ผู้เล่นบางคนอาจจะยังไม่รู้ ว่าชื่อของสิ่งต่างๆในเกมนี้มีที่มา (ซ้ำก็ขออภัยนะคับ)
โกเลม
โก เลม (Golem) ตามตำนานของชาวยิว เป็นยักษ์ สูง 2-30 เมตร (มีทุกขนาด) ส่วนมากจะทำงานเป็นผู้เฝ้าประตูต่างๆ ที่สำคัญ (คงพอนึกถึงยักษ์ที่คอยทำงานให้ทัพของซารูแมน) ร่างจะเป็นหินรูปร่างใหญ่โตเดินช้าส่วนมากจะอยู่ในทะเลทราย
ว่ากันว่าพระชาวยิวในเมืองปราก (Prague) เมืองหลวงของเชโกสโลวะเกีย เป็นคนสร้างโกเลมขึ้น ในตอนนั้นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในสลัมของปรากกำลังถูกข่มเหง โกเลมจึงเกิดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ของการปกป้อง (Protection) โกเลมถูกสร้างขึ้นจากดินเหนียว และจะมีชีวิตเมื่อพระเขียนคำว่า shem (“ชื่อ”) บนกระดาษหนังแล้วใส่เข้าไปในปากของมัน นอกจากนั้นพระยังเขียนคำว่า emet (“สัจธรรม” Truth) บนหน้าผากของมัน
โก เลม (Golem) คือศาสตร์แห่งการสร้างข้ารับใช้ตามคติความเชื่อของชาวยิว ยูดา การสร้างโกเลมนั้น สามารถสร้างได้โดยการนำมูลดินมาปั้นเป็นรูปมนุษย์ มีรยางค์ทั้งห้าครบบริบูรณ์ คือ ศีรษะ แขน และขา การที่จะให้โกเลมมีชีวิตขึ้นมาได้นั้น คือการฝังรูปจารึกถ้อยคำอันศักดิ์สิทธิ์ คำว่า "EMETH" เป็นภาษายิว (ที่นี่ไม่มีฟอนท์ฮิบริว ไม่งั้นจะเขียนให้ดู) ซึ่งหมายถึง "สัจจะ" อาจจะเป็นแผ่นกระดาษ แผ่นไม้ หิน หรือสิ่งที่สามารถลงอักขระได้
โกเลมนั้นเปรียบได้กับ ชิกิงามิ หรือภูติรับใช้ตามคติของชินโต รับคำสั่งของเจ้านายและนำไปปฏิบัติอย่างเคร่งครัด โกเลมนั้น เด่นเรื่องพลังทางกายภาพ และความทนทานทางร่างกาย แต่ด้อยในเรื่องของพลังเวทย์ และการต้านทานพลังเวทย์ รวมไปถึงความรวดเร็วคล่องตัว นักเวทย์ทั่วไปจึงนิยมให้โกเลมเป็น "หน้าด่าน" ตั้งรับ ขณะที่ร่ายเวทย์ เพื่อป้องกันศัตรูจู่โจม
โกเลมถือเป็นสิ่งที่เรียกว่า มีจิตแต่ไร้วิญญาณ คือตายไปแล้ว จิตจะหายไป ไม่สามารถเกิดใหม่ได้ หรือสร้างใหม่ให้มีความทรงจำของตัวเดิมได้ เพราะไร้วิญญาณซึ่งเป็นที่พำนักของจิต มีแต่เพียงพลังเวทย์จากอักขระ EMETH เท่านั้นที่เป็นตัวขับดัน
การที่จะทำลายโกเลมนั้นแสนง่ายก็คือ ลบ ตัด หรือทำลายแผ่นอักขระ EMETH ให้เหลือเพียง "METH" ซึ่งแปลว่า "ความตาย" โกเลมตนนั้นก็จะสิ้นชื่อ กลับเป็นธุลีดินดังเคย
(ปล.โกเลมของจริงไม่เท่แบบนี้แน่ - -ii)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เดรก
มังกรนก กึ่งนกกึ่งมังกร รูปร่างเพรียวลมกว่าบรรดามังกรด้วยกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เยติ (Yeti) หรือ มนุษย์หิมะ (The Abominable Snowman)
เป็นมนุษย์วานรในตำนานของชาวภูเขาในเทือกเขาหิมาลัย ประเทศเนปาล คำว่า เยติ เป็นคำที่ชาวเซอร์ปาร์ผู้ที่อาศัยอยู่บนภูเขาสูงใช้เรียกมนุษย์วานรนี้
เยติ มีประวัติอันยาวนานมากที่สุดในบรรดาเรื่องราวของมนุษย์วานรทั้งหมดของชาว ภูเขา คนที่เคยเห็นมันเป็นบุคคลที่เชื่อถือได้ มูลของมันถูกนำมาวิเคราะห์ รอยเท้าถูกบันทึกภาพไว้และ ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริง เยติเริ่มเป็นที่รู้จักโดยบุคคลภายนอกจากนักบุกเบิก ในปลายยุค 1950 และ 1960 เยติเป็นตำนานที่มีค่าทางพาณิชย์กับประเทศเนปาล นำรายได้จากชาวต่างชาติ มีสายการบิน เยติแอร์ไลน์ และโรงแรม แยกแอนด์เยติ (Yak and Yeti, Yak หมายถึง จามรี) ณ วัดแห่ง หนึ่ง ในร่มเงาของยอดเขาเอเวอเรสต์ ท่านเจ้าอาวาสบอก ว่า มักจะมีฝูงเยติมาเยือนทางวัดอยู่ เสมอในแต่ละปี คำบรรยายที่มีสีสันของการโจมตีโดยเยติถูกรายงาน ไปยังกาฐมาณฑุ เด็กหญิงชาวเชอร์ปา ผู้หนึ่งชื่อว่า ลาคห์หาโดมานิ " เราไม่สามารถหาคำอธิบายอื่นใด ได้นอกจากว่านั้นคือ สิ่งมีชีวิตที่ไม่ปรากฏหลักฐานที่ยังต้องทำการ ค้นหากันต่อไป "
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
โทรลล์
หนึ่งในหมู่สิ่งมีชีวิตที่เป็นสัตว์ประหลาดกึ่งมนุษย์ พวกมันไม่ค่อยฉลาดเท่าใดนัก แต่มีอยู่ทั่วไปตามเนินต่างๆ ที่ตีน เทือกเขามิสตี้ เมื่อเผ่า เอลฟ์ ป้องกันไม่ให้เผ่าโทรลล์แพร่กระจายมาตามเขาทางใต้ พวกมันจึงใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนแห่งเอทเทนมัวร์ และโทรลล์เฟนส์ ซึ่งถูกเรียกชื่อนี้เนื่องจากมีเผ่าโทรล์จำนวนนับหมื่นนับแสนที่เรียกสถาน ที่นั้นว่าบ้าน เหล่า กอบลิน จะรุกรานพื้นที่นี้อยู่บ่อยๆ เพื่อจับโทรลล์ถ้ำมาเป็นทาส สิ่งมีชีวิตที่โชคร้ายเหล่านี้มักถูกใช้เป็นเหมือนทหารม้าหรืออาวุธบุกเมือง เนื่องจากกล้ามเนื้อของพวกมัน สามารถปราบศัตรูได้เกือบทุกคนที่เชื่องช้าหรือไม่ฉลาดพอ ที่จะหลบมันให้อยู่ในระยะปลอดภัย แม้แต่ คณะพันธมิตรแห่งแหวน ยังต้องพบกับอันตรายที่ยิ่งใหญ่เมื่ออยู่ในสถานที่ปิด กับโทรลล์ถ้ำตัวเดียวในเหมืองแห่ง มอเรีย โทรลล์ถ้ำนั้นมีจำนวนมากพอที่จะส่งออกไปเป็นกลุ่มเพื่อปะทะกับศัตรู พวกมันจะมีปัญหากับหอกและลูกธนูเป็นพิเศษ เนื่องจากไม่ฉลาดพอที่จะหลีกเลี่ยงอุปสรรคเหล่านี้ขณะที่พยายามเข้าประชิด ศัตรู นอกจากนี้โทรลล์ถ้ำ ยังอ่อนแอต่อแสงอาทิตย์จ้า สิ่งมีชีวิตเหล่านี้สามารถพบได้ทั่ว มิดเดิลเอิร์ธ และเป็นที่รู้กันว่าทั้ง เซารอน และเผ่ากอบลินจะเกณฑ์พวกมันเข้ามาในกองทัพทันทีที่พบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แวร์วูล์ฟ(บราววูฟในเกม) - ไลแคนท์
แวร์วูล์ฟ คือมนุษย์หมาป่าที่ ถูกกัดโดย มนุษย์หมาป่าอีกตัว ถึงจะเรียกว่า "แวร์วูล์ฟ(Were Wolf)"
ส่วน ไลแคนท์ เป็นมนุษย์หมาป่าที่ถูกสาบ ให้กลายเป็นมุนษย์หมาป่า จึงเรียกว่า "ไลแคนท์ ( Lycantrope )"
ความแตกต่างของ แวร์วูล์ฟ กับ ไลแคนท์
แวร์วูล์ฟ....จะแข็งแกร่งกว่าไลแคนท์ แต่ไลแคนท์จะรวดเร็วกว่าแวร์วูล์ฟ
แวร์วูล์ฟ....ตัวใหญ่กว่าไลแคนท์ และมีขนสีน้ำตาล-ดำ ส่วนไลแคนท์ จะมีขนสีขาว-เงิน
แวร์วูล์ฟ....จะสามารถแปลงร่างเป็นมุนษย์หมาป่าได้ ก็ต่อเมื่อเห็นดวงจันทร์เต็มดวงแล้วเท่านั้น แต่ไลแคนท์สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้ตามใจนึก
แวร์วูล์ฟ....เมื่อแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าแล้ว จะไม่สามารถควบคุมตนเองได้ แต่ไลแคนท์เมื่อแปลงร่างแล้วจะสามารถควบคุมตนเอง ได้ตามความนึกคิดของเจ้าของร่าง
แวร์วูล์ฟ....ชอบอากาศอบอุ่น จึงมักพบเห็นใน ฤดูร้อน ส่วนไลแคนท์ ชอบอากาศหนาวเย็น มักจะพบเห็นในแถวๆ ขั้วโลกเหนือ
แวร์วูล์ฟ....มักจะเป็น"ผู้ล่า"เสมอ ส่วนไลแคนท์มักจะเป็น"ผู้ถูกล่า"
Were Wolf
Lycantrope
หน้าตาเหมือนกันแต่ความสามารถต่างกัน~*
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ไซครอป ยักษ์ตาเดียว
ไซ คลอปคือยักษ์ที่มีตาเดียวอยู่กลางใบหน้า กล่าวกันว่าไซคลอปตัว (?) แรกเป็นบุตรของไกอา พระแม่ธรณี กับยูเรนัส สวรรค์ชั้นฟ้า (Uranus, the Heavenly Sky ..แต่งงานกับท้องฟ้าหรือเนี่ย!) Cyclopes จะเป็นอมนุษย์ยักษ์ตาเดียวครับ สามตัวเด่น ๆ คือ อาร์จีส บรอนทีส กับสเตอโรพีส ลูกของ ยูเรนัส (ท้องฟ้า) กับไกอา (ผืนดิน) ด้วยรูปลักษณ์อันน่าเกลียด ก็เลยถูกบิดา โยนเข้าไปในทาร์ทะรัส
ซุส เป็นผู้ช่วย Cyclopes ทั้งสามให้ออกจากการจองจำ เมื่อตอนทำสงครามกับเหล่าเทพไททันส์ ครับ Cyclopes สามตนจึงสร้างอาวุธให้กับสามพี่น้อง สายฟ้า ให้ซุส ตรีศูลโพไซดอน หมวกล่องหนให้ฮาเดสกับเกราะให้เทพอื่น ๆนอกจาก Cyclopes สามตนนี้ ก็มีตัวอื่นอีกหลายตัว ที่เด่น ๆ ชื่อโพลีฟีมัส ตัวที่ โอดิสซุส แล่นเรือหลงไปพบระหว่างทางกลับบ้านจากสงครามทรอย แล้วโอดิสซุส ก็ทำให้โพลีฟีมัสตาบอด
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
อัศวินไร้หัว ดูลาฮาน (Dullahan, Durahan, Gan Ceann)
เป็นภูตที่มีรูปร่างเป็นสตรีไม่มีหัวของทางแถบไอร์แลนด์ จะขี่ม้าไม่มีหัวที่ชื่อว่า Cóiste-bodhar มือข้างหนึ่งกุมบังเหียน ส่วนอีกข้างจะถือหัวของตัวเองไว้ เป็นสัญลักษณ์แห่งความตายเช่นเดียวกับแบนชี จะปรากฏตัวใกล้ ๆ กับบ้านที่จะมีคนตาย และจะหยุดอยู่ที่หน้าบ้านนั้น เมื่อคนในบ้านเปิดประตูออกมาก็จะเอาถาดที่มีเลือดอยู่เต็มสาดที่หน้า และในบางที่ก็จะเรียกดูราฮานว่า "อัศวินไร้หัว" อีกด้วย โดยมีรูปร่างเป็นนักรบซอมบี้สวมชุดเกราะที่ไม่มีหัว ขี่ม้าที่ไม่มีหัวด้วยเช่นกัน อีกทั้งคล้ายกับยมฑูตคือคอยล่าวิญญาณของมนุษย์
ปล.ของแท้ต้องขี่ม้า ^^
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แมนเดรก
แมนเดรก เป็นพืชสมุนไพรที่ปราศจากลำต้น มันมีรากใหญ่สีน้ำตาลและมีใบสีเขียว มันมีความสูงประมาณ 4 นิ้ว แมนเดรกออกดอกในช่วงมีนาคมถึงเมษายน และมีผลในช่วงฤดูร้อน ดอกมีสีแตกต่างกัน ตั้งแต่ขาวถึงเหลือง มีรูปทรงคล้ายถ้วย แมนเดรกเป็นพืชพื้นเมืองของหิมาลายาและเมดิเตอร์เรเนียน
แมนเดรกเป็นพืชที่มีอยู่ในโลกจริงๆ แมนเดรกมักถูกเรียกว่า แมนดราโกรา ในขณะที่อาหรับเรียกว่า แอปเปิ้ลของซาตาน แมนดราโกราเป็นคำที่มาจากภาษากรีก มีความหมายว่า เป็นอันตรายต่อปศุสัตว์ เชื่อกันว่า ถ้าให้สตรีกินเข้าไป แล้วจะตั้งครรภ์
ในคัมภีร์ไบเบิลจากหนังสือปฐมกาล กล่าวถึงต้นแมนเดรก (ไบเบิลฉบับภาษาไทย แปลว่า "มะเขือดูดาอิม" ว่า นางราเชลขอต้นไม้นี้มาจากพี่สาวที่ชื่อ นางเลอาห์ เพราะราเชลยังไม่มีลูก ต่อมาภายหลังนางราเชลก็มีลูก และตำนานอื่นๆ เล่า ต้นนี้เป็นพืชที่มีความสัมพันธ์กับความเสเพล และความยั่วยวนของเทวีวีนัส
แมนเดรกเป็นส่วนผสมสำคัญที่ใช้ในยาแก้พิษส่วนใหญ่ โดยเฉพาะช่วยให้คนที่ถูกสาป หรือถูกแปลงร่างกลับคืนสภาพเดิมได้ แมนเดรกมีอันตรายอย่างยิ่งยวดเนื่องจากเสียงร้องของมัน เชื่อกันว่า มีผีสิงอยู่ที่รากของแมนเดรก ซึ่งหากถอนขึ้นมา ผีจะกรีดร้องโหยหวน และทำให้คนที่ได้ยินถึงตายได้
(ปล.มันจะมีตัวผู้กับตัวเมีย)
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เอลฟ์ (Elf)
คือสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ในตำนานนอร์สและตำนานปรัมปราในกลุ่มประเทศเจอร์เมนิก (สแกนดิเนเวียและเยอรมัน) เมื่อแรกเริ่ม แนวคิดเกี่ยวกับพวกเอลฟ์คือ ชนเผ่าที่เกี่ยวข้องกับธรรมชาติและเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ภาพวาดของชนเหล่านี้มักเป็นมนุษย์ทั้งชายและหญิงที่แลดูอ่อนเยาว์และงดงาม อาศัยอยู่ในป่า ในถ้ำ ใต้พื้นดิน หรือตามบ่อน้ำและตาน้ำพุ มักเชื่อกันว่าพวกเขามีชีวิตยืนยาวมากหรืออาจเป็นอมตะ รวมทั้งมีพลังเวทมนตร์วิเศษ แต่หลังจาก ลอร์ดออฟเดอะริงส์ ผลงานอันโด่งดังของ เจ. อาร์. อาร์. โทลคีน ปรากฏออกมา ภาพของเอลฟ์ก็กลายเป็นผองชนผู้เป็นอมตะและเฉลียวฉลาด ทั้งที่คำว่า เอลฟ์ ในวรรณกรรมของโทลคีนมีความหมายแตกต่างไปคนละทางกับตำนานโบราณโดยสิ้นเชิง นอกจากนี้ เอลฟ์ยังมีบทบาทสำคัญอยู่ในวรรณกรรมแฟนตาซีสมัยใหม่ และเป็นตัวละครพื้นฐานในเกมแฟนตาซียุคใหม่ด้วย
พวกเอล์ฟตื่นขึ้นในยุคที่หนึ่งของ ยุคแห่งพฤกษา ที่ริมทะเลสาบ คุยวิเอเนน ทางตะวันออกของ มิดเดิ้ลเอิร์ธ เวลานั้นโลก อาร์ดา ยังไม่มีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ มีแต่เพียงแสงสว่างจากแสงดาว พวกเอล์ฟจึงมองเห็นแสงดาวเป็นสิ่งแรก และหลงรักในแสงดาวเหล่านั้น
เทพ โอโรเม เป็น วาลา องค์แรกที่มาพบการตื่นของพวกเอล์ฟ และนำข่าวกลับไปแจ้งยังวาลินอร์ ในยุคนั้นวาลาร์ทั้งปวงอาศัยอยู่ที่วาลินอร์บน ทวีปอามัน ส่วนมิดเดิ้ลเอิร์ธตกอยู่ใต้การก่อความวุ่นวายของ เมลคอร์ เมลคอร์ยังลอบจับตัวเอล์ฟบางคนไปทรมานและดัดแปลงให้กลายเป็น ออร์ค เหล่าวาลาร์จึงมีดำริให้พวกเอล์ฟอพยพมาอยู่ที่ทวีปอามันด้วยกัน เมื่อนั้นจึงเกิดเป็น การเดินทางครั้งใหญ่ ( The Great Journey ) เป็นเหตุให้เกิดการแบ่งชาติพันธุ์ของเอล์ฟเป็นกลุ่มต่างๆ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก็อบลิน (Goblin)
คือเป็นพวกโนมที่มีรูปร่างวิกลวิการ พวกมันชอบเล่นสนุก แต่บางครั้งก็ชั่วร้ายและเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมสามารถทำอันตรายแก่ผู้คน รอยยิ้มของก็อบลินทำให้เลือดหยุดไหล เสียงหัวเราะทำให้นมบูดและผลไม้หล่น ก็อบลินมีต้นกำเนิดมาจากฝรั่งเศส
นึกออกแค่นี้ ถ้านึกได้มาเอามาแปะใหม่ ^^