นิยายเรื่อง เทพธิดาแห่งดวงจันทร์
บทนำ
คุณเคยคิดไหมว่า ดวงจันทร์ที่พวกเราเห็นอยู่ทุกๆวันนี้ จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่ บางคนอาจจะเห็นกระต่ายบนดวงจันทร์ หรือบางคนอาจจะเห็นเป็นรูปคนตำข้าวอยู่บนนั้นก็ได้บนดวงจันทร์นั้นก็อาจจะมีสิ่งมีชีวิตที่เหมือนกับโลกมนุษย์เราก็ได้ เพียงแต่ว่ามันอาจจะผิดไปจากที่พวกเราคิดกันอยู่สักนิดหน่อย นั้นก็คือ พวกคนที่อยู่บนดวงจันทร์นั้นจะมีปีกกันตั้งแต่เกิด และปีกของผู้คนเหล่านั้นก็เป็นสีขาวบริสุทธิ์ที่สวยงาม และสัตว์บนนั้นก็ไม่เหมือนกับสัตว์บนโลกของเราด้วย เคยมีเรื่องเล่าว่า บนดวงจันทร์มีปราสาทที่สวยงาม ราชาผู้เมตตา ราชินีผู้เลอโฉม และพระธิดาและพระโอรส ฝาแฝดที่น่ารักและสง่างาม 2 พระองค์ พระโอรสมีนามว่า ซิล เป็นบุตรองค์โต มีผมสีน้ำตาล และตาสีอำพัน มีนิสัยที่แข็งกร้าว น่าเกร็งขาม แต่ในบางครั้งก็ดูใจดีเมื่ออยู่ต่อหน้าน้องสาวมีการต่อสู้เป็นเลิศ เรียนเก่งและฉลาด ส่วนพระธิดามีมีนามว่า เฟริน่า เป็นบุตรองค์ที่สอง มีผมสีครามน้ำทะเล และมีตาสีฟ้าสดใส มีนิสัยแก่นแก้ว จนติดคล้ายๆเด็กผู้ชาย ใจดีไม่ถือตัว เรียนไม่ค่อยเก่งแต่ลึกๆแล้วเป็นคนหัวดี และต่อสู้เก่งไม่ผู้ชายโดยเฉพาะการยิงธนูเป็นการต่อสู้ที่เฟริน่าถนัดที่สุด เป็นคนที่รักพี่ชายมาก และแล้วฝันร้ายก็มาถึง เมื่อจู่ๆปีกของเฟริน่ากลายเป็นสีขาวข้างนึงและสีดำข้างนึง ซึ่งคนส่วนใหญ่ในวังถือว่าเป็นรางร้ายให้เนรเทศเฟริน่าออกจากเมืองนี้และให้ไปอยู่กับพวกชาวบ้าน และแน่นอนว่าเมื่อมีผู้ที่เห็นด้วยก็ต้องมีผู้ที่ไม่เห็นด้วยเช่นกัน จนทำให้เกิดสงครามภายในเป็นเวลานานและในเมื่อพระราชาทนไหวจึงต้องเสียสละส่วนน้อยเพื่อช่วยส่วนรวม คือการเนรเทศเฟริน่าให้ออกจากเมืองและให้ไปอยู่กับพวกชาวบ้าน แต่ก็ใช่ว่าพอเนรเทศเสร็จแล้วเฟริน่าจะอยู่อย่างสงบสุขได้ เพราะในเมื่อเธอ ถูกตามล่าอยู่ตลอดเวลา จนกระทั้งเธอหลงเข้าไปในป่าของพวกเอลป์ดำ เธอก็สลบไป
บทที่ 1
กริ้งงงงงง
เมื่อได้ยินเสียงกริ้ง ผู้คนในหมู่บ้านแห่งนี้ก็ลุกออกจากที่นอนเพื่อตอนรับวันใหม่ที่แสนสงบสุขอีกวัน ทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ และคนแก่ ผู้คนเหล่านี้ช่างดูสดใสและมีชีวิตชีวากับการตอนรับวันใหม่
“เห้ย...นั้นมันอะไรวะ” เสียงของผู้ชายวัยกลางคนพูดขึ้น เมื่อผู้ชายคนนี้พูดเสร็จก็มีหญิงสาวคนหนึ่งวิ่งเข้าไปใกล้กับวัตถุชิ้นนั้น
“พ่อค่ะ...นี้มันเด็กผู้หญิงนี่ น่าจะรุ่นเดียวกับหนูเลยนะ แต่ดูเหมือนว่าเค้าจะสลบอยู่นะค่ะตามตัวมีแต่แผลเต็มไปหมด หนูว่ารีบช่วยเค้าดีกว่านะค่ะ”เมื่อหญิงสาวพูดจบผู้เป็นพ่อก็รีบอุ้มเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นทันที แต่ว่าพวกชาวบ้านกลับไม่ยอมให้สองพ่อลูกเดินกลับไป
“เราจะแน่ใจได้ไงว่าเด็กคนนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเราเมื่อนายช่วยเค้าแล้วนะมาคาลอฟ”เสียงของผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้น
“แต่เราต้องช่วยเค้านะเค้าอาจจะบาดเจ็บสาหัสก็ได้นะชาล” มาคาลอฟพูดอย่างร้อนรน
“งั้นนายอยากให้พวกเราเป็นอย่างเมียนายงั้นเรอะ ที่เมียนายตายก็เพราะคนจากนอกหมู่บ้านนะ นายลืมไปแล้วรึไง พวกเราไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นแล้วนะ!!”ชาลพูดขึ้นด้วยความรู้สึกโมโหอย่างห้ามไม่ได้
“นั้น...นั้นมันก็ใช่ ตะ...แต่ว่า”มาคาลอฟพูดยังไม่ทันจะจบ ก็มีเสียงของชายชราคนหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เด็กผู้หญิงคนนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเราแน่นอน ให้มาคาลอฟช่วยเค้าเถอะ”
“ผะ...ผู้ใหญ่บ้าน ตะ แต่ว่า เด็กคนนี้”
“ฉันก็บอกแล้วไงชาลว่าเด็กคนนี้ไม่เป็นอันตรายต่อเราหรือถ้าเป็นอันตราต่อเราไว้ช่วยเค้าเสร็จค่อยฆ่าก็ได้นี่ ให้มาคาลอฟช่วยเค้าเถอะหรือว่าเจ้าไม่เชื่อในคำพูดของข้าแล้วละ หือชาล”ผู้ใหญ่บ้านพูดแล้วมองหน้าไปที่ชาลอย่างจริงจัง แล้วด้วยสายตาคู่สีดำสนิททำให้ชาลต้องเมินหน้าหนี
“เอ้า เจ้าก็ไปได้แล้วนะมาคาลอฟ เดี๋ยวเด็กคนนั้นก็อาการแย่กว่าเก่าหรอก อ๋อ ถ้าเด็กคนนั้นฟื้นแล้วให้พามาหาข้าที่ต้นไม้พันปีนะ”
“ครับ ผู้ใหญ่บ้าน ขอบคุณมากครับ”มาคาลอฟพูดด้วยท่าทางดีใจนิดๆ
อืม....
เมื่อหญิงสาวรู้สึกตัวก็พายามขยับเปลือกตาที่มันหนักอึ้งขนตาที่เรียงกันเป็นแพยาวสีฟ้าสวยก็เริ่มขยับ แต่เมื่อพยายามจะลืมตาขึ้นก็ต้องปิดตาลงอีกครั้งเมื่อแสงจ้าปะทะเข้ากับดวงตาอย่างจัง จึงต้องพายามลืมตาอีกหลายครั้งกว่าจะลืมได้อย่างเต็มตา เมื่อลืมตาขึ้นก็เริ่มตั้งสติได้ก็ต้องตกใจกับภาพที่เห็นเบื้องหน้าเมื่อพบกับชายรูปร่างอ้วนทวม ผมสีเขียวหูชี้ออกไปด้านข้างสวมฮูดสีดำสนิทแล้วเป็นเพราะความอ้วนหรือยังไงกันทำให้มองไม่เห็นลูกตาทั้งสองข้างและเด็กผู้หญิงผมสีทองตาสีเงินที่เปร่งประกาย สวมฮูดสีดำตัวเล็ก กำลังจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง
“ฟื้นแล้วเหรอ เป็นไงมั่งละพอขยับตัวได้ไหม?”ผู้ชายตัวอ้วนเริ่มพูดขึ้น แต่เด็กสาวได้แต่นั่งเงียบไม่ยอมบอกอะไร
“อ๋อลืมไป ฉันชื่อมาคาลอฟ ส่วนนี่ลีน่า ลูกสาวข้าเอง พวกเราสองคนเป็นคนเผ่าเอลป์น่ะ ข้าบอกชื่อของข้ากับลูกสาวข้าแล้วนะ แล้วเจ้าละจะบอกชื่อและตอบคำถามของข้าได้ยัง”มาคาลอฟพูดและส่งยิ้มให้กับเด็กสาวอย่างใจดีและอบอุ่น
“....ข้า...ข้าชื่อ เฟริน่า ถึงข้าจะขยับตัวได้แล้วก็ยังรู้สึกเจ็บนิดๆนะ”เฟริน่าพูดและมองไปที่แผลของตัวเองก็พบว่า แผลที่โดนทำร้ายตอนที่เธอโดนตามล่าเริ่มหายสนิทแล้ว และมองกลับไปที่มาคาลอฟและลีน่าอีกครั้ง
“นี่ข้าหลับไปกี่วันแล้ว”
“2วันเต็มๆเลยละ ว่าแต่เจ้าอายุเท่าไรเหรอเฟริน่า”ครั้งนี้ลีน่าเป็นฝ่ายถาม ด้วยเสียงที่สดใสทำให้เฟริน่ารู้สึกเป็นมิตรด้วย
“ข้าอายุ15นะ แล้วเจ้าละลีน่า ข้าว่าเจ้าน่าจะอายุพอๆกับข้านะ”เฟริน่าพูดส่งยิ้มไปให้ลีน่าเป็นครั้งแรก
“ใช่แล้วล่ะข้าก็อายุ15เท่าเจ้านั้นแหละ”
“ว่าแต่ มาคาลอฟท่านอยู่กับลีน่ากันแค่2คนเหรอแล้วแม่ของลีน่าล่ะเธอไปไหน?”เฟริน่าถามด้วยความสงสัย แต่ทันใดนั้นเองความรู้สึกน่ายินดีก็กลับมาสู้ความเศร้าหมอง
“แม่ของลีน่าตายไปแล้วนะตั้งแต่เมื่อ8ปีก่อนตอนที่ลีน่าอายุได้แค่7ขวบด้วยมือของคนจากนอกหมู่บ้านเพราะเห็นว่าพวกเราเป็นเอลป์ดำ”มาคาลอฟพูดด้วยเสียงสั่นๆ ฟังดูเหมือนจะร้องให้
“มาคาลอฟ ข้าขอโทษข้าไม่น่าจะถามเรื่องนี้เลย”เฟริน่ารู้สึกผิดอย่างมากที่ถามไปโดยไม่คิด
“ไม่เป็นไรหรอกเรื่องมันแล้วไปแล้วนะ ช่างมันเถอะ”มาคาลอฟยิ้มอีกครั้ง
“ว่าแต่เจ้านะเฟริน่า พอจะขยับตัวไหวไหม? ข้าจะพาเจ้าไปหาผู้ใหญ่บ้านนะ”
“ได้สิ ข้าขยับไหวอยู่แล้ว”เฟริน่ายิ้มอีกครั้ง และเมื่อลุกออกมาหน้าบ้านของมาคาลอฟและลีน่าก็พบว่ามีแต่ผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาและผู้คนเล่านั้นได้ใส่ฮูดสีดำเหมือนกันหมดเลย
“ว่าไงมาคาลอฟ ยัยเด็กนั้นฟื้นแล้วรึ เจ้ากำลังจะพาไปหาผู้ใหญ่บ้านสินะ พอดีเลยพวกข้าจะได้ไปด้วยเพราะในวันนี้พวกเราทุกคนจะต้องไปที่ต้นไม้พันปีอยู่แล้วจะได้รู้กันไปเลยว่ายัยเด็กคนนี้เป็นตัวอันตรายหรือไม่ไงละ”ชาลพูดด้วยน้ำเสียงเยอยันนิดๆ
และเมื่อมาถึงที่ต้นไม่พันปีก็พบกับชายชราสวมฮูดสีดำ ดูน่าเกรงขามถึงแม้ว่าจะแก่แล้วก็ตาม
ตอนนี้แต่งได้แค่นี้อยู่ยังไงก็ลองอ่านกันก่อนน้าแล้วจะมาแต่งต่อจ้า