คำเตือน บทความเรื่องนี้อาจให้ภาพหรือเสียงที่ไม่เหมาะสม ผู้อ่านอายุต่ำกว่า 13 ปี ควรมีผู้ปกครองดูแลอย่างใกล้ชิด
บทที่ 1 ปฐมบทแห่งศรัทธา
ตอน ตำนานสงครามศักดิ์สิทธิ์ตอนที่ 1
ใช่ แล้วนี่แหละ วิถีชีวิตของเรา วิถีชีวิตแห่งพาราดิน อัศวินแห่งลูซิสเอ๋ย จงต่อสู้ ยืนหยัดบนหอกกางเขนอันศักดิสิทธิ์ของเรา และจงพลีชีพของเจ้าเพื่อเป็นเครื่องบูชาแห่งความศรัทธา
น้ำเสียงบุรุษชราที่เปี่ยมด้วยความศรัทธา ให้ความรู้สึกที่ตรงกันข้ามกับสภาพที่ดูร่วงโรยไปมาก แต่สามารถสร้างความหึกเหิมและเติมไฟอันร้อนแรงให้กับบรรดานักรบแห่งลูซิสกว่า
หลายหมื่นชีวิตที่ได้มาร่วมชุมนุม ณ ลานหน้าวิหารเมทัลลิกาในงานฉลองวันครบรอบอีกทศวรรษหนึ่งนช่วงอายุขัยของชายชราผู้นี้ สายตานับร้อยนับพันจ้องด้วยความชื่นชม ยกย่อง และเถิดทูลความเสียสละของเขาที่มีต่อศาสนจักร แม่ทัพที่สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับองค์พระสันตะปาปาในยุคสงครามศักดิ์สิทธิ์ ระหว่างศาสนจักรวิหารแห่งลูซิสและโลกมนตราแห่งความมืด
และเป็นชัยชนะที่มีความหวังอันริบหรี่ เหล่าบรรดาเครลิคและนันกว่าหมื่นชีวิตที่ถูกจับไปทรมานจากความทะเยอทะยานที่จะครอบครองโลกของนักรบมนต์ดำวอลลอค
หลายร้อยชีวิตที่ต้องสังเวยเวทย์ แผ่นดินถูกสาปมืดและหนาวเย็น กลิ่นไอแห่งความตายกำลังคืบคลานไปทั่วผืนปฏพี แต่มีเพียงที่เดียวที่รอดพ้นจากบ่วงแห่งอาทรัม
มีเพียงที่เดียวที่แสงตะวันสาดส่อง นั้นคือวิหารเมทัลลิกาแห่งลูซิส และผู้ถูกเลือกให้เป็นตำนานแห่งความศรัทธาคือเขาเพียงผู้เดียว อังเดร เดอ นอท ด้วยอำนาจแห่งศรัทธา
และพลังแห่งลูซิสที่พิทักษ์ร่างของเขา เกราะเหล็กแห่งดูราฮานที่สืบทอดมาจากต้นตระกูลเดอ นอท หอกกางเขนโบราน และโล่ห์เหล็กพญาอินทรีย์อาวุธคู่กาย
ที่สานต่อความเป็นพาราดินจากบรรพบุรุษมาจนถึงตัวเขา ความหวังเดียวแห่งศาสนจักรและชาวโลกแห่งความสว่างอยู่ที่เขาและเพื่อนทหารหาญที่ต้องพลีกายถวายวิญญาณให้กับศึกครั้งนั้น
การปะทะกันกับแม่มดผู้ที่ต้องการครองโลก เรน่า กับกองทัพวอลลอคที่เกิดขึ้นจากการนางแม่มดร้าย เรน่า เหตุการณ์การจับตัวบรรดานักศึกษาเวทย์ 30,000 ชีวิต
ที่เพิ่งจบการศึกษาจากที่ค่ายเวทย์ ท่ามกลางงานเลี้ยงฉลองวันจบการศึกษา ซึ่งว่ากันว่ามีอาจารย์ในค่ายบางคนรู้เห็นเป็นใจกับเหตุการณ์จับตัวนักศึกษาในครั้งนี้
เรน่าสาปนักศึกษาทั้งหมดดุจคนไร้วิญญาณความรู้สึก ล้างสมองและถ่ายทอดคาถาเวทย์มนต์ดำขั้นสูงให้แก่พวกเขา เพื่อจะใช้ให้พวกเขาเป็นเครื่องมือของนางแม่มดเรน่า
แล้วมันก็จริงนางสามารถครอบครองครึ่งค่อนโลกภายในเวลาไม่กี่สิบวัน โลกตกอยู่ในความมืดและความตาย วอลลอคทั้งสามหมื่นคนกระจายไปทุกสารทิศ
ที่สุดท้ายที่เหลืออยู่และการครอบครองโลกของแม่มดเรน่ากำลังจะสำเร็จนั้นคือ พระวิหารเมทัลลิกา หมู่บ้านเรดคลิฟที่เคยมีชีวิตชีวาถูกครอบงำด้วยความมืด
และเป็นค่ายทัพวอลลอค นางเดินทางมาด้วยตัวเองพร้อมเหล่าวอลลอค หวังเอาชีวิตของสันตะปาปาและเหล่านักรบศักดิ์สิทธิ์กลุ่มสุดท้ายที่เหลืออยู่
เพียงทะเลเท่านั้นที่กั้นความสำเร็จของนาง นางอัญเชิญฝูงผู้นำสารแห่งความมืด ข้ามทะเลผืนนี้ไป และในที่สุดความมืดก็มาถึงพระวิหาร และแสงทองกำลังจะสิ้นไป
เมฆฝนแห่งความมืดปกคลุมทั่วบริเวณ กองทัพศักดิ์จำนวนไม่กี่พันที่เฝ้าวิหารพร้อมยุทธภัณฑ์กำลังรับพรสุดท้ายจากสันตะปาปา
ประตูพระวิหารเปิดขึ้นเป็นสัญญาณของการเปิดฉากการศึกในครั้งนี้
"ข้าต้องการเพียงวิหารนี้เป็นที่สุดท้าย เพื่อโลกแห่งความมืดของข้าจะได้รู้ว่า ข้าเท่านั้นที่เป็นหนึ่งเดียว"
นางแม่มดเรน่าก้าวเข้ามาในวิหาร พร้อมกลิ่นไอแห่งความแค้น
"บังอาจ นังแม่มดร้ายจงเอาความบาป ความโสมม ของเจ้าออกจาวหารศักดิ์สิทธิ ์ เดี๋ยวนี้"
เสียงอัศวินอังเดรตะโกนจากหน้าแท่นบูชา ข่มนางได้ไม่น้อย
เฮอะ วิหารอันศักดิ์สิทธิ์ ฮะฮะฮะฮ่า ข้าอยากจะขำนัก วิหารอันศักดิ์ ท่านอัศวินอังเดร ท่านกล้าพูดคำนี้หรอ .....เรน่าพูดพร้อมกับกวักมือให้วอลลอคนายหนึ่งเอาตัวหญิงสาวในชุดนักบวชเข้ามาในพระวิหาร.......นี่นะเหรอ ที่ศักดิ์สิทธิ์ ท่านรักนางใช่มั้ยท่านถึงไม่เลือกข้า ท่านตามนังนี้มา ท่านทิ้งข้ามา ท่านมาอยู่ในวิหารนี้ก็เพราะมัน ข้าโดดเดี่ยวเพราะข้าไม่อาจรักใครได้อีก ข้าเจ็บปวด และวันนี้ข้าจะทำท่านดูว่าข้ามีค่าควรแก่ท่านมากกว่านังชีนี่แค่ไหน
มันไม่เกี่ยวกัน.....เจ้าอยากครอบครองทุกอย่างแม้แต่ตัวข้า ใจของข้า แต่นางบริสุทธิ์นางไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าข้ารักนาง
เห็นมั้ยละ ท่านก็เป็นแค่อัศวินจอมปลอม ท่านยอมรับออกมาแล้ว ว่าท่านมาอยู่ในวิหารเนี่ยเพราะจุดประสงค์ของตัณหา
ไม่ใช่ ข้าอยู่ที่นี่เพื่อรับใช้ศาสนจักรด้วยความศรัทธามั่น และข้าก็ูถูกเลือกให้กำจัดเจ้า
เจ้าเห็นมะ ว่ามีพื้นที่ไหนบ้างที่มีความสว่างหลงเหลืออยู่ ไม่มี และข้าจะปิดฉากท่านกับนาง มาอยู่กับข้าเถอะ ข้าจะไว้ชีวิตท่านและข้าจะให้ท่านเป็นราชาแห่งวินโดเนีย
ไม่มีทาง ข้าไม่ได้รักเจ้า และข้าก็ไม่มีทางขายวิญญาณให้กับซาตานอย่างเจ้าหรอก
แล้วโจเซฟละ ท่านทิ้งเขาได้ยังงัย เขาทำอะไรผิด เขาเป็นลูกท่านนะ
ความผิดมันเกิดจากเจ้า เจ้าอยากครอบครองข้า แต่ความสัมพันธ์ทางกายก็ไม่อาจให้ข้ารักเจ้าได้ หากท่านจะเอาลูกมาให้ข้า ข้าก็จะฟูมฟักให้เขาอยู่ในทางที่พระเจ้าทรงเลือก
ไม่ ลูกของข้า ข้าเลี้ยงเองได้ และถ้าท่านไม่ไปกับข้า ข้าจะกำจัดที่นี้ซะ และหากวันนี้ท่านรอดไปได้ลูกของท่านจะเป็นคนเด็ดศรีษะของท่านเอง...........ทันใดนั้นนางก็โยนหญิงสาวคนนั้นลงกับพื้นพร้อมกับชี้ไม้เท้าคู่ใจไปที่หน้าของเธอ
อย่า........อย่านะ เรน่า นางไม่เกี่ยว
รักกันมาใช่มะ ข้าจะพรากมันไปอยู่ปรโลก.......สาป เป็น หิน ร่างหญิงสาวกลายเป็นหินอย่างช้าๆ
ไม่ มาเรีย มาเรีย ไม่....................อัศวินแห่งลูซิส หลั่งน้ำตาแห่งความรัก คนที่เขารักกำลังลาโลกไปอย่างช้าๆ..............เรน่า เจ้าใจร้ายนัก ใจเจ้าทำด้วยอะไร ข้าอยากจะรู้นัก
ที่นี้ข้าก็หมดเสี้ยนหนามไปแล้วเจ้าจะกับไปอยู่กับข้าหรือไม่ ท่านอังเดร ฮะฮะฮะฮะฮะ
ข้าจะไม่ไปกับเจ้า เจ้าผู้หญิงใจร้าย ใจอำมหิต จิตสกปรก
น้อมรับคำชมท่านอัศวิน ถ้าท่านยังดื้ออยู่ละก็ข้าก็จะไม่เตือนท่านอีกแล้ว เด็กๆ เด็ดลมหายใจทุกลมในวิหารนี้ ส่วนอัศวินอังเดรข้าจัดการเอง.....ทันใดนั้น วอลลอคผู้รับใช้นางเรน่าก็กรูเข้ามาในลานหน้าวิหาร
ทหารของพระเจ้า จงลุกขึ้นต่อสู้ถวายความศรัทธาเถิด เทพแห่งลูซิสขอท่านปกป้องเหล่าทหารด้วย...........เมื่อสิ้นสุดเสียของอัศวินอังเดร ทหารทุกนายก็ลุกขึ้น ตั้งโล่ประจำตัวเป็นแถวเพื่อจะฝ่าเหล่าวอลลอคที่ขวางอยู่หน้าวิหารออกไป แสงจากหลังคาของวิหาร คล้ายกับเป็นการอวยพรของลูซิส ออร่าเคลือบเกราะของนักรบแห่งลูซิสและเกราะดูราฮานของอัศวินอังเดรเปล่งประกายราบกับว่าเกราะนี้กลายเป็นเพชร
.......พาราดินทั้งหลาย โล่ห์กระแทก.......เหล่าพาราดินที่ก่อตัวกันเมื่อครู่บัดนี้ได้กลายเป็นก้อนหินใหญ่มหึมาเรืองแสงแห่งลูซิสพุ่งเข้าสู่กองทัพวอลลอคนับหมื่นด้านหน้าประตู กระจายไปคนละทิศคนละทาง ดับชีวิตวอลลอคที่โดนโล่ห์กระแทกนี้พุ่งเข้าใส่อย่างจังในทันทีกว่าร้อยศพ สงครามนองเลือดกำลังจะเกิดขึ้น
......อาภรณ์แห่งอาทรัม.....เด็กๆของข้าสวมใส่และจงเรียกสายฝนแห่งความมืดออกมา.... ทันใดนั้นเอง บรรยากาศแห่งความมืดคืบคลาน ออร่าสีดำน่าสพึงกลัวถุกขับออกมาจากชุดนักรบวอลลอดสีดำคลิบแดง เหล่าววอลลอคเอาลูกแก้วที่ขับไอความมืดออกมา พร้อมกับร่ายเวทย์ แววตาที่ไปหลงเหลือความเมตตาของความเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย น้ำเริ่มหยดจากฝากฟ้าเป็นสีแดงเหมือนเลือด เกราะของพาราดินเมื่อโดนสายฝนนี้ก็เกิดเป็นควันเล็กๆลอยขึ้นมา คุณพระ เกราะที่แข็งแกร่งดุจดังเพชรก็ไม่ปานกำลังละลาย สายฝนห่านี้กำลังกลายเป็นน้ำกรดดีๆ นี่เอง มีเพียงเกราะดุราฮานของอัศวินอังเดรเท่านั้นที่เหมือนว่าไม่สะทกสะทานอะไร ฝนแห่งสายเลือดโหมแรงขึ้น เกราะของเหล่าพาราดินละลายจนถึงชั้นใน จนถึงเนื้อ เหล่าทหารหาญก็เริ่มแสบร้อนและร้องครวญอย่างทรมาน บรรยากาศโหยหวญ ชวนขนลุก เสียงอัศวินอังเดรดังขึ้น
........ พี่น้องของข้าอย่าได้ เสียสติ จงเพ่งจิตอธิษฐาน ขอพร จากลูซิส ให้ท่านมีร่างกายที่แข็งดุจเหล็กไหล โอ้เทพลูซิส ขอจงอวยพรแก่ข้าและทหารของท่าน ให้มีกายาเหล็กไหลด้วยเถิด.....ลำแสงเปล่งประกายจากร่างกายของเหล่าพาราดิน แปลกที่น้ำฝนทำลายเกราะของหล่าพาราดินได้แต่บัดนี้ไม่อาจจะทำอะไรได้อีกต่อไปผิดกับเมื่อครู่ที่สายฝนดูเหมือนจะคร่าชีวิตเหล่าพาราดินไปสู่ยมโลกเสียแล้ว
ติดตามตอนต่อไป นะจ้ะ
kim jun bi