อุบัติเหตุทางรถยนตร์ ได้พลิกชีวิตของหญิงสาวผู้หนึ่งไปตลอดกาล
หม่า ลี(Ma Li) อายุเพียง 19 เืมื่อเธอประสบอุบัติเหตุ เธอคืนสติขึ้นมาท่ามกลางการรอคอยทั้งน้ำตาของคนในครอบครัว
เธอยังไม่เข้าใจความโศกเศร้าของพวกได้อย่างถ่องแท้ จนเมื่อความกระหายทำให้เธอนึกเอื้อมมือคว้าแก้วน้ำ
เพียงเพื่อทีจะได้รู้ว่าเธอนั้นไม่มีแขนขวาอีกต่อไป
พร้อมกับความจริงก็คือ อุบัติเหตุไม่เพียงพรากแขนขวาไปเท่านั้น ยังพรากความฝันไปจากเธออีกด้วย
ความพยายามเป็นสิบปีทำให้ หม่า ลี กำลังจะได้เป็นนักเต้นอาชีพอย่างที่เธอใฝ่ฝัน
หากการสูญเสียแขนขวาไม่สามารถทำให้เธอก้าวคืนสู่เส้นทางเดิมได้อีก หม่า ลี ยอมรับว่า ในช่วงเวลานั้น
เธอไม่แน่ใจว่าสิ่งไหนนั้นยากกว่ากัน ระหว่างการยอมรับว่าตนเองต้องกลายเป็นคนพิการ
หรือการยอมรับความจริงว่า ความฝันของเธอคงต้องกลายเป็นความฝันไปตลอดกาล
"ฉันเคยคิดฆ่าตัวตาย" หม่า ลี ยอมรับ การเต้นบัลเลต์เป็นศาสตร์ที่ละเอียดอ่อนซึ่งต้องอาศัยการทรงตัวที่ดีเยี่ยม
และใช้ร่างกายในการสื่อสารแทนคำพูด หากในช่วงเวลานั้น แม้แต่การใช้ชีวิตประจำวันยังเต็มไปด้วยความยากลำบาก
เธอยอมแพ้กับโชคชะตาอยู่ 1 ปีเต็ม ปลีกตัวจากสังคมมาเก็บตัวอยู่ในบ้านและทุ่มเทความพยายามทั้งหมด
ในการฝึกใช้แขนซ้ายที่เหลืออยู่ของเธอ
แม้จะเต็มไปด้วยความสับสนและทุกข์ใจ ความเข้มแข็งในตนเอง และความรักจากคนในครอบครัว
ในที่สุดหม่า ลี ก็ปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ได้ ความเป็นผู้หญิงที่รักความสวยงามของเธอ ก็จุดประกายความคิดในการดัดแปลงเสื้อผ้า
ให้ปกปิดแขนขวาที่หายไป หม่า ลี เริ่มมีแนวคิดการทำธุรกิจดีไซน์เสื้อผ้าที่เหมาะกับผู้หญิงพิการ
รวมทั้งเปิดร้านหนังสือเล็กๆ ของเธอเอง ชีวิตของเธอจึงเริ่มก้าวเดินอีกครั้ง แม้จะไม่ใช่เส้นทางเดิม
แต่ก็ไม่ใช่ทางแห่งความผิดหวังในการสูญเสียอีกต่อไป
จนในที่สุด โอกาสในการกลับคืนสู่ความฝันของเธอก็มาถึง
ในปี 2001 หม่า ลีได้รับการติดต่อจาก Henan Disabled Persons' Federation (HDPF)
เพื่อเข้าร่วมประกวดศิลปะการแสดงสำหรับผู้พิการ
"ฉันทั้งประหลาดใจ แล้วก็หดหู่ใจที่จะต้องเปิดเผยด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ
ของฉันต่อหน้าผู้คน"
ในตอนนั้น หม่า ลี เต็มไปด้วยความสับสน เธอไม่แน่ใจเลยว่านักเต้นบัลเลต์ที่ไม่มีแขนขวาจะสามารถหมุนและทรงตัวได้
หากการผลักดันของครอบครัวและโอกาสที่จะเป็นนักเต้นบัลเลต์อีกครั้ง ทำให้เธอตัดสินใจตอบรับคำเชิญนี้
เพื่อคว้าเอาความฝันของเธอคืนมา
และเธอก็ทำสำเร็จ
"...ฉันประทับใจในความพยายามในการไล่ตามความฝันของผู้พิการใน HDPF และมันทำให้ฉันตัดสินใจก้าวไปตามสิ่งที่ใจฉันปรารถนา..."
"...ฉันได้ค้นพบตัวเองอีกครั้ง"
:: ชายหนุ่มผู้ไร้ขาซ้าย ::
ไจ้ เสี่ยวเว่ย (Zhia Xiaowei) ประสบอุบัติเหตุเมื่ออายุ 4 ขวบ และจำเป็นต้องตัดขาซ้ายเพื่อรักษาชีิวิต
เขากล่าวว่าในตอนนั้นเขายังเด็กจนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย ก่อนที่หมอจะส่งตัวเขาเข้าห้องผ่าัตัดนั้น พ่อของไจ้เข้ามาพูดกับเขาว่า
"ต่อจากนี้ ลูกจะต้องพบกับความเจ็บปวด
และความยากลำบากอีกมากนัก เตรียมตัวให้พร้อมเข้าไว้"
"ความเจ็บปวดกับความยากลำบากคืออะไรเหรอครับ มันอร่อยไหม"
ไจ้ เสี่ยวเว่ย วัย 4 ขวบ ตอบพ่อของเขาไปเช่นนั้น ผู้เป็นพ่อหัวเราะทั้งน้ำตา
"ใช่ มันก็เหมือนขนมของโปรดของลูกนั่นล่ะ
จำไว้ ต้องค่อยๆกินทีละคำนะลูก"
ไจ้ เสี่ยวเว่ย เิติบโตมากับครอบครัวที่เข้มแข็ง ซึ่งปลูกฝังให้เขามองชีวิตในด้านบวก แม้ผ่านชีวิตวัยเด็กด้วยความสะดวกสบายน้อยกว่าคนอื่น
แต่ไจ้ก็ไม่เคยปล่อยให้ความพิการมาเป็นอุปสรรคต่อความฝันของเขา
ทักษะด้านกีฬาและยิมนาสติกของไจ้ เข้าขั้นดีเยี่ยม เขาเข้ารับการฝึกฝนและครูฝึกของเขาก็เคยกล่าวว่าความสามารถของเขา
มีหวังจะได้เข้าแข่งโอลิมปิก ทว่าวันหนึ่งในปี 2005 อนาคตของไจ้ของมีเส้นทางใหม่เปิดขึ้นอีกครั้ง มันไม่ใช่เส้นทางสู่เหรียญทองโอลิมปิก
หากคือเส้นทางสู่เวทีในฐานะนักเต้นบัลเลต์คนหนึ่ง
..... เขาได้พบกับผู้หญิงที่ชื่อ หม่า ลี
หลังจากได้รับชัยชนะในการประกวดที่ HDPF หม่า ลีเดินทางมาสู่ Bejjing ในปี 2002 เพื่อการเริ่มต้นชีวิตใหม่ในฐานะนักบัลเล่ต์
เธอกับ หลี่ เต๋า คนรักของเธอก็ร่วมกันคิดค้นการแสดง "Hand in Hand"
ขึ้นในปี 2005 โดยได้แรงบันดาลใจมาจากชีวิตของเธอเองการแสดงนี้ถ่ายทอดถึงอารมณ์ของผู้ที่ต้องต่อสู้กับความสูญเสีย
สะท้อนถึงความสวยงามในความไม่สมบูรณ์แบบ และการเติมเต็มซึ่งกันและกันด้วยความรัก
"ฉันตามหาคู่เต้นชายมาตลอด และในที่สุด
ฉันก็ได้พบกับ ไจ้ เสี่ยวเว่ย"
ในขณะนั้นไจ้เพิ่งเข้ามาร่วมฝึกเป็นนักกีฬาในโครงการ HDPF เขาไม่เคยมีประสบการณ์เต้นรำมาก่อนเลย
หากวันหนึ่ง หม่า ลี ก็เข้ามาพูดกับเขาในระหว่างที่กำลังฝึกว่า
"เธอชอบเต้นรำรึเปล่า"
คำถามของหม่าทำให้เขารู้สึกเหมือนโดนทุบด้วยค้อน
"ในตอนนั้นผมคิดแต่ว่า ผมจะไปเต้นได้ยังไงทั้งๆ ที่มีขาแค่ข้างเดียว"
ไจ้เล่าความรู้สึกตอนนั้นให้ฟัง
ด้วยเสื้อผ้าที่ออกแบบมาปกปิดแขนขวาของหม่า ทำให้ตอนนั้นไจ้ไม่รู้ว่าเธอพิการแขนขวา ไจ้ขุ่นเคืองที่เธอถามคำถามอย่างนั้น
เลยทำเป็นไม่สนใจคำถามต่อๆมาของเธอ
"เธอชื่ออะไร"
"ขอเบอร์หน่อยได้ไหม"
"บ้านอยู่ที่ไหน"
เขาตอบเธอด้วยความเงียบ
หากหม่าก็ไม่ละความพยายามในการชักจูงเขา
เธอทิ้งบัตรชมการแสดงให้เขาเข้าชมในอีก 2 วันให้หลัง
และนี่คือสิ่งที่จุดประกายเขา
"การแสดงของเธอทำให้ผมขนลุกไปแทบทั้งตัว
เธอเต้นได้ยอดเยี่ยมเหลือเกินทั้งๆ ที่มีแขนแค่ข้างเดียวอย่างนั้น"
ในที่สุดไจ้ก็เข้าใจว่าทำไมเธอถึงถามคำถามเช่นนั้นกัับเขา
แม้ไจ้จะมีประสบการณ์ในการเต้นรำเท่ากับศูนย์แต่หม่า ลี ก็ทำให้เขาอยากเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความฝันของเธอ
เขาย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับหม่า ลี และคนรักของเธอนานนับปี พวกเธอปฏิบัติกับเขาราวกับเป็นพี่น้อง
ไจ้ เสี่ยวเว่ย รู้สึกว่าเขาไม่ได้เป็นแค่หุ้นส่วนในความฝันของพวกเธอเท่านั้น
แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวเดียวกันไปเสียแล้ว
แม้จะมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพิการของพวกเขาเป็นอุปสรรคในการเต้น
ไจ้ เสี่ยวเว่ยไม่มีประสบการณ์ใดๆเลย หากหม่า ลี เป็นผู้ที่คาดหวังในความสมบูรณ์แบบ
สิ่งที่พวกเขาขาด ต้องแทนที่ด้วยความพยายามที่มากกว่าเดิมเป็นร้อยเป็นพันเท่า
พวกเขาฝึกซ้อมโดยไม่มีวันหยุด เริ่มตั้งแต่แปดโมงเช้าไปจนถึงสองทุ่ม หรือในบางวันก็ยาวเลยจนถึงห้าทุ่ม
ความก้าวหน้าค่อยๆ เห็นผลได้ทีละนิดแต่มันก็มาพร้อมกับความผิดพลาดด้วยเช่นกัน
"ผมทำเธอหล่นกระแทกพื้นแข็งๆเป็นพันครั้ง"
ไจ้ เสี่ยวเว่ย เล่าถึงการฝึกซ้อมให้ฟัง
ไม่เพียงแต่ความยากลำบากในการเอาชนะข้อจำกัดในร่างกายเท่านั้น เมื่อต้นปี 2007 พวกเขาก็เผชิญกับวิกฤตทางการเงิน
และนี่เป็นสิ่งที่ทำให้ตัดสินใจเข้าร่วมการประกวด CCTV ซึ่งเป็นเวทีระดับชาติ ในฐานะคู่เต้นผู้พิการคู่แรก
"ทีแรกเรากลัวว่าเขาจะปฏิเสธการสมัครของเราด้วยซ้ำ"
หม่ากล่าว "แต่ฉันก็ประหลาดใจมากที่เขาติดต่อกลับมา
แล้วก็ดูจะสนใจในตัวเรามาก"
และในที่สุดพวกเขาก็ได้ก้าวเข้าสู่แสงไฟอย่างแท้จริง ท่ามกลางการเฝ้าดูของสายตานับล้าน
การแสดงของหม่า ลี และ ไจ้ เสี่ยวเว่ย ไม่ได้มีเพียงแค่ความสวยงามของเทคนิคและท่วงท่า
หากคือความไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาต่างหาก .. ที่เข้าสัมผัสถึงทุกหัวใจ
เขาและเธอทำให้ผู้คนทั้งโลกได้เห็น ความสวยงามของความไม่สมบูรณ์แบบ
และการเติมเต็มสิ่งที่ขาดไปด้วยรัก
พวกเขาคือ "ความหวัง" ที่มีชีวิต ..
เครดิต : http://atcloud.com/stories/85462
ถึงจะยาวไปหน่อย แต่ก็อยากให้อ่านกัน TwT
ปล. ถ้าซ้ำหรือรู้กันถ้วนหน้าเรียบร้อยแล้ว ก็ขออภัยนะคะ ตามคนอื่นไม่ค่อยทัน = =;