สธ.เตือนให้ระวัง พิษจาก "ด้วงก้นกระดก" ทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังอย่างเฉียบพลัน หากถูกพิษของด้วง ให้ล้างด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย และควรไปพบแพทย์...13 พ.ค. นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า ในช่วงฤดูฝนนี้มักจะมี "ด้วงก้นกระดก" หรือที่เรียกว่า "ด้วงปีกสั้น" "ด้วงก้นงอน" (Rove beetle) ชุกชุมกว่าฤดูอื่น ด้วงชนิดนี้เป็นแมลงที่มีประโยชน์ในการควบคุมแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ แต่มีพิษสำหรับคน ทำให้เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังอย่างเฉียบพลัน แต่ไม่ถึงขั้นเสียชิวิต
โดยมีรายงานผู้ป่วยทั้งในและต่างประเทศ ด้วงกระดกจะมีพิษชื่อว่า "เพเดอริน" (Paederin) อยู่ทั่วตัว ซึ่งด้วง 1 ตัว จะมีสารพิษอยู่ในตัวประมาณ 0.025 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว พิษมีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ หากถูกผิวหนัง จะเกิดอาการอักเสบ แสบร้อน และพุพอง ส่วนใหญ่พิษจะมีในด้วงตัวเมีย ด้วงจะปล่อยน้ำพิษออกมาในกรณีที่ด้วงตกใจหรือถูกตี ถูกบีบ ถูกบดขยี้ เพื่อป้องกันตัว
โฆษกสธ.กล่าวอีกว่า หลังจากที่คนสัมผัสพิษด้วงกระดก อาการจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณพิษที่สัมผัส โดยหลังสัมผัสใน 24 ชั่วโมงแรก ผิวจะมีผื่นแดง คัน แสบร้อน และเกิดเป็นแผลพุพองภายใน 48 ชั่วโมง มีการอักเสบขยายวงใหญ่ขึ้น จากนั้นจึงตกสะเก็ดภายใน 8 วัน อาจทำให้เกิดแผลเป็นได้ ในรายที่เป็นรุนแรง ผิวหนังจะอักเสบหลายแห่ง คล้ายงูสวัด บางรายอาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ อาเจียน เป็นผื่นบวมแดงติดต่อกันหลายเดือน หากพิษเข้าตา อาจทำให้ตาบอดได้
นพ.สุพรรณ กล่าวด้วยว่า ตั้งแต่เดือนมี.ค.-เม.ย.53 มีรายงานผู้ถูกพิษด้วงกระดกที่จ.ราชบุรี 26 ราย ทุกรายมีผื่นแดงที่ผิวหนัง ปวดแสบปวดร้อน บางรายตาแดง และปวดหู ที่ผ่านมาเคยพบกลุ่มผู้ใช้แรงงานในจ.สมุทรปราการ เกิดอาการผิวหนังอักเสบเฉียบพลันจากด้วงกระดก 27 ราย พ.ศ.2536 ครั้งที่ 2 พ.ศ.2549 พบผู้ป่วยที่จ.นครสวรรค์ 113 ราย และที่จ.พระนครศรีอยุธยา 30 ราย ส่วนใหญ่มีผื่นแดงเป็นทางยาว ลักษณะคล้ายรอยไหม้ ปวดแสบปวดร้อน ส่วนต่างประเทศ เคยมีรายงานที่เมืองโอกินาวะในพ.ศ.2512 มีผู้สัมผัสพิษด้วง เกิดอาการรุนแรง 2,000 กว่าราย และที่อินเดีย พ.ศ.2548 มีผู้ป่วย 123 ราย
"ลักษณะ ของด้วงกระดก จะมีลำตัวเป็นเงามัน ยาวประมาณ 7 มิลลิเมตร ส่วนหัวมีสีดำ ปีกสีน้ำเงินเข้ม ลำตัวมีสีดำสลับส้ม มักจะงอท้องส่ายขึ้นลงเมื่อเกาะอยู่กับพื้น ปกติจะอาศัยอยู่ในบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ชอบออกมาเล่นไฟตามบ้านเรือนตอนกลางคืน โดยจะมีมากในฤดูฝน พบด้วงชนิดนี้ได้ทั่วโลกมากที่สุดที่อเมริกาเหนือ ซึ่งมีถึง 3,100 ชนิด สำหรับประเทศไทย คาดว่ามีประมาณ 20 ชนิด ตามปกติ ด้วงก้นกระดกจะไม่กัดหรือต่อยคน แต่คนจะได้รับพิษหากไปสัมผัส จับมาเล่น หรือตบ ตี บี้จนน้ำพิษแตกออกมา" นพ.สุพรรณ กล่าว
นพ.สุพรรณ กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับการป้องกันด้วงก้นกระดก ขอให้ประชาชนระมัดระวัง โดยเปิดไฟในช่วงกลางคืนเท่าที่จำเป็น ก่อนนอนให้ปัดที่นอน หมอน ผ้าห่ม หรือเครื่องใช้ต่างๆ โดยเฉพาะเด็กๆ อย่าจับด้วงมาเล่น ไม่ตบหรือตีเมื่อด้วงบินมาเกาะตามตัว และหากถูกพิษของด้วง ให้ล้างด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย และควรไปพบแพทย์
ที่มา :
http://www.thairath.co.th/content/edu/82779