคอยส่งข่าวในครั้งนี้ให้กับข้าเพราะตอนนี้แผนข้าสำเร็จแล้วคงไม่ต้องใช้ประโยชน์กับนังนี่อีก"(ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน โยนร่างของผู้หญิงคนหนึ่งลงมาที่พื้นตรงหน้าอาริง ผู้หญิงคนนั้นคือเลขาไก่จ๊วบนั้นเอง)
อาริง : "หรือว่าเจ้าเป้นท่านไก่จ๊วบ ชายผู้ไม่มีใครเคยเห้นตัวตน"
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ถูกต้องแล้ว ข้าเบื่อหน่ายกับอณาจักรนี้ ข้าเลยอยากจะเปลี่ยนแปลง..... "(ยังไม่ทันที่ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินจะพูดจบ อาริงก็กระโดดจะมาฟันชายในชุดคลุมน้ำเงิน แต่อยู่ๆก็มีคลื่นพลังบางอย่างมาจากด้านหลังของชายในชุดคลุมสีน้ำเงินพุ่งมากระแทกอาริงอย่างแรงจนอาริงกระเด็นตกลงจนกระแทกกับกำแพงเมืองอย่างแรง อาริงถึงกับกระอักเลือดทางปาก เครลิค2คนเลยเข้าไปช่วยรักษาอาริงอย่างไว)

ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : " ลืมบอกไปว่า นี่เป้นของรางวัลสำหรับที่ตอบผิด "(ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินพูดและสั่งให้มอนสเตอร์ตัวนี้ลงไปข้างล่าง มอนสเตอร์ตัวนี้ใหญ่พอๆกับเคออสติค มันคือ "คอรัปเซอร์ เจ้าแห่งการล่มสลาย"ที่เป้นหัวหน้าของพวกโกเลมแห่งความมึดและพวกกุลนั่นเอง และพอคอรัปเซอร์ลงมาถึงพื้นก็อ้าปากกว้างและคำรามปล่อยเป้นคลื่นกระแทกออกมาจากทางปาก และพวกนักรบหลายสิบคนที่โดนคลื่นกระแทกนี้ก็กระเด็นไปโดนกำแพงกันหมดบ้างก็ตายบ้างก็บาดเจ็บสาหัส)
ชายในชุดคลุมสีน้ำเงิน : "ข้าไปก่อนนะ พอดีข้าต้องไปทำธุระที่เมืองเซาเทรินฟอร์ทต่อ แต่อาจจะแวะเยี่ยมเยียนทำลายกองทัพของพวกเจ้าที่วิลเดอวู้ดด้วยก็ได้ แล้วแต่อารมณ์ เล่นกับเจ้าคอรัปเซอร์ให้สนุกนะ บ๊ายบาย ฮ่าๆๆๆ"(ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินพูดเสร็จก็หายตัวไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ)
อาริง : "จัดกลุ่มไว้ เตรียมจัดการศัตรูที่อยู่ข้างหน้า พลปืนใหญ่กอบบลินยิงปืนใหญ่ได้เลย"


ก่อนที่พวกพลปืนใหญ่กอบบลินจะยิง คอรัปเซอร์ก็เสกอัญเชิญโกเลมแห่งความมึดมา 200ตัว และเสกกุลมาอีก200ตัว เพื่อเข้าปะทะกับพวกกองทัพของอาริงที่มีแค่ไม่กี่ร้อยคน ลานกว้างในเมืองตอนนี้เต็มไปด้วยศพของโจรสลัด เอลฟ์ หรือแม้แต่พวกกุลและโกเลมดำ หลายสิบชีวิต ราชินีป่าไม้ก็พากำลังคนเข้ามาช่วยอาริงในเมืองอีก เพราะข้างนอกจัดการพวกกุลหมดแล้ว พวกนักรบที่มากับราชินีป่าไม้จึงหลอกล่อพวกโกเลมแห่งความมึดและพวกกุลออกไปรบนอกเมืองได้เกือบร้อยตัว ทำให้ในเมืองไม่แออัดมากกว่าเดิมแล้ว ส่วนคอรัปเซอร์ก็ไล่โจมตีพวกนักรบและเอลฟ์ตายไปหลายสิบคนแล้วเหมือนกัน อาริงวิ่งไปหาเจ้าคอรัปเซอร์ด้วยความเร็วถึงแม้ข้างหน้าจะมีกุลหลายสิบตัวแต่อาริงก็ใช้วิชาดาบความเร็วสูงจัดการหมด เมื่อถึงระยะอาริงก็เกร็งแขนขวาเต็มกำลังและทุ่มพลังใช้ดาบความเร็วสูงฟันคอรัปเซอร์ แต่คอรัปเซอร์ก็เกร็งพลังและปล่อยคลื่นกระแทกขนาดใหญ่ออกจากปากเช่นกัน พลังของทั้ง2ปะทะหักล้างกันจึงเกิดเป้นคลื่นพลังกระจายตัวไปรอบๆ

อาริงก็ใช้จังหวะนั้นกำลังจะพุ่งเข้าไปใช้วิชาดาบความเร็วสูงอีกรอบ แต่อาริงก็ต้องเสียหลักล้มลง เพราะขาทั้ง 2ข้างของอาริงถูกกุล 2ตัวแอบเข้ามากัดเข้าที่ขาทำให้อาริงเกิดการบาดเจ็บที่ขาและทำให้เสียการทรงตัวและล้มลง คอรัปเซอร์เห้นดังนั้นจึงจะปล่อยคลื่นกระแทกออกจากปากใส่อาริงอีก แต่ปรากฎว่าก่อนที่จะได้ปล่อยคลื่นกระแทก หลังของคอรัปเซอร์ถูกกระหน่ำยิงด้วยปืนใหญ่อย่างแรงหลายนัด ทำให้เจ้าคอรัปเซอร์ถึงหน้ำคว่ำและถึงกับเลือดไหลออกมา และเมื่ออาริงมองข้ามไปทางด้านหลังของคอรัปเซอร์ก็เห้นพลปืนใหญ่กอบบลินและปืนใหญ่10กระบอกยิงใส่คอรัปเซอร์อยู่และมีเอลฟ์ตามมาด้วยอีกจำนวนหนึ่ง และทั้งหมดก็คือกลุ่มที่อาริงให้มาทางลับเพื่อไว้บุกเข้ามาในเมืองอีกทาง ซึ่งทางลับที่ว่าคือ เส้นทางรถไฟใต้ดินเถื่อนที่เคยโดนทำลายไปแล้วนั้นเอง พวกกอบบลินและเอลฟ์ช่วยกันซ่อมแซมตั้งแต่จบสงครามที่เมืองเรดคลิฟแล้วนั้นเอง จึงใช้เส้นทางรถไฟนี้บุกเข้าเมืองมาอีกทางตามแผนที่กำหนดไว้แต่ต้น
 
คอรัปเซอร์ : "ไอ้พวดหมาลอบกัด แอบยิงมาทางข้างหลังหรือ"(คอรัปเซอร์โมโหและหันไปด่าพวกพลปืนใหญ่กอบบลินที่ยิงใส่หลังตนจนเป็นแผล)
หัวหน้าพลปืนใหญ่กอบบลิน : " เค้าเรียกว่าเทคนิคและแผนการรบต่างหากละ เอ้า..ยิงต่อเรื่อยๆ"(หัวหน้าพลปืนใหญ่กอบบลินพูดเสร็จก็สั่งระดมยิงปืนใหญ่ 10กระบอกต่อเป็นชุดๆแบบต่อเนื่องทำให้คอรัปเซอร์ไม่สามารถเคลื่อนไหวไปไหนได้ )

เพราะอาการบาดเจ็บเริ่มสงผลกระทบแล้ว แต่คอรัปเซอร์ก็เสกอัญเชิญให้พวกโกเลมแห่งความมืด30ตัวและพวกกูล50ตัว มาจัดการพวกนักรบและปืนใหญ่กอบบลินที่มาทางอุโมงค์รถไฟใต้ดิน ในขณะที่คอรัปเซอร์มัวยุ่งที่จะจัดการพวกพลปืนใหญ่กอบบลิน อาริงก็ใช้ยารักษาแผลฉุกเฉินรักษาที่ขา ถึงไม่หายสนิทแต่ก็ทำให้อาริงสามารถที่จะเดินและวิ่งได้เกือบเหมือนเก่า อาริงเลยกระโดดขึ้นไปบนหลังของคอรัปเซอร์และเอาดาบแทงปักไปที่แผลของคอรัปเซอร์อย่างแรง ทำให้คอรัปเซอร์ถึงกับส่งเสียงร้องออกมาอย่างดัง คอรัปเซอร์พยายามจะเอื้อมมือไปจับอาริงที่หลัง แต่เนื่องด้วยคอรัปเซอร์ตัวใหญ่ มือของคอรัปเซอร์ที่เอื้อมไปเลยไม่ถึงอาริง กลายเป้นจุดอ่อนให้อาริงโจมตีอยู่ในตอนนี้

คอรัปเซอร์ตอนนี้โดนอาริงโจมตีที่แผลกลางหลังของคอรัปเซอร์ ยิ่งอาริงใช้ดาบแทงลงไปในแผลมากเท่าไร คอรัปเซอร์ก็ยิ่งทรมานและถึงขนาดคลุ้มคลั่งพยายามเอาหลังไปชนกำแพงเมืองเพื่อที่จะจัดการอาริง แต่อาริงก็เกาะดาบที่ปักไว้แน่นและพยายามเบี่ยงตัวหลบจากกำแพง และกลายเป้นว่าด้ามดาบของอาริงกับไปโดนกำแพงซะเอง ทำให้ดาบยิ่งปักลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้คอรัปเซอร์เริ่มตาพร่ามัวเพราะอาการบาดเจ็บรุนแรงและเสียเลือดมาก ทำให้คอรัปเซอร์เริ่มที่จะเสียสติเลยใช้พลังคลื่นกระแทกออกจากปากอย่างบ้าคลั่งจำนวนมาก โดยไม่สนใจว่าจะโดนพวกเดียวกันเองหรือโดนศัตรู ทำให้เกิดความเสียหายทั้ง2ฝ่าย อาริงเลยสั่งให้ชาร์ปยิงสกัดการเคลือ่นไหวไปที่ขาทั้ง4ของคอรัปเซอร์และสั่งให้พลปืนใหญ่กอบบลินให้เล็งยิงไปทำลายที่ขาทั้ง4ของคอรัปเซอร์  เหล่าชาร์ปก็ยิงสกัดการเคลื่อนไหวที่ขาทั้ง4และหัวหน้าพลปืนใหญ่กอบบลินก็ทำตามโดยระดมยิงปืนใหญ่ทั้งหมดไปที่ขาทั้ง4ข้างของคอรัปเซอร์ และไม่นานคอรัปเซอร์ก็ล้มลงเพราะขาทั้4โดนโจมตีอย่างมาก เสร็จแล้วอาริงเลยสั่งให้เบรดดาบใหญ่ที่อยู่แถวนั้นโยนดาบขึ้นมาให้อาริง เมื่ออาริงได้ดาบใหญ่แล้ว อาริงเกร็งพลังที่แขนขวาอย่างเต็มที่และใช้ดาบใหญ่เสียบลงไปที่ปากด้านบนและทะลุจนถึงปากด้านล่างและดาบใหญ่ก็ปักทะลุลงไปในดิน ทำให้ปากของคอรัปเซอร์ถูกปิดสนิทไม่สามารถใช้พลังคลื่นกระแทกได้แล้ว อาริงก็ถอนดาบเขี้ยวทมิฬของตนออกจากหลังคอรัปเซอร์ และกระโดดลงจากหลังของคอรัปเซอร์ และเดินออกห่างคอรัปเซอร์และพวกพลปืนใหญ่กอบบลิน และพวกเอลฟ์และทหาร ก็ระดมยิงใส่ไปที่คอรัปเซอร์ที่ตอนนี้นอนหมดสภาพแล้ว แต่อาริงก็จำใจต้องสั่งให้ยิงต่อไปเพื่อจะได้เป้นความแน่นอนว่าจัดการคอรัปเซอร์ได้

เมื่อคอรัปเซอร์ตาย พวกโกเลมแห่งความมึดและพวกกุลที่ถูกเสกอัญเชิญมาที่เหลืออยู่แค่ไม่ถึงร้อยตัวแทนที่จะหายไป กลับกลายเป้นจุดชนวนความแค้น ทำให้พวกโกเลมแห่งความมึดและพวกกุลพวกนั้นโมโหและแค้น โดยโจมตีพวกนักรบอย่างบ้าคลั่งโดยไม่กลัวตาย ถึงแม้จะเหลือแค่ไม่ถึงร้อยตัว แต่ด้วยความบ้าคลั่งของพวกมันกว่าจะจัดการหมดก็ใช้เวลาพอสมควร ที่มันบ้าคลั่งยอมสู้ตายพวกมันเพียงแค่ที่จะยอมตายตามเจ้านายของพวกมันไปเท่านั้นเอง อาริงและพวกนักรบในเมืองก็ตรวจตราในเมืองว่ายังมีศัตรูหลงเหลือไหม และเวลาผ่านไป 20 นาที นักรบทุกคนก็ไชโยโห่ร้องเพราะเมืองเซาเทรินไซร์ได้กลับมาเป้นของพวกมนุษย์อีกครั้งแล้ว พวกนักรบ เอลฟ์ กอบบลินที่เหลือรอดตอนนี้ก็ได้นั่งพักเหนื่อย และรักษาตัวเพราะมีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อยและบาดเจ็บสาหัส และเมื่อสำรวจความเสียหายแล้ว พวกของอาริงก็เลือคนแค่ประมาณ 500กว่าคนที่พอสู้ต่อได้ โดยอาริงสั่งให้พักเหนื่อยกันก่อน  เพราะอาริงบอกว่าพวกเราอาจจะต้องไปวิลเดอวู้ดและเซาเทรินฟอร์ทต่อ โดยที่นักรบก็ตะโกนสู้พร้อมกันเพราะใจกำลังฮึกเหิมและทำท่าจะไปกันเลย แต่อาริงก็สั่งให้พักให้พร้อมก่อนจริงๆค่อยไป อาริงเลยใช้เวลที่พักคุยกับราชินีป่าไม้และกัปตันโจรสลัดแจ็ค ดี สปอย์เรอร์

เวลาผ่านไปถึง 8โมงกว่าๆ อาริงก็จัดขบวนเพื่อที่จะมุ่งหน้าไปวิลเดอร์วู้ดต่อ เพราะคิดว่าทางลูฟเฟ่นก็น่าจะโดนกับดักและเสียหายพอๆกัน อาริงขอให้นักรบบางส่วนที่บาดเจ็บเล็กน้อยและบาดเจ็บสาหัสให้พักอยู่ที่เมืองนี้ไปก่อน โดยให้กัปตันโจรสลัดแจ็ค ดี สปอย์เรอร์และลูกน้องโจรสลัดอยู่เฝ้าเมือง และอาริงก็ของพวกนักรบโจรสลัดติดตัวไปด้วย 300คน เพราะตอนนี้เรือโจรสลัดก็มาจอดที่ท่ากันหมดแล้ว เลยได้พวกโจรสลัดมาเพื่มอีกจำนวนหนึ่ง และกัปตันโจรสลัดแจ็ค ดี สปอย์เรอร์ก็สั่งให้เรือโจรสลัดและพวกลูกน้อง 10ลำให้กับไปประจำเมืองเรดคลิฟไว้ส่วนอีก20ลำให้จอดที่เมืองเซาเทรินไซร์ก่อน และอาริงก็ขอให้ราชินีป่าช่วยไปเฝ้าที่เมืองเรดคลิฟด้วยเพราะอาริงยังไม่ไว้วางใจพวกศัตรูว่าจะโจมตีอีกไหมเลยต้องการให้ราชินีป่าไม้เป้นผู้พิทักษ์เมืองเรดคลิฟ และเมื่อถึงเวลา 9.00 อาริงและกองกำลังผสมจำนวนประมาณ800คน รีบมุ่งหน้าไปเมืองวิลเดอวู้ด...............................

What Time is it....
Hero Member
*****
กระทู้: 5,137


นามเดิม SLEEP...zzzZZZ


เว็บไซต์
Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #481 เมื่อ: 16-11-2009, 14:15:16 »

ไก่จ๊วบปรากฎตัวครั้งแรกในรอบศตวรรษ  Shocked

Who am I...?
นามใน Asura - คิล(คิว)
นามบุพการีตั้งให้ - ป๊อป
แล้วแต่จะเรียก ตามสะดวกครับ ^^

Status:ออนได้แต่บอร์ด

พวกคุณบางคนบอกว่าเกลียดการล่าแม่มด
นั่นเป็นเพราะว่าคุณเป็นคนถูกล่ามาตลอด
แต่พอคุณได้เป็นผู้ล่าบ้าง
ก็ทำตัวไม่ต่างอะไรกับคนที่คุณเกลียดเลย



matic
一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #482 เมื่อ: 16-11-2009, 17:11:08 »

ตอนแรกที่อ่าน..

อาริง : "หรือว่าเจ้าเป้นท่านไก่..

หยุดอ่านไว้แค่นั้น แล้วนึกๆๆ หรือว่าไก่ลุงเบน!! Shocked(ติดใจกับเจ้าตัวนี้อยู่ได้-*-)ก็เลยรีบอ่านต่อ ปรากฏว่าเป็น ไก่จ๊วบ=_=;

ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย เอิ้กๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อน่ารักจะทำลายเมือง  Wink

ป.ล.นิยายเรื่องนี้จบแล้ว ฟองต์ขอลักไก่ลุงเบนไปแบ่งๆคนในอสุรานะ ป่านนี้คงเป็นไก่ย่าง 5 ดาวไปแล้วละ  Evil



GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #483 เมื่อ: 16-11-2009, 18:20:49 »

อ้างจาก: .Lovelo. ที่ 16-11-2009, 17:11:08
ตอนแรกที่อ่าน..

อาริง : "หรือว่าเจ้าเป้นท่านไก่..

หยุดอ่านไว้แค่นั้น แล้วนึกๆๆ หรือว่าไก่ลุงเบน!! Shocked(ติดใจกับเจ้าตัวนี้อยู่ได้-*-)ก็เลยรีบอ่านต่อ ปรากฏว่าเป็น ไก่จ๊วบ=_=;

ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย เอิ้กๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อน่ารักจะทำลายเมือง  Wink

ป.ล.นิยายเรื่องนี้จบแล้ว ฟองต์ขอลักไก่ลุงเบนไปแบ่งๆคนในอสุรานะ ป่านนี้คงเป็นไก่ย่าง 5 ดาวไปแล้วละ  Evil

ขอกินบ้างจิหมันไส้มันมานานเเล้วเหมือนกัล Evil



บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
เลสตัวแม่
Hero Member
*****
กระทู้: 6,747


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #484 เมื่อ: 16-11-2009, 19:35:56 »

ชายในชุดคลุมสีน้ำเงินปรมมือ
อาริงเลยใช้เวลที่พักคุยกับราชินีป่าไม้

แล้วก็
แจ็ค ดิ สปอย์เรอร์
แจ็ค ดี สปอย์เรอร์

ดิแหน่ บ่ใช่ดี
一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #485 เมื่อ: 16-11-2009, 20:03:26 »

อ้างจาก: GøøGle18940 ที่ 16-11-2009, 18:20:49
อ้างจาก: .Lovelo. ที่ 16-11-2009, 17:11:08
ตอนแรกที่อ่าน..

อาริง : "หรือว่าเจ้าเป้นท่านไก่..

หยุดอ่านไว้แค่นั้น แล้วนึกๆๆ หรือว่าไก่ลุงเบน!! Shocked(ติดใจกับเจ้าตัวนี้อยู่ได้-*-)ก็เลยรีบอ่านต่อ ปรากฏว่าเป็น ไก่จ๊วบ=_=;

ชื่อเหมือนผู้หญิงเลย เอิ้กๆ ไม่น่าเชื่อว่าคนชื่อน่ารักจะทำลายเมือง  Wink

ป.ล.นิยายเรื่องนี้จบแล้ว ฟองต์ขอลักไก่ลุงเบนไปแบ่งๆคนในอสุรานะ ป่านนี้คงเป็นไก่ย่าง 5 ดาวไปแล้วละ  Evil

ขอกินบ้างจิหมันไส้มันมานานเเล้วเหมือนกัล Evil
Evil Evil



MaCus_KP
Hero Member
*****
กระทู้: 5,558


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #486 เมื่อ: 16-11-2009, 20:18:19 »

ชอบๆ

หนุกดี


???????
Jr. Member
**
กระทู้: 105


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #487 เมื่อ: 16-11-2009, 22:15:48 »

ชายชุดน้ำเงิน = ลุงเบน   Evil Evil Evil
GøøGle-KunG
Hero Member
*****
กระทู้: 10,361


ถึงเวลา ก็ขอให้โชคดีกะที่ใหม่


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #488 เมื่อ: 17-11-2009, 18:29:43 »

ชายชุดดำ = เซอร์ อเล็ก

ชายชุดเเดง = มอเกิ้ล

ที่เหลือรู้กันเเล้ว เหอะๆ Evil



บุย บอร์ดเก่า ไปให้พ้น บอร์ดใหม่
อาริงกิ๊งกิ๊ง
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 7,353


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #489 เมื่อ: 17-11-2009, 23:43:51 »

เพิ่งเริ่มงานที่ใหม่เหนื่อยมากๆ กว่าจะเลิกงานก็เกือบ 4ทุ่ม นิยายเลยอาจจะช้าหน่อยนะ กลับมาถึงบ้านก็หมดแรงละ สมองเลยไม่แล่นที่จะเขียนต่อ
แต่บทที่ 33 เขียนเสร็ตตั้งกะวันอาทิตย์ละ พรุ่งนี้คงเอาลง แต่บทที่ 34เขียนได้นิดเดียวเอง คงต้องใช้เวลาเขียนมากกว่าปกติแล้วละนะ
ขออภยมาณ.ที่นี้ด้วย  Cry Cry
/人◕ ‿‿ ◕人\
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 2,715


เว็บไซต์
Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #490 เมื่อ: 18-11-2009, 00:09:40 »

สู้ต่อไป ประเทศไทย!!! (เกี่ยวมะ)

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #491 เมื่อ: 18-11-2009, 09:11:13 »

อ้างจาก: (¯`•¸•´¯)``สก็๏ตไบท๎,,*(¯`•¸•´¯) ที่ 18-11-2009, 00:09:40
สู้ต่อไป ประเทศไทย!!! (เกี่ยวมะ)
ไม่เกี่ยว มันต้อง..

สู้ต่อไป ไก่ลุงเบน!!


ยิ่งไม่เกี่ยวใหญ่=___=;



一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 32 (16/11/52)
« ตอบ #492 เมื่อ: 18-11-2009, 09:12:26 »

อ้างจาก: GøøGle18940 ที่ 17-11-2009, 18:29:43
ชายชุดดำ = เซอร์ อเล็ก

ชายชุดเเดง = มอเกิ้ล

ที่เหลือรู้กันเเล้ว เหอะๆ Evil
Evil Evil



อาริงกิ๊งกิ๊ง
Moderator
Hero Member
*****
กระทู้: 7,353


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 33 (18/11/52)
« ตอบ #493 เมื่อ: 18-11-2009, 09:41:03 »

บทที่ 33. สงครามที่วิลเดอวู้ด

เวลา 6.00 ของวันที่จะโจมตี เมืองเซาเทรินไซร์ที่อาริงจะจัดการกลับถูกโจมตีก่อน ซึ่งก็เป้นเวลาเดียวกันที่ค่ายพักกองกำลังของลูฟเฟ่นที่เมืองวิลเดอวู้ดก็โดนโจมตีก่อนในเวลานี้เช่นเดียวกัน อยู่ๆค่ายพักกองกำลังของลูฟเฟ่นที่อยู่ห่างจากหน้าเมืองวิลเดอวู้ด 1กิโลเมตร ก่อนการบุก 2ชั่วโมง อยู่ๆก้มีต้นไผ่จำนวนมหาศาลผุดขึ้นมาจากพื้นดินทำลายที่พักของกองกำลัง แถมไผ่พวกนี้ยังเหมือนมีชีวิตเพราะไผ่พวกนี้พยายามจะสะบัดตัวตีเหล่านักรบถึงแม้จะตีไม่แรงถึงเสียชีวิต แต่ถ้าโดนตีหลายๆทีก้ถึงบาดเจ็บสาหัสและตายได้ เพราะไผ่ที่ผุดขึ้นมาจากพื้นมีมากเหลือเกิน พวกนักรบทังหมดต้องพยายามเอาตัวเองออกมาจากค่ายที่พักให้ได้ และเมื่อแน่ใจแล้วว่าเหล่านักรบออกมากันหมดแล้ว ลูฟเฟ่นเลยสั่งให้เหล่านักเวทย์ร่ายเวทย์ไฟเข้าไปในค่ายพักที่ตอนนี้มีแต่ต้นไผ่ และเมื่อไฟโหมอย่างแรงเข้าใส่ต้นไผ่ ต้นไผ่ก็มีเสียงร้องครวญครางออกมาจากกอไผ่เหมือนว่าพวกไผ่นั้นมีชิวืต

และไม่ทันที่ไฟจะไหม้หมด อยู่ๆก็มีพวกไผ่ที่ติดไฟได้กระโดดออกมา พวกนั้นเป้นพวกไผ่เดือดที่ไม่กลัวไฟยิ่งไฟแรงเท่าไรพวกนี้ก้ยิ่งแข็งแรง และไผ่เดือดจำนวนหลายร้อยตัวก็กระโดดเข้าใส่กลุ่มนักรบ ซึ่งพวกนักรบระยะประชิดไม่อาจจะสู้ไหวเพราะเมื่อต่อสู้แล้วพวกไผ่เดือดจะพยายามสะบัดไฟใส่กลุ่มนักรบประชิด ทำให้พวกนักรบระยะประชิดโดนไฟลุกไหมไปหลายราย พวกเหล่านักเวทย์เลยต้องเป็นทัพหน้าร่ายเวทย์น้ำแข็งโจมตีเข้าไป 20 นาที กว่าพวกไผ่เดือดจะหมดฤทธิ์พวกเหล่าวิสาทก็นั่งหอบและหมดแรงกันเป้นแถวเพราะพลังเวทย์แทบจะหมด พวกเคลริคและนันเลยต้องมาฟืนฟูพลังเวทย์ให้กับเหล่าจอมเวทย์ และพวกทหารก็พยายามรักษาคนเจ็บด้วยสกิลแพทย์สนาม และเมื่อไฟมอดแล้ว พวกนักรบก็พยายามที่จะเข้าไปในค่ายเพื่อจะไปหาดูว่ายังพอมีอาวุธอะไรที่ยังไม่โดนเผาบ้างจะได้เอามาใช้เพราะมีนักรบเกือบร้อยรายที่ไม่มีอาวุธติดตัวออกมา แต่ยังดีที่ปืนใหญ่ 30กระบอกของพวกกอบบลินอยู่บริเวณหน้าค่ายเลยขนหนีทัน ที่จะเสียหายก็พวกอาวุธประจำกายของแต่ละคนที่อยู่ตามเต้นท์ และพวกเสบียงต่างๆ

ลูฟเฟ่น : " เป้นไงบ้าง มีคนบาดเจ็บล้มตายเท่าไร และพวกอาวุธกับเสบียงละ"
นายกองทหาร : "บาดเจ็บเล็กน้อยไม่เท่าไรมีไม่กี่สิบคน คนตายก็ประมาณ30คนได้ เพราะโดนพวกไผ่ตีตายกับโดนเผาจากไผ่เดือด ส่วนเสบียงยังอยู่ได้อีก 2วัน ส่วนอาวุธก้มีแค่ไม่กี่สิบคนแล้วที่ยังไม่มีอาวุธติดมือ เพราะเอาออกมาไม่ทัน"
ลูฟเฟ่น : " น่าแปลกมากว่าครั้งนี้เหมือนพวกมันรู้แผนการณ์ของเราก่อน เลยเล่นงานแบบที่พวกเราไม่ทันรู้ตัว" (ลูฟเฟ่นกำลังคุยกับนายกองทหารอยู่ ก็มีเสียงทหารและนักรบและพวกเขี้ยวทมิฬร้องด้วยความเจ็บปวดมาจากกลุ่มที่อยู่ห่างจากหน้าเมืองวิลเดอวู้ด500เมตร)
วาเนสซ่า : "แย่แล้วลูฟเฟ่น พวกเราหลายกลุ่มโดนโจมตีอีกแล้ว คราวนี้มาจากทางป่า ไม่รู้ว่าเป้นตัวอะไร มีแต่ขนนกหลายสีจำนวนมากพุ่งออกมาจากป่าโจมตีพวกเรา"(วาเนสซ่าวิ่งมาบอกลูฟเฟ่น ลูฟเฟ่นเลยสั่งให้พวกพาราดินตั้งแนวไว้กันพวกขนนกนี้ที่บินออกมาจากป่า)
ลูฟเฟ่น : " ขนนกพวกนี้มันขนนกจากพวก นกจุ๊นี่น่า มีทั้งสีเหลือง ชมพู น้ำเงินและดำ"


และไม่ทันที่ลูฟเฟ่นจะพูดอะไรต่อ คราวนี้ขนนกจุ๊นับไม่ถ้วนพุ่งใส่กลุ่มนักรบของพวกลูฟเฟ่นราวกับห่าฝน ขนนกไม่ถึงกับทำให้ตาย แต่ก็สร้างความเจ็บปวดได้มากเหมือนกันเพราะเหมือนถูกเข็มทิ่มแทงตามตัว พวกนักรบที่มีโล่ก็ช่วยกันเหล่าขนนกนี้ให้พวกเดียวกัน หลายสิบก็ต้องแอบหลังโขดหิน และหลายร้อยคนก้ต้องพยายามเอาดาบและหอกมาควงอย่างไวเพื่อกันเหล่าขนนกนี้ไว้ แต่ก็ยังมีอีกหลายร้อยคนที่โดนขนนกนี้แบบเต็มๆ ลูฟเฟ่นเลยสั่งให้พาราดิน 20นาย ถือโล่กันพลปืนใหญ่กอบบลินไว้ และให้พลปืนใหญ่กอบบลิน 10กระบอกยิงสวนเข้าไปในป่าตรงบริเวณที่มีเหล่าขนนกพุ่งออกมา

ลูฟเฟ่น : "งวดนี้พวกเราโดนกับดักเต็มๆเลย พวกนั้นไม่ได้รบเหมือนที่เคย ไม่เหมือนที่ฉันเคยเจอ เหมือนว่ามีคนสอนให้พวกมันรบ"(ลูฟเฟ่นเอาโล่บังตัวเองและวาเนสซ่าไว้)

พลปืนใหญ่กอบบลินยิงปืนใหญ่สวนเข้าไปในป่าเกือบ 5นาที จึงสงบลงไม่มีขนนกพุ่งออกมาอีกและเมื่อการโจมตีด้วยเหล่าขนนกหมดลง ทั้งทุ่งหญ้ากว้างหน้าเมืองวิลเดอวู้ด ก็เป้นดงขนนกที่ปักตามพื่นและตามตัวคน และมีแต่เสียงร้องครวญครางของเหล่านักรบที่โดนขนนกทิ่มแทงตามร่างกาย และทุกคนที่ไม่ได้บาดเจ็บก็รีบไปปฐมพยาบาลคนเจ็บ คนเจ็บหลายสิบคนที่ทนพิษบาดแผลไม่ไหวก็ตายไป หลายสิบคนก็อาหารสาหัส ถึงเป้นแค่ขนนกแต่ถ้าโดนปักตามร่างกายเป้นสิบๆอันก็มีสภาพไม่ต่างกับโดนลูกธนูยิง ลูฟเฟ่นเลยสั่งให้คนที่ไม่มีอาวุธและคนที่บาดเจ็บเล็กน้อยคอยช่วยกันดูแลคนที่บาดเจ็บสาหัสและให้ไปแอบอยู่หลังโขดหินใหญ่ และแบ่งคนให้ส่วนหนึ่งเพื่อตั้งแนวป้องกันคนเจ็บ เพื่อว่ามันจะแอบมาโจมตีอีก ส่วนลูฟเฟ่นก็สั่งบุกไปหน้าเมืองวิลเดอวู้ด

ลูฟเฟ่น : "ต้องบุกยึดเมืองแล้วละ ขืนอยู่แบบนี้พวกเราก็มีแต่รอความตายเท่านั้น" (ลูฟเฟ่นตะโกนสั่งรวมพลและตั้งแนวบุก โดยให้ปืนใหญ่อยู่หน้าสุด 20กระบอก ส่วนอีก10กระบอกอยู่ด้านข้าง เพื่อยิงใส่กลุ่มนกจุ๊ที่อยู่ตามป่า เมื่อถึงระยะยิงพลปืนใหญ่กอบบลินก็ระดมยิงเข้าไปในเมือง และพลหน้าไม้เขี้ยวทมิฬก็หน้าไม้ยิงเข้าไปในเมืองเช่นกันเหมือนกับพวกเหล่าชาร์ปที่ยิงธนูเข้าไปในเมือง ผ่านไป 5นาที ลูฟเฟ่นสังเกตดูไม่มีเสียงร้องอะไรสักอย่างจากในเมืองเลย เหมือนว่าในเมืองไม่มีมอนสเตอร์เลย ลูฟเฟ่นเลยให้แอสซาซิน 5คนใช้สกิลพรางตัวเข้าไปดูสถานการณ์ในเมืองวิลเดอวู้ด และ10นาทีต่อมาแอสซาซินทั้ง 5คนก้กลับออกมาจากเมืองและรายงานว่าไม่มีมอนสเตอร์อยู่ในเมืองเลย)

ลูฟเฟ่น : " น่าแปลกมากๆ ขนาดที่ว่ามอนสเตอร์พวกนี้ใช้เทคนิคและกับดักลอบโจมตีแบบนี้ก็ว่าแปลกแล้ว แต่ไม่มีมอนสเตอร์ในเมืองแบบนี้ยิ่งแปลกไปใหญ่ แล้วแท่นเสาหินสีดำละ มันตั้งอยู่ตรงไหนในเมือง"
แอสซาซิน : " ไม่มีเลย พวกข้า 5คน ก้หาจนทั่วแล้วไม่เห้นเลย"
ลูฟเฟ่น : "ชักไม่ชอบมาพากลแล้ว ไม่รู้เมืองอื่นๆที่เป้นเป้าหมายจะเป้นแบบนี้ไหม "

และยังไม่ทันที่ลูฟเฟ่นจะสั่งการอะไรอีก อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงร้องขอความช่วยเหลือจากในเมืองวิลเดอวู้ด และมีหญิงสาว 3คนวิ่งออกมาจากในเมือง แต่วิ่งออกมาแค่พ้นหน้าเมืองมานิดหน่อยก็ล้มลงเพราะหญิงสาว 3คนนั้นถูกเชือกมัดที่ขาอยู่ และหญิงสาว 3คนนั้นก็ถูกลากกลับเข้าไปในเมืองพร้อมด้วยเสียงขอความช่วยเหลือ พวกนักรบที่อยู่ใกล้เมืองที่สุด 50คน ก้รีบวิ่งเข้าไปในเมืองเพื่อคิดจะช่วยหญิงสาว 3คนนั้น โดยไม่ฟังคำสั่งของลุฟเฟ่นว่าอย่าเพิ่งเข้าไป อาจเป้นกับดัก แต่นักรบกลุ่มนั้นกับด่าว่าลูฟเฟ่นหาว่าขี้ขลาดและวิ่งเข้าไปในเมือง เพียงแค่ 2นาที กลับมีคิงจุ๊พญานกยักษ์ ฝูงใหญ่ประมาณ 50ตัว วิ่งออกมาจากในเมืองวิลเดอวู้ดมาทางกองกำลังนักรบ พวกทหารและพลปืนใหญ่กอบบลินเห็นดังนั้นเลยรีบยิงปืนและปืนใหญ่ใส่ฝูงคิงจุ๊พญานกยักษ์นั้น โดยที่ลูฟเฟ่นตะโกนสั่งห้ามยิงแต่ไม่ทันเสียแล้ว และเพียงแค่30วินาที ฝูงคิงจุ๊พญานกยักษ์กลุ่มนั้นก็นอนจมกองเลือดตรงนั้นและมีเสียงโห่ร้องสะใจของเหล่านักรบที่จัดการได้ แต่เพียงพริบตาจากเสียงของทหารที่โห่ร้องสะใจกลับกลายเป้นเสียงร้องไห้และเสียงหวีดร้องของนักเวทย์สาวหลายคน เพราะสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกใจและร้องไห้นั้นคือ ภาพของคิงจุ๊พญานกยักษ์กลุ่มนั้นค่อยๆกลับกลายสภาพเป้นเหล่านักรบทั้ง 50คนที่เขาไปในเมืองเพื่อช่วยหญิงสาว 3คนนั้นเอง

วาเนสซ่า : "อะไรกันเนี่ย มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเหล่านักรบ50คนถึงกลับออกมาเป้นคิงจุ๊พญานกยักษ์ไปได้ แถมยังเป้นพวกเราที่ยิงพวกเดียวกันเองอีก"(วาเนสซ่าพูดและใช้มือปิดปากตัวเองด้วยความตกใจที่เห้นแบบนี้)
ลูฟเฟ่น : "ฉันเอะใจบางเรื่องตั้งแต่เจอขนนกโจมตีแล้ว ฉันถึงได้สั่งห้ามไม่ให้พวกนักรบ 50คนประกี้ ไม่ให้เข้าเมืองไง เพราะฉันกำลังสงสัยว่าอาจจะมีมอนสเตอร์ที่เป้นระดับหัวหน้าซ่อนตัวรอใช้กับดักเล่นงานเราอยู่ไง และมันก็จริงดังที่คิด มันคือ คิงจุ๊พญานกยักษ์ มันมีวิชาบางอย่างที่สามารถเสกให้คนมีรูปร่างหน้าตาเหมือนตัวมันเองทุกอย่าง เพื่อไว้ใช้หลอกล่อให้คนที่จะมาจัดการมันฆ่ากันเอง"
วาเนสซ่า : "เจ้ารู้ได้ยังไง"
ลูฟเฟ่น : "พี่อาริงเค้าเคยเล่าให้ฟัง เพราะเค้าเคยหลบซ่อนตัวกองทัพในคดีที่เรดคลิฟนั้น และเค้าก็เคยเห็นเหตการณ์แบบนี้กับพวกที่มาล่าคิงจุ๊พญานกยักษ์ พี่อาริงเค้าเลยเล่าให้ฟังเป้นประสบการณ์"(ลูฟเฟ่นพูดจบ ก็อธิบายเรื่องราวของคิงจุ๊พญานกยักษ์ ให้เหล่านักรบฟัง และพวกนักรบส่วนมากตอนนี้ก็เข้าใจและยอมที่จะเชื่อฟังลูฟเฟ่นมากกว่าแต่ก่อน)

และลูฟเฟ่นก็สั่งเหล่านักรบให้ป้องกันจากเหล่าขนนกนกอีก เพราะงวดนี้ขนนกมาจากทั้งในป่ามีหลายสี และมาจากบนต้นไม้ทั้งในเมืองและนอกเมืองแต่ขนนกเป้นสีดำ เป้นขนนกของราเวนนกจุ๊สีดำ ที่กลมกลืนไปกับเงาบนต้นไม้ที่หนาทึบ พลปืนใหญ่กอบบลิน 20กระบอกก้ยิงไปที่ทางป่าไม้ และพวกทหารและและเหล่านักธนูก็ยิงไปบนต้นไม้นอกเมือง และพวกพาราดินก็พยายามป้องกันขนนกให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เหล่านักเวทย์ก้ร่ายเวทย์ไม่ได้เพราะไม่มีสมาธิร่ายเพราะโดนขนนกโจมตีตลอดเลยทำให้เสียสมาธิ ลูฟเฟ่นตะโกนสั่งให้ทุกคนระวังกันละกันไว้ และลูฟเฟ่นกระซิบบางอย่างกับวาเนสซ่า และลูฟเฟ่นก็วิ่งเข้าไปในเมืองคนเดียว และมีเสียงสู้กันในเมืองอยู่พักนึง และสักพักก้มีคิงจุ๊พญานกยักษ์ 2ตัวสู้กันอยู่หน้าเมืองทั้งกอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่ไม่มีใครกล้าที่จะทำอะไรเพราะพวกเข้ารู้ว่า หนึ่งในนั้นคือลูฟเฟ่น แต่ด้วยคาถามายาของคิงจุ๊พญานกยักษ์ ทำให้แยกออกยากว่าใครเป้นใคร เพราะ คิงจุ๊พญานกยักษ์ 2ตัวนั้นสู้กันได้สูสีกันมากและแถมต่อสู้ในท่าทางเหมือนกันมากจนแยกไม่ออก

วาเนสซ่าเอาผ้ามาปิดตาไว้ และใช้สกิลสมาธิขั้นสูง และขึ้นลำธนูเตรียมยิง และเมื่อวาเนสซ่าเพ่งสมาธิขั้นสูงจนถึงขีดสุดและแน่ใจในสมาธิและสัญชาตญาณของตัวเองแล้ว วาเนสซ่าก็ยิงธนูไป1ดอกด้วยสกิล"เล็งจุดตาย ลูกธนูลูกนั้นที่อาบด้วยสกิลเล็งจุดตายนั้นพุ่งด้วยความเร็วสูง ไปยังเป้าหมายที่สัญชาตญานของวาเนสซ่ากำหนด ลูกธนูนั้นไม่ได้พุ่งไปที่คิงจุ๊พญานกยักษ์ 2ตัวที่สู้กันอยู่หน้าเมืองนั้น แต่ลูกธนูนั้นกับพุ่งไปยังบนต้นไม้ต้นหนึ่งในเมืองวิลเดอวู้ด และลูกธนูดอกนั้นก็โดนเข้าไปที่หน้าอกของนกจุ๊ดำตัวนั้น ถึงแม้ว่านกจุ๊สีดำตัวนั้นจะเบี่ยงตัวหลบแบบเฉียดฉิวแล้วก็ตาม แต่ก็ยังปักที่อกอยู่ดีเฉียดหัวใจไปหน่อยและตกลงมายังพื้น และทันที่นกจุ๊สีดำนั้นตกลงมาที่พื้น ลูกธนูอีก 5ดอกก็พุ่งมาโดนนกจุ๊สีดำนั้นทุกดอก เพราะทันทีที่วาเนสซ่ารู้ว่ายิงโดนแล้ว เลยรีบพุ่งตัวมายังเป้าหมายและระดมยิงลูกธนูด้วยความเร็วสูงที่วาเนสซ่าเหลือเพียงแค่ 5ดอกเท่านั้น พริบตาเดียวลูกธนู 5ดอกก็ปักที่เป้าหมายแล้ว และเมื่อลูกธนูทุกดอกโดนเป้าหมาย คาถามายาของคิงจุ๊พญานกยักษ์ก็คลายลง นกจุ๊สีดำที่ถูกยิงตกลงมาและโดนยิงซ้ำจนสาหัสนั้นก็ค่อยๆเปลี่ยนสภาพเป้นคิงจุ๊พญานกยักษ์ตัวจริง และคิงจุ๊พญานกยักษ์ 2ตัวที่สู้กันอยู่หน้าเมืองก็กลายสภาพเป็นลูฟเฟ่นและอีกหนึ่งเป้นเงาของลูฟเฟ่นเองและเงานั้นก็ค่อยกลับเข้าไปที่ร่างของลูฟเฟ่นและลูฟเฟ่นก้มีเงาตามปกติ โดยคิงจุ๊พญานกยักษ์ตัวจริงใช้คาถามายาชั้นสูงที่อาศัยเงาของศัตรูมาจัดการเจ้าของร่าง ทำให้ทุกคนหายสงสัยในทันทีว่าทำไมสู้กันได้สูสีและท่าทางคล้ายๆกัน

และเมื่อคิงจุ๊พญานกยักษ์ถูกยิงตกลงมา การโจมตีด้วยขนนกจากในป่านอกเมือง และบนต้นไม้ก็หายไปทันทีไม่มีการโจมตีต่อ และเมื่อวาเนสซ่าจะยิงธนูซ้ำลงไปที่คิงจุ๊พญานกยักษ์ ก็มีเหล่านกจุ๊หลายสีจำนวนมากรีบวิ่งมาขวางหน้าคิงจุ๊พญานกยักษ์ที่นอนเจ็บสาหัสอยู่และนกจุ๊ที่มาขวางทั้งหมดก็พร้อมใจกันก้มลงเอาหัวโขกพื้นและน้ำตาก้ไหลออกมาจากเหล่านกจุ๊พวกนั้น ทำให้วาเนสซ่าต้องลดคันธนูลงและเปลี่ยนใจไม่ยิง แต่พวกนักรบไม่ยอมเพราะพวกเค้าบาดเจ็บล้มตายไปก็หลายสิบคน ในเมื่อถ้าจะให้หายแค้นก็ต้องกำจัดตัวหัวหน้าให้ได้ ซึ่งลูฟเฟ่นเองก็ตัดสินใจลำบากเหมือนกันเพราะลูฟเฟ่นก็แปลกใจอยู่หลายเรื่อง และก่อนที่พวกเหล่านักรบจะโวยวายให้จัดการคิงจุ๊พญานกยักษ์ ก็มีเสียงหนึ่งดังมาจากข้างหลังของลูฟเฟ่น

อาริง : " อย่าทำอะไรคิงจุ๊พญานกยักษ์นะ พวกนั้นไม่ได้มีจิตใจชั่วร้ายอะไร "(อาริงรีบวิ่งอย่างไวมาห้ามไว้ หลังจากที่อาริงมาสบทบและทหารของลูฟเฟ่นเล่าเหตการณ์ในการสู้รบให้ฟัง อาริงเลยต้องรีบวิ่งอย่าไวที่สุดเพื่อมาหาลูฟเฟ่น)
ลูฟเฟ่น : " ฉันก็ไม่อยากจะฆ่าหรอกนะ แต่พวกนักรบไม่ยอม"(และลูฟเฟ่นพูดจบพวกเหล่านักรบหลายสิบคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็พร้อมใจกันตะโกนว่าให้ฆ่าคิงจุ๊พญานกยักษ์ซะ)
อาริง : "หุบปากไปซะ "(อาริงหันมาทำสีหน้าดุและคำรามด้วยเสียงอันดันมากใส่พวกนักรบที่ตะโกนกันอยู่ประกี้ แบบที่ลูฟเฟ่นและวาเนสซ่าไม่เคยได้ยินและสัมผัสมาก่อน พวกนักรบก็ตกใจและยิ่งขวัญผวากันใหญ่)
อาริง : " มีเคลริคแถวนี้ไหม มาช่วยกันหน่อย ตามมาหลายๆคนเลย"(อาริงสั่งการด้วยน้ำเสียปกติ แต่พวกนักรบรีบทำตามที่อาริงสั่งและวิ่งไปตามเคลริคมาได้ 5คน)
เคลริค : " ตามพวกข้าให้มารักษาใคร อย่าบอกว่าให้มารักษาหัวหน้าศัตรูนะ ถึงพวกข้าจะใจดียังไง แต่นี่คือสงคราม ข้าคงไม่ต้องปราณีกับศัตรูที่ฆ่าพวกเรามากหรอก"(เคลริคคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่ไม่อยากจะรักษาคิงจุ๊พญานกยักษ์ แต่ลูฟเฟ่นก็สั่งให้รักษาแต่พวกเคลริคก็ยังไม่ยอม)
อาริง : "ช่างเถอะ ข้าไม่พึ่งพวกเจ้าก็ได้ ข้าจะพยายามรักษาเองก็ได้ "

อาริงพูดเสร็จก็อุ้มคิงจุ๊พญานกยักษ์ไปไว้ที่หน้าบ้านของชาวเขี้ยวทมิฬหลังหนึ่ง อาริงก็พยายามถอนธนูอย่าเบามือและใส่ยาห้ามเลือดและเย็บแผลและพันแผลให้แต่ละแผลโดยมีวาเนสซ่าและลูฟเฟ่นช่วยด้วยอีกแรง แต่อาการของคิงจุ๊พญานกยักษ์สาหัสมากอาจจะตายได้ทุกนาที โดยรอบๆบ้านมีแต่นกจุ๊หลายสีมาล้อมบ้านไว้ทั้งบนพื้นและบนต้นไม้เพราะจะมาดูอาการของผู้เป้นนายของพวกมัน อาริงก็ทำเต็มความสามารถเท่าที่จะทำได้แล้วเพราะตอนนี้ถอนลูกธนูหมดแล้ว และใส่ยา เย็บแผลและพันแผลหมดแล้ว ตอนนี้ก็เหลือแค่กำลังใจของตัวคิงจุ๊พญานกยักษ์เองแล้ว แต่เลือดก็ไหลไม่หยุดแถมตัวของคิงจุ๊พญานกยักษ์ก็เริ่มเย็นลงแล้ว และก่อนที่จะหมดหวังอาริงนึกอะไรบางอย่างออกเมื่อมองไปที่วาเนสซ่า

อาริง : "วาเนสซ่าพี่ขอขนนกศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงครึ่งนึงคืนได้ไหม พี่จะลองเอามารักษาดู เพราะนี่อาจจะเป็นความหวังสุดท้ายที่จะทำให้คิงจุ๊พญานกยักษ์มีโอกาศรอด"(อาริงมองหน้าวาเนสซ่าและพูดขอร้อง)
วาเนสซ่า : " เอ้า..นี่พี่เอาขนนกครึ่งนึงนี้ไปได้เลย " (วาเนสซ่ารีบถอดสร้อยคอขนนกศักดิ์สิทธิ์ให้อาริงทันทีด้วยสีหน้าที่ยิ้มและเต็มใจให้)
อาริง : " ขอบใจนะ "(อาริงรีบรับมาและนำขนนกศักดิ์สิทธิ์มาวางไว้บนตัวคิงจุ๊พญานกยักษ์ และอาริงก็พูดพึมพ่ำในใจว่า.. )
อาริง : "เจ้าแผลเพียบช่วยเจ้าคิงจุ๊พญานกยักษ์ด้วยนะได้โปรด..."(อาริงตอนนี้ก็ทำได้แค่ภาวนาให้ขนนกศักดิ์สิทธิ์นี้ช่วยคิงจุ๊พญานกยักษ์ให้ได้ และก่อนที่ทุกอย่างจะสายไป ปาฏิหารย์ก็เกิดขึ้น เมื่อขนนกศักดิ์สิทธิ์ครึ่งอันที่อาริงวางไว้บนอกของคิงจุ๊พญานกยักษ์ได้ซึมเข้าไปในตัวของคิงจุ๊พญานกยักษ์และแผลที่ถูกลูกธนูของวาเนสซ่ายิงแผลก็สมานกัน ตัวของคิงจุ๊พญานกยักษ์ก็อุ่นขึ้นเรื่อยๆ และสีหน้าของคิงจุ๊พญานกยักษ์ก็กลับมามีสีหน้าที่ดีขึ้นทันที แต่ขนนกศักดิ์สิทธิ์มีเพียงครึ่งเดียวที่ใช้ จึงทำได้แค่รักษาแผลให้หายแต่อาการเสียเลือดและอ่อนเพลียก็คงยังมีอยู่ อาริงเลยรีบอุ้มคิงจุ๊พญานกยักษ์เข้าไปนอนในบ้านของชาวเขี้ยวทมิฬ ส่วนลูฟเฟ่นก็สั่งให้ทหารและนักรบพักผ่อนกันได้เพราะที่เมืองวิลเดอวู้ดสามารถยึดกลับมาได้แล้ว และพักผ่อนเพื่อที่จะได้เตรียมตัวเดินทางไปที่เซาเทรินฟอร์ทต่อเมื่อถึงเวลา

1 ชั่วโมงต่อมา คิงจุ๊พญานกยักษ์ก็อาการดีขึ้นแต่ก็ยังอ่อนเพลียเพราะเสียเลือดมาก อาริงเลยเข้าไปพูดคุยกับคิงจุ๊พญานกยักษ์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม อาริงคุยกับคิงจุ๊พญานกยักษ์อยู่ประมาณ 10นาทีก็เดินออกมาหาพวกลูฟเฟ่นและเล่าเรื่องบางเรื่องให้ฟังเพราะอาริงเคยรู้จักและเคยอาศัยพักแรมกับคิงจุ๊พญานกยักษ์ด้วย เลยทำให้อาริงไม่เชื่อว่าคิงจุ๊พญานกยักษ์จะมีนิสัยแบบนี้เพราะพวกนกจุ๊เป้นพวกที่รักสงบ

อาริง : "ที่คิงจุ๊พญานกยักษ์มายึดเมืองและโจมตีเหล่ามนุษย์นั้น เพราะเมื่อเกือบ 1เดือนก่อนมีคนในชุดคลุมสีแดงมาจับลูกและเมียของมันไปเป็นตัวประกัน และยังส่งคนมาจับนกจุ๊เด็กๆไปอีกหลายร้อยตัวเพื่อเป้นตัวประกันเช่นกัน และชายในชุดคลุมสีแดงมันก็บอกว่า ถ้าอยากให้ลูกกับเมีย และนกจุ๊เด็กๆทั้งหมดปลอยภัย ต้องไปดูแลเมืองวิลเดอวู้ด และไปฆ่านักรบและถ่วงเวลาพวกนั้นไว้ ถ้าทำสำเร็จมันจะปล่อยตัวประกันทั้งหมด"(อาริงเล่าด้วยสีหน้าเศร้า)


ลูฟเฟ่น : "ไอ้พวกนี้มันเลวจริงๆ ทำได้ทุกอย่างเพื่องานของมันสำเร็จ"(ลูฟเฟ่นเอามือทุบโต๊ะอย่างแรง)
วาเนสซ่า : " ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย "(วาเนสซ่าร้องไห้และรีบเดินไปที่เตียงเพื่อขอโทษคิงจุ๊พญานกยักษ์ และคิงจุ๊พญานกยักษ์ไม่ถือโทษโกรธวาเนสซ่า เพราะต่างคนก็รู้ว่าแต่ละคนทำเพื่อหน้าที่ คิงจุ๊พญานกยักษ์ยังเอาปีกมาลูบหัวปลอบใจวาเนสซ่าเลย)
อาริง : "แบบนี้เราต้องรีบไปจัดการเรื่องสงครามให้จบสิ้นโดยเร็วแล้วละ "
ลูฟเฟ่น : " งั้นเดี๋ยวผมไปแจ้งข่าวให้เตรียมเดินทัพและไปเล่าเรื่องของคิงจุ๊พญานกยักษ์ให้กับเหล่านักรบฟัง และลูฟเฟ่นก็เดินออกจากบ้านไปและอาริงก็เดินเข้าไปปลอบใจวาเนสซ่าอีกทีว่าไม่ได้เป้นความผิดของใคร และเพียงแค่ 10นาที เคลริค5คนนั้นที่เคยปฎิเสธรักษาคิงจุ๊พญานกยักษ์ก็เดินเข้ามาในบ้าน และเข้ามาใช้เวทย์รักษาให้กับคิงจุ๊พญานกยักษ์ด้วยสีหน้าที่เศร้าและมีรอยน้ำตา คงเพราะได้ฟังเรื่องจากที่ลูฟเฟ่นเล่าแล้ว)

30 นาที ต่อมากองทัพของอาริงที่มีนักรบประมาณ 800คนและลูฟเฟ่นมีนักรบประมาณ1400 และปืนใหย่ของกอบบลินอีกประมาณ 20-25กระบอก ก็รวมเป้นกองทัพเดียวและมุ่งหน้าไปเมืองเซาเทรินฟอร์ท โดยที่อาริงสั่งให้พวกนักรบเขี้ยวทมิฬ 400คนดูแลเมืองของตัวเองอยู่ที่นี่และให้พลปืนใหญ่กอบบลิน30คนและปืนใหญ่ 10กระบอกประจำการที่เมืองวิลเดอวู้ดไปก่อนจนกว่าจะหมดสงคราม ซึ่งทุกคนก็เข้าใจดี และนักรบทุกคนก็เร่งเดินทางต่อทันทีเพื่อมุ่งหน้าเมืองเซาเทรินฟอร์ท.................

一番の宝物
Hero Member
*****
กระทู้: 6,540

.......


Re: Fan Fiction อสุรา " นักดาบสาวลูกครึ่งพันธ์อสูร" บทที่ 33 (18/11/52)
« ตอบ #494 เมื่อ: 18-11-2009, 10:43:02 »

ทำไมนักรบมันถึงไม่ยอมฟังกันเลย-*-

ถ้าอยู่ในสงครามจริงๆแล้วเราเป็นไก่ลุงเบนนะ(วนมาที่ไอตัวนี้อีกละ=_=)

จะจิกพวกนักรบให้ตายเลยย>_<

ป.ล.ตัวเองหนักกว่าใคร=_=;



ป้าย:
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35 ... 37