GAMEINDY: Asura Online
หน้า: [1]
ผู้เขียน หัวข้อ: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ  (อ่าน 1292 ครั้ง)
เพเพเ เด้เเดดด
Newbie
*
กระทู้: 27


เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« เมื่อ: 26-12-2009, 12:16:35 »

โหดมาก Angry Angryอย่างที่บอกแหละครับ ช่วง 2-3 วันนี้ผมไปเชียงใหม่มาครับ ผมซื้อหนังสือลดราคามา 2 เล่ม คือคุกลับเกาหลีเหนือ และลับสุดยอดของตำรวจโลก 

                ในฆาตกรฯ เป็นเรื่องของตำรวจลับ และในเรื่องจริงฯ เป็นคุกลับเกาหลีเหนือครับ

.........................................

 

ภาพและเนื้อหาส่วนใหญ่เอามาจากหนังสือนี่หรือ...คือความจริง คุกลับในเกาหลีเหนือ ใครสนใจไปถามพนักงานพนักงานซีเอ็ดดู ผมซื้อจากห้างคาฟูที่เชียงใหม่ครับ ราคา 175 บาท ซื้อมาเพื่อเขียนตอนนี้โดยเฉพาะ

 

 

แผนที่ที่ตั้งคุกลับ(น่าจะใช่นะ ผมดูกูเกิลมา)

               

                เรื่องราวต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้คุมและนักโทษที่หลบหนีมายังเกาหลีเหนือได้สำเร็จ

 

                เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ลึกลับทั้งจากข้างนอกและภายนอก เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด ห้ามบุคคลใดๆ ภายนอกเข้ามา ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น งานเทศกาล หรือผู้นำอนุญาต 

                เกาหลีเหนือขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก รายงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เรามักได้ยินข่าวการทรมาน การจับอดอาหาร การประหารชีวิต การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การบังคับให้ทำแท้ง การฆ่าเด็กทารก การจับคนบริสุทธิ์ด้วยข้อหาเล็กๆ น้อย โดยไม่มีการไต่สวน

                แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือค่ายกักกัน(รู้จักในนาม GULAG) ค่ายกักกันเหล่านี้พูดซะเพราะ แต่หลายคนเรียกมันว่านรกบนดิน ขนาดของมันพอๆ กับเมืองเล็กๆ แต่ละแห่งจะมีคน 5000- 50000 คนล่าสุด แต่ถ้าเอามารวมกันจะมียอดนักโทษถึง 150000-200000 คนทีเดียว

                นักโทษในนิคมนี้ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ครอบครัวเจ้าของที่ดิน นายทุน สายลับ(ที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า) ผู้สนับสนุนเกาหลีใต้ คริสเตียน นักรณรงค์ศาสนา และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง คนที่ทำผิดเหล่านี้ต้องถูกส่งตัวเข้าค่ายกักกังแล้วแต่ความผิดที่ได้รับ บางคน 10 ปี บางคน 3 เดือน หรือบางคนตลอดชีวิตก็ยังมี แต่ขอบอกว่าเพียงแค่คุณเห็นสภาพคุกและความเป็นอยู่ของนักโทษเหล่านี้ขอบอกเลยว่า”อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว”, “โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย”

                มีบางคนเถียงว่า “พวกนั้นทำผิดเองนี้ช่วยไม่ได้” ก็ขอตอบเลยว่า คดีต่างๆ ของนักโทษที่จองจำค่ายกักกันนั้น กระบวนการตัดสินส่วนใหญ่ไม่เป็นธรรม หลายคนที่รอดจากค่ายนี้ได้บอกว่าหลายคนโดนขังคุกแห่งนี้ด้วยข้อเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำรูปผู้นำเปื้อน ฉีกขาด, ทำผลผลิตไม่ตรงเป้าหมาย, โดนใส่ร้าย ฯลฯ แต่กรณีที่เลวร้ายกว่านั้นคือโนจำคุกทั้งครอบครัว ทั้ง พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย ลูก โดนหมด

                เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช้เรื่องเกิดขึ้นในอดีต และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด ย้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะผู้นำมองนักโทษเหล่านั้นไม่ใช้มนุษย์ ต่ำยิ่งกว่าสัตว์ เลยมีการสร้างคุกนรกนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนหวาดกลัว และเมื่อมีผู้หลบหนีและเล่าเรื่องราวเหล่านี้ฟัง โลกถึงกับช็อกเรื่องที่คนเหล่านี้เล่า จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง โอเวอร์ไปหรือเปล่า อีกทั้งรัฐบาลเกาหลีมักปฏิเสธว่าประเทศของตนไม่มีค่ายนรกแห่งนี้ แต่จากหลักฐาน จากการเขียนผังภาพ และเอามาเปรียบเทียบ กับภาพถ่ายทางอากาศ ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง!!

                คนเหล่านี้ด้วยทุกข์ทรมาน บางคนตายอย่างน่าสมเพส ในคุกแห่งนั้น

                เชื่อหรือไม่จนบัดนี้คุกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น อดีตจะเป็นอย่างไรก็เป็นแบบนั้น...!!

               

                ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบันคือ คิม จอง อิล (ลูกชายของ คุม อิล ซุง เผด็จการคนแรกของเกาหลีเหนือ) ผู้สืบทอดมรดกเกาหลีเหนือ ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนเต็มตัว

                กล่าวคือ รัฐบาลกลางภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการ เป็นผู้กำหนดว่า จะผลิตสินค้าบริการอะไร ด้วยวิธีใด ผลิตแล้วใครจะเป็นคนได้ไปบริโภค โดยไม่มีตัวละคร คือผู้ผลิตเอกชนในเศรษฐกิจแต่อย่างใดเป็นผู้ร่วมเล่น ทั้งหมดดำเนินไปโดยการสั่งของรัฐบาลกลางทั้งสิ้น (ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)

คำถามว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจะผลิตข้าว ผักผลไม้ และบริการอื่นมากน้อยแค่ใด ใครเป็นคนผลิตและใครได้ไปบริโภค

                คำตอบก็คือ รัฐบาลกลาง ต้องคาดเดาเอาเองทั้งสิ้น เพราะไม่มีการอนุญาตให้มีเอกชนเป็นผู้ผลิต

หากถามต่อไปอีกว่า แล้วถ้าผลิตออกมามากไป จนไม่มีคนบริโภคหรือน้อยไปจนไม่พอบริโภคจะทำอย่างไร

                คำตอบแบบกวนๆ ก็คือ ต้องทำอย่างระวัง เพราะมันเป็นปัญหาปวดหัว เกิดการเหลือ และขาด ซึ่งก็คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอยู่แล้วอย่างขาดประสิทธิภาพนั่นเอง การขาดแคลนแรงจูงใจในการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจ เพราะแต่ละคนไม่ได้ประโยชน์โดยตรง แต่ต้องการทำงานให้รัฐด้วยอุดมการณ์ ขัดแย้งอย่างฉกรรจ์กับความโลภที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีเป็นเจ้าเรือน

                ทั้งพ่อลูกเผด็จการจึงมีปัญหาเรื่องความขาดแคลนอาหารสำหรับประชาชนมาโดยตลอด เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยภูมิอากาศแปรปรวนก็ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น

                ครั้นประชาชนจะหนีออกนอกประเทศก็ห้ามเด็ดขาด (ถ้าอนุญาตอาจเหลือแต่คิม จอง อิล คนเดียว) หากจับได้ก็ตาย หรือไม่ก็ถูกส่งไปอยู่ค่ายนรก

                ค่ายนรกจึงเปรียบเสมือนเสาสำคัญของการรักษาอำนาจไว้ เพราะมันสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว ที่ทุกคนไม่กล้าหือ

                ค่ายนรกแห่งนั้นพูดง่ายๆคือเป็นมรดกสืบทอดมาจากพ่อของคิม จอง อิล นอกเหนือจากถูกสร้างขึ้นมา เพื่อทรมาน และทำลายนักโทษ มันยังเป็นที่  "คั้น" แรงงานออกมา โดยให้ทำงานหนักแบบแคมป์ของนาซี และโซเวียต(แต่ของเกาหลีเหนือโหดกว่า) โดยการแต่ละอย่างล้วนหนักทั้งสิ้น เนื่องจากสินค้าส่งออกที่สำคัญคือเกาหลีเหนือคือเหมืองแร่ ถ่านหิน นักโ?ษต้องทำงานในสภาพอาการเลวร้ายสุดๆ บางคนทำงานจนตายไปเลยก็มี

                สิ่งที่เป็นจุดเด่นของคุกนรกแห่งนี้คือ อาหาร ไม่ใช้อาหารห่วยแต่อย่างใด แต่ไม่มีอาหารเลยต่างหาก เพราะอาหารที่ใหน้อยมากๆ เพราะประเทศเกาหลีเหนืออาหารขาดแคลนอย่างรุนแรงทั้งประเทศ มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แล้ว ดังนั้นนักโทษส่วนมากมักตายเพราะขาดอาหาร บางคนต้องกินเศษอาหารหมูเพื่อเอาชีวิตรอด(ถ้าจับได้จะโดนยิง) หนูเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ

               

                ถามว่ารู้ทั้งรู้ว่ามีการทรมาน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนทำไมต่างประเทศถึงอยู่เฉย

                ก็ตอบว่าเพราะประเทศเหล่านี้ไม่กล้ามีเรื่อง โดยเฉพาะเกาหลีใต้แต่ดั้งเดิมนั้นก็ไม่อยาก "เหยียบเท้า" ของทั้งพ่อ และลูกเผด็จการ กลัวจะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมา จึงไม่ค่อยกล้ารับพวกที่หนีมาอย่างเปิดเผย ทำได้แต่แกล้งมองไปอีกทาง หรือทำไม่รู้ไม่เห็น ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้มันไม่เป็นเรื่องขึ้นมา ก็คือผู้นำเกาหลีใต้กี่คนที่ผ่านมาก็ไม่พูดเรื่องนี้ หรือทำให้เรื่องนี้สำคัญขึ้นมาก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีจีนที่เป็นมิตรแนบแน่นกับเกาหลีเหนือ ถ้ามีเรื่องก็ต้องพูดกับจีน

                สำหรับประเทศไทย คุณคิดว่าไทยนั้นมีความสัมพันธ์กับดีกับเกาหลีใต้เหรอ ขอตอบว่าผิด ถ้าเราดูวีพีมีเดียจะพบว่าเกาหลีเหนือนี้แหละที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด โดยดูยอดการค้าระหว่างประเทศพบว่ายอดการค้ากับไทยของเกาหลีเหนือนั้นเป็นอันดับ 3 ของเกาหลีเหนือ โดยดูจากปี 2007 ถึง 229 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

                แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อการเมืองระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือจนได้ ในกรณี การ ลักพาตัว “อโนชา ปันจ้อย” หญิงสาวลูกชาวนา ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่โดยรัฐบาลเกาหลีเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2521 ระหว่างที่ไปทำงานในร้านเสริมสวยยังเกาะมาเก๊า ซึ่งเราคงทราบกันดีว่าเกาหลีเหนือนั้นชอบลักพาตัวชาวต่างชาติ และบังคับมาเป็นประชาชนในเกาหลีเหนือ ถ้าไม่ยอมก็ถูกส่งไปค่ายกักกังนรก

                สำหรับชาวเกาหลีเหนือที่อพยพมาไทยนั้น ปัจจุบันมียอดประมาณ 1000 คน ซึ่งส่วนมากไทยมักทำจับกุม แต่ไม่ส่งไปเกาหลีเหนือแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลไทยรู้ดีถ้าส่งประเทศนี้ละก็ซะตากรรมของผู้อพยพนั้นต้องรับคืออะไร....

 

                และนี้คือ 5 เรื่องจริงสุดโหดของเกาหลีเหนือ ถ้าคุณอ่านครบ 5ตอน แล้วไม่เชื่อหรือเวอร์เกินไปก็ลองไปดูกูเกิลดูนะครับ (ภาพการ์ตูนมาจากการวาดของผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือ)

 

                อันดับ5 ชีวิตนักโทษในค่ายกักกันที่ทุกคนต้องเจอ (ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)

                รายงานคร่าวๆ ที่ออกมาเราสามารถแบ่งประเภทของค่ายกักกัง 2 แบบคือ

                KWAN-LI-SO

               

                KWAN-LI-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต (บางครั้งโดนจับคุมขังทั้ง 3 ชั่วคน คือ ปู่ พ่อ ลูกเลย) โดยไม่มีการไต่สวนคดี สถานที่ลักษณะนี้มี 6 หรือ 7 แห่งซึ่งใหญ่โต ทุกคนต้องทำงานหนัก และได้รับอาหารต่ำกว่าที่จะพอยังชีพ ขอบอกว่า อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ตายซะดีกว่าที่จะอยู่ตลอดชีวิต

                 KYO-HWA-SO

                 

                KYO-HWA-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง และนักโทษคดีอาญาปกติ โดยมีโทษจำคุกไม่ตลอดชีวิต ฟังดูอาจดีกว่าประเภทแรก แต่อัตราการตายสูงมาก จนถือกันว่าเป็นคุกแรงงานมรณะ เพราะมักตายก่อนครบโทษ

                นอกจากนี้ก็มีศูนย์กักกันพิเศษและคุกประเภทแยกย่อยต่างๆ  ที่โหดร้ายทารุณอีกมากมาย มีทั้งคุกเฉพาะสำหรับผู้ที่พยายามหนีไปจีนและถูกส่งกลับมา

                คุกแต่ละแห่งนั้นมีจุดเหมือนกันคือ ทั้งหมดตั้งอยู่พื้นที่ทุรกันดาน ห่างไกลจากความเจริญ ระบบการรักษาความปลอดภัยสุดยอดมาก คือมีการรักษาความปลอดภัยประตูเข้าออกอย่างแน่นหนา และมีรั้วไฟฟ้าสูงประมาณ 2.5 เมตร ล้อมรอบ นอกรั้วมีหลุมพรางที่ตกลงไปจะเจอกับดักขนเม่น หมอนหนาม  ส่วนประกอบของค่ายกักกันก็เหมือนกันคือมีโรงงาน ห้องคุมขัง(นรก) หอคอย คอกหมู เรือนพัก ฯลฯ

                นอกจากนี้จุดที่เหมือนกันคือ สภาพความเป็นอยู่แสนสกปรก กลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อาหารที่ให้ ค่อนข้างน้อยมาก(ประกอบด้วยซุปเกลือ ข้าวโพดหักๆ สำหรับเลี้ยงสัตว์มากกว่าเลี้ยงคน ส่งผลให้นักโทษต้องหาอาหารเองไม่ว่าจะต้องกิน หนู หนอน กินโคลน เพื่อประทังชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือมีนโยบาลควบคุมนักโทษโดยการอดอาหาร

                โดยทั่วไปนักโทษจะอยู่ในกระต๊อบที่สร้างอย่างหยาบๆ ทำจากดินเหนียวและมีหลังคามุงหญ้าคา ทำให้มันไม่มั่นคงจนมองดูเหมือนว่ามันจะถล่มมาได้ทุกเมื่อ ต้องใช้ไม้ค้ำยันไว้ตลอดเวลาและต่ำมากจนมองจากระยะไกลหรือมุมสูงไม่ค่อยเห็น ถ้าจะเปรียบเทียบละก็เหมือนหมู่บ้านขอทาน มันห่วยกว่าโรงวัวหรือคอกหมู  สภาพน่าอนาถจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือทางเข้าอันไหนคือหน้าต่าง มีรูเต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่าหีบปากเพลง(Harmonica)

               
               ห้องครัวก็ทำแบบหยาบๆ สำหรับทำอาหาร(ที่จริงอาหารที่ทำมีไม่กี่อย่าง) เตาผิงสมัยโบราณกาล บนเพดานมีหลอดไฟหนึ่งดวง ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชิ้นเดียวในเรือนแห่งนี้แล้ว

                กระต๊อบบางหลังใช้เป็นเป็นที่อยู่ของครอบครัว บางกระต๊อบใช้สำหรับกลุ่มนักโทษหญิง ส่วนของนักโทษชายโสดจะอยู่อย่างแออัดเต็มไปด้วยแมลง ทำให้ที่นั้นเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นักโทษชายต้องนอนแออัดในห้อง 6x5 เมตรถึง 80-90 คน ที่นั้นเต็มไปด้วยตัวหมัด นอนบนพื้น เบียดเสียดกัน หัวไปทาง เท้าไปทาง ทำให้นักโทษบางคนต้องดมกลิ่นเท้าของคนอื่นที่เหม็นอย่างร้ายกาจ ยิ่งเป็นฤดูหนาวยิ่งทรมาน นักโทษต้องอาศัยไออุ่นจากเพื่อนนักโทษเพื่อสู้ไอหนาวที่เข้ามาพื้นห้อง แม้แต่ฤดูร้อนห้องเหล่านี้ยิ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของนักโทษ

                  อีกกระต๊อบหนึ่งก็มีไว้สำหรับนักโทษที่ทรมานจากโรคต่างๆ เช่นโรคตับอักเสบ โรคเรื้อน โรคทางจิตประสาท อันเป็นผลจากการขาดอาหารและถูกซ้อม มันเป็นกระท่อมเล็กๆ บนภูเขาที่ล้อมรวบด้วยรั่วหนามเหล็กสูง เหมือนเล้าไก่มากกว่า ไม่มีการรักษาการแพทย์ใดๆ พวกเขาถูกทิ้งไว้ที่นั้นเพื่อรอความตายเท่านั้น และไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้รอดชีวิตจากที่นั้นเลยสักราย

               
                  แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนอกเหนือจากที่นอนแล้วก็คือสุขา ถ้าคุณบอกว่าสุขาห้องส้วมในจีนน่ากลัวละก็ ที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือนรกกว่านี้อีก เพราะห้องส้วมค่ายกักกันนี้มีห้องใช้จำกัดและใช่ร่วมกัน ในเวลาเช้าเราจะเห็นนักโทษต่อแถวใช้อย่างยาวเหยียด หากรอไม่ไหว พวกเขาจะถ่ายออกมาแบบไม่เลือกที่ต่อหน้านักโทษคนอื่นๆ แม้แต่นักโทษหญิงก็ไม่สนใจต่อนักโทษชายที่มองเธอถ่าย ไม่มีกระดาษชำระ ต้องใช้ใบข้าวโพด ฟักทอง หรือใบอื่นมาใช้แทน โดยนักโทษ 300 คนจะมีห้องส้วมหนึ่งห้อง ห้องกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร นักโทษชาย 5-6 คนต้องใช้พร้อมกัน โดยมีบัตรไม้เป็นบัตรผ่าน ซึ่งจากรายงานเหลือเชื่อพบว่า นักโทษจะใช้ห้องน้ำนี้เพียงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น และต้องเข้าไปเป็นลำดับกลุ่ม ห้ามเข้าไปใช้เมื่อใดก็ได้ที่จำเป็น ส่วนภายในห้องนั้น นักโทษจะนั่งยองๆ บนพื้นที่ลาดเอียง โดยถ่ายของเสียงไหลลงบนพื้นลาดเอียงนั้นเข้าช่องรูส้วมเดียวที่ปลายสุดของส้วม และสังเกตจากภาพข้างบนตะพบนักโทษที่ทำหน้าที่ดูแลการใช้ส้วมกำลังถือบัตรในมือ ซึ่งเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของนักโทษ และคุณเชื่อหรือไม่ว่านักโษที่ทำหน้าที่นี้ต้องอยู่ในห้องสุดเหม็นนานถึง 17-18 ชั่วโมง ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุและหญิงพิการในสภาพทำงานไม่ได้ พวกเขาอยู่ในสภาพชวนสยองใบหน้าบวมเพราะต้องอยู่กับกลิ่นเหม็นตลอดเวลา แต่นักโทษส่วนใหญ่มักเลือกทำงานนี้ เพราะได้อาหารเต็มส่วน และงานเบา เพียงแต่สิ่งที่ได้คือนักโษเหล่านี้จะเสียชีวิตใน 1 ปี

                ส่วนลักษณะที่พบเห็นโดยทั่วไปของนักโทษที่เข้าค่ายกักกันเมื่อถูกขังในระยะเวลานาน ผลที่ตามมาคืออยู่สถาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถูกใช้ทำงานหนักเกินกำลัง จนรูปร่างเตี้ยประมาณ 140-150 เซนติเมตร ศีรษะล้าน บิดเบี้ยวอย่างอนาถเพราะถูกซ้อม หลายคนเดินขาแปและหลังค่อม บางคนเดินไม่ได้ต้องเคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยการสั่นร่างกาย บางคนมีช้อนคันหนึ่งห้อยไว้ที่คอหรือมีกระป๋องเปล่าๆ ห้อยข้างตัว เด็กแทบทุกคนท้องป่องตาโปน และทุกคนสวมเสื้อผ้าเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ทีรอยปะจนดูไม่ออกว่าเสื้อดั้งเดิมเป็นอย่างไร นอกจากนี้ร่างกายยังเต็มไปด้วยแมลงจำพวก เหา หมัด มีผิวดำเกรียมจนเหมือนพวกแอฟริกันมากกว่าคนเอเชีย และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจเพราะไม่มีการอาบน้ำใดๆ ทั้งสิ้น

                ยิ่งกว่า ของใช้ประจำวันของนักโทษจะขาดแคลนมาก เช่น รองเท้า และเสื้อผ้า ซึ่งหนึ่งคนจะได้เพียงอย่างละชิ้นเท่านั้น ถ้ามันพังหรือหายไม่มีเปลี่ยนให้ ทำให้นักโทษเหล่านี้แก้ปัญหาโดยขโมยเศษกระสอบหรือเศษผ้ามาปะเสื้อผ้าขาดวิ่งของพวกเขา บางครั้งถึงขั้นแย่งเสื้อผ้าจากซากศพคนตาย ซึ่งถ้าเกิดผู้คุมจับตายถึงขั้นประหารชีวิตทันที

                ส่วนอาหาร ไม่มีการเปลี่ยนเมนูแต่อย่างใด เพราะนักโทษต้องรับอาหารเหมือนกันหมดและซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทุกวัน กินเพื่อกันตายเท่านั้น คือประกอบด้วยซุปเกลือหนึ่งถ้วยขนาดเท่าฝ่ามือ ข้าวโพดหักๆ ที่รูปร่างเหมือนอาหารสัตว์มากกว่าอาหารคนน้ำหนัก 100 กรัม(เรียกว่าอาหารเต็มมื้อ ขอบอกว่าน้อยมากๆ ไม่เชื่อลองเอาข้าวโพดอาหารสัตว์มาชั่งดู) ซึ่งก็มีแค่นี้ แถมอีกว่าถ้านักโทษทำความผิดก็จะมีการลงโทษโดยการลดปริมาณข้าวโพดเพื่อลงโทษ บางคนได้ข้าวโพดหักเพียง 80 กรัม บางคนก็ได้ 60 กรัม ซึ่งแน่นอนมันไม่พออิ่มแน่นอน ทำให้พวกนักโทษต้องหาอาหารกินเอง บางคนถึงยอมกับแอบกินเศษอาหารหมู กินแม้กระทั้งน้ำต้มจากรางอาหารหมู (หมูที่เลี้ยงในค่ายกักกันมีไว้เพื่อนำไปทำอาหารเลี้ยงผู้คุมนำวันเกิดของผู้นำทั้งสอง จะเห็นได้ว่าหมูนั้นได้รับการเลี้ยงดูกว่านักโทษเสียอีก) บางคนถึงขั้นกินหญ้า หนู งู กบ หนอน จิ้นเหลน  แมงวาบเป็นๆ เพื่อบรรเทาความหิวโหย

               
               ส่วนลักษณะของผู้คุม นอกเหนือผู้คุมจะแต่งตัวเป็นเครื่องแบบราชการแล้ว ผู้คุมจะสวมหน้ากากตลอดเวลา และอยู่ห่างๆ จากนักโทษเพื่อหลบกลิ่นเหม็น และที่ค่ายกักกันยังมีธรรมเนียมอย่างคือเวลาผู้คุมเรียกนักโทษ นักโทษต้องรีบวิ่งไปหาและคุกเข่าพร้อมก้นศีรษะ นักโทษทำได้แต่ตอบคำถามเท่านั้น ห้ามพูดนอกเหนืออะไรจากนี้ หากตอบช้าหรือเคลื่อนไหวเจ้า นักโทษจะถูกหีบที่หน้าหรือหน้าอก

                ผู้คุมได้รับคำสั่งให้ปฏิบัตินักโทษอย่างไร้ความปราณี เสมือนผู้คุมเป็นสัตว์เดรัจฉานและผู้พิพากษาที่ลงโทษตามใจชอบ ยิ่งกว่านั้นผู้คุมจะได้รับอำนาจสังหารนักโทษที่ใดก็ได้ เมื่อใดก็ได้ ข้อหาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนรายงานหรือรับผิดชอบ(โดยมากคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมต้องทำหน้าที่ตลอดชีวิต ห้ามลาออกหรือย้ายไปไหน เนื่องจากรัฐบาลกลัวว่าผู้คุมเหล่านั้นจะเอาเรื่องนี้ไปแฉให้คนภายนอกทราบ)

                ทุกๆ วันจะมีตอนขานชื่อเช้าและเย็น ซึ่งตอนเย็นนั้นถือได้ว่าเป็นเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด นักโทษต่างเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปขานชื่อ บางคนต้องคลานไปจุดขานชื่อ นักโทษจะถูกควบคุมไม่ให้สื่อสารกับใคร ไม่ให้เขียนหรือรับจดหมายกันโดยไม่มีข้อยกเว้น 

                นักโทษทุกวัยจะถูกบังคับให้ทำความเคารพเจ้าหน้าที่ที่อยู่ค่ายกักกันทั้งหมด เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพโดยการโค้ง 90 องศา พวกเขาต้องเคารพแม้กระทั้งลูกๆ อายุ 5 ขวบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมบอกว่า “คุณหนูของเจ้านาย” ซึ่งถือว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างแรงของวัฒนธรรมเกาหลี    นอกจากนี้นักโทษทั้งหมดจะถูกหยามศักดิ์ศรีโดยผู้คุม นักโทษไม่มีสิทธิพูด หัวเราะ ร้องเพลง ห้ามอธิษฐาน หรือมองตนเองในกระจก เวลาทำงาน นักโทษจะต้องก้มหน้าก้มตาทำ ห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน ส่วนในโรงงานผู้คุมจะอยู่ตู้กระจกเพื่อสะดวกในการเห็นนักโทษทำงาน นักโทษจะทำงานหนักดั่งทาสเป็นเวลา 18 ชั่วโมงต่อวันถ้าทำงานไม่เสร็จหรือล้มเหลวสองครั้งจะถูกลงโทษโดยการเข้าคุก และถ้านักโทษหญิงมีท้องเมื่อใดจะถูกฆ่าทันทีที่คลอดออกมา

                และเมื่อถึงวันสิ้นปี เมื่อถึงเที่ยงคืนเป็นต้นไป นักโทษทุกคนต้องโค้งคำนับ “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่” และผู้นำอันเป็นที่รัก”(คิมจองฮิวและบุตรชาย) สำหรับนักโทษแล้วช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งนรก เพราะพวกเขาทำงานหนักทั้งวันจนสายตัวแทบขาด อยากนอนหลับเพื่อเก็บพลังเอาไว้อยู่รอด แต่ต้องตื่นมาเที่ยงคืนเดินทางไปที่สำนักงานเพื่อโค้งคำนับผู้นำในวาระปีใหม่ ซึ่งเป็นสภาพไม่น่าดูมาก เพราะนักโทษต้องต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งตอนเช้าพวกเขาต้องกลับมาที่นี้อีกครั้งเพื่อฟังบันทึกและต้องจำโอวาทปีใหม่ของผู้นำ ซึ่งถ้าใครจำไม่ได้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

                และนี้คือกฎระเบียบในค่าย(นิคม)กักกันในเกาหลีเหนือ(ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)

1.             ถ้าหนีจะถูกยิงทิ้งทันที

2.             ห้ามชุมนุมเกิน 3 คน

3.             ห้ามขโมยของจะถูกยิงทิ้ง

4.             ถ้านักโทษแสดงไม่พอใจแก่ผู้คุมจะต้องโดนยิงทิ้ง

5.             นักโทษต่อต้านผู้คุมไม่ได้

6.             ชายและหญิงห้ามสัมผัสกันโดยไม่รับอนุญาต จะถูกยิงทิ้ง

7.             ฯลฯ

 

 (ติดตามตอนต่อไป+ +)

เพเพเ เด้เเดดด
Newbie
*
กระทู้: 27


Re: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« ตอบ #1 เมื่อ: 26-12-2009, 12:17:01 »

 Wink Angryน้าส่งสาน
เพเพเ เด้เเดดด
Newbie
*
กระทู้: 27


Re: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« ตอบ #2 เมื่อ: 26-12-2009, 12:18:28 »

ภาพไม่ติดโทดที Wink Wink
กร็วก
Asura Tester
Sr. Member
*
กระทู้: 1,433

กร็วก???........มันเป็นใครหว่า???.......นั้นอ่ะดิ?


Re: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« ตอบ #3 เมื่อ: 26-12-2009, 15:17:44 »

โหดมาก Angry Angryอย่างที่บอกแหละครับ ช่วง 2-3 วันนี้ผมไปเชียงใหม่มาครับ ผมซื้อหนังสือลดราคามา 2 เล่ม คือคุกลับเกาหลีเหนือ และลับสุดยอดของตำรวจโลก 

                ในฆาตกรฯ เป็นเรื่องของตำรวจลับ และในเรื่องจริงฯ เป็นคุกลับเกาหลีเหนือครับ

.........................................

 

ภาพและเนื้อหาส่วนใหญ่เอามาจากหนังสือนี่หรือ...คือความจริง คุกลับในเกาหลีเหนือ ใครสนใจไปถามพนักงานพนักงานซีเอ็ดดู ผมซื้อจากห้างคาฟูที่เชียงใหม่ครับ ราคา 175 บาท ซื้อมาเพื่อเขียนตอนนี้โดยเฉพาะ

 

 

แผนที่ที่ตั้งคุกลับ(น่าจะใช่นะ ผมดูกูเกิลมา)

               

                เรื่องราวต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของผู้คุมและนักโทษที่หลบหนีมายังเกาหลีเหนือได้สำเร็จ

 

                เกาหลีเหนือเป็นประเทศที่ลึกลับที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง ลึกลับทั้งจากข้างนอกและภายนอก เพราะเกาหลีเหนือเป็นประเทศปิด ห้ามบุคคลใดๆ ภายนอกเข้ามา ยกเว้นกรณีพิเศษ เช่น งานเทศกาล หรือผู้นำอนุญาต 

                เกาหลีเหนือขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษย์ชนอย่างน่าสะพรึงกลัวที่สุดในโลก รายงานที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เรามักได้ยินข่าวการทรมาน การจับอดอาหาร การประหารชีวิต การใช้แรงงานเยี่ยงทาส การบังคับให้ทำแท้ง การฆ่าเด็กทารก การจับคนบริสุทธิ์ด้วยข้อหาเล็กๆ น้อย โดยไม่มีการไต่สวน

                แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือค่ายกักกัน(รู้จักในนาม GULAG) ค่ายกักกันเหล่านี้พูดซะเพราะ แต่หลายคนเรียกมันว่านรกบนดิน ขนาดของมันพอๆ กับเมืองเล็กๆ แต่ละแห่งจะมีคน 5000- 50000 คนล่าสุด แต่ถ้าเอามารวมกันจะมียอดนักโทษถึง 150000-200000 คนทีเดียว

                นักโทษในนิคมนี้ส่วนใหญ่มาจากญี่ปุ่น ครอบครัวเจ้าของที่ดิน นายทุน สายลับ(ที่ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า) ผู้สนับสนุนเกาหลีใต้ คริสเตียน นักรณรงค์ศาสนา และนักเคลื่อนไหวทางการเมือง คนที่ทำผิดเหล่านี้ต้องถูกส่งตัวเข้าค่ายกักกังแล้วแต่ความผิดที่ได้รับ บางคน 10 ปี บางคน 3 เดือน หรือบางคนตลอดชีวิตก็ยังมี แต่ขอบอกว่าเพียงแค่คุณเห็นสภาพคุกและความเป็นอยู่ของนักโทษเหล่านี้ขอบอกเลยว่า”อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว”, “โชคดีที่เกิดเป็นคนไทย”

                มีบางคนเถียงว่า “พวกนั้นทำผิดเองนี้ช่วยไม่ได้” ก็ขอตอบเลยว่า คดีต่างๆ ของนักโทษที่จองจำค่ายกักกันนั้น กระบวนการตัดสินส่วนใหญ่ไม่เป็นธรรม หลายคนที่รอดจากค่ายนี้ได้บอกว่าหลายคนโดนขังคุกแห่งนี้ด้วยข้อเล็กๆ น้อยๆ เช่น ทำรูปผู้นำเปื้อน ฉีกขาด, ทำผลผลิตไม่ตรงเป้าหมาย, โดนใส่ร้าย ฯลฯ แต่กรณีที่เลวร้ายกว่านั้นคือโนจำคุกทั้งครอบครัว ทั้ง พ่อ แม่ ปู ย่า ตา ยาย ลูก โดนหมด

                เรื่องราวต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง ไม่ใช้เรื่องเกิดขึ้นในอดีต และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขแต่อย่างใด ย้ำไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพราะผู้นำมองนักโทษเหล่านั้นไม่ใช้มนุษย์ ต่ำยิ่งกว่าสัตว์ เลยมีการสร้างคุกนรกนี้ขึ้นเพื่อให้ประชาชนหวาดกลัว และเมื่อมีผู้หลบหนีและเล่าเรื่องราวเหล่านี้ฟัง โลกถึงกับช็อกเรื่องที่คนเหล่านี้เล่า จนแทบไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง โอเวอร์ไปหรือเปล่า อีกทั้งรัฐบาลเกาหลีมักปฏิเสธว่าประเทศของตนไม่มีค่ายนรกแห่งนี้ แต่จากหลักฐาน จากการเขียนผังภาพ และเอามาเปรียบเทียบ กับภาพถ่ายทางอากาศ ก็พบว่ามันเป็นเรื่องจริง!!

                คนเหล่านี้ด้วยทุกข์ทรมาน บางคนตายอย่างน่าสมเพส ในคุกแห่งนั้น

                เชื่อหรือไม่จนบัดนี้คุกลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งสิ้น อดีตจะเป็นอย่างไรก็เป็นแบบนั้น...!!

               

                ผู้นำเกาหลีเหนือคนปัจจุบันคือ คิม จอง อิล (ลูกชายของ คุม อิล ซุง เผด็จการคนแรกของเกาหลีเหนือ) ผู้สืบทอดมรดกเกาหลีเหนือ ที่มีระบบเศรษฐกิจแบบวางแผนเต็มตัว

                กล่าวคือ รัฐบาลกลางภายใต้การนำของผู้นำเผด็จการ เป็นผู้กำหนดว่า จะผลิตสินค้าบริการอะไร ด้วยวิธีใด ผลิตแล้วใครจะเป็นคนได้ไปบริโภค โดยไม่มีตัวละคร คือผู้ผลิตเอกชนในเศรษฐกิจแต่อย่างใดเป็นผู้ร่วมเล่น ทั้งหมดดำเนินไปโดยการสั่งของรัฐบาลกลางทั้งสิ้น (ปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย)

คำถามว่า แล้วรู้ได้อย่างไรว่าจะผลิตข้าว ผักผลไม้ และบริการอื่นมากน้อยแค่ใด ใครเป็นคนผลิตและใครได้ไปบริโภค

                คำตอบก็คือ รัฐบาลกลาง ต้องคาดเดาเอาเองทั้งสิ้น เพราะไม่มีการอนุญาตให้มีเอกชนเป็นผู้ผลิต

หากถามต่อไปอีกว่า แล้วถ้าผลิตออกมามากไป จนไม่มีคนบริโภคหรือน้อยไปจนไม่พอบริโภคจะทำอย่างไร

                คำตอบแบบกวนๆ ก็คือ ต้องทำอย่างระวัง เพราะมันเป็นปัญหาปวดหัว เกิดการเหลือ และขาด ซึ่งก็คือการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดอยู่แล้วอย่างขาดประสิทธิภาพนั่นเอง การขาดแคลนแรงจูงใจในการดำเนินกิจกรรมเศรษฐกิจ เพราะแต่ละคนไม่ได้ประโยชน์โดยตรง แต่ต้องการทำงานให้รัฐด้วยอุดมการณ์ ขัดแย้งอย่างฉกรรจ์กับความโลภที่มนุษย์ส่วนใหญ่มีเป็นเจ้าเรือน

                ทั้งพ่อลูกเผด็จการจึงมีปัญหาเรื่องความขาดแคลนอาหารสำหรับประชาชนมาโดยตลอด เมื่อถูกซ้ำเติมด้วยภูมิอากาศแปรปรวนก็ยิ่งทำให้ปัญหารุนแรงยิ่งขึ้น

                ครั้นประชาชนจะหนีออกนอกประเทศก็ห้ามเด็ดขาด (ถ้าอนุญาตอาจเหลือแต่คิม จอง อิล คนเดียว) หากจับได้ก็ตาย หรือไม่ก็ถูกส่งไปอยู่ค่ายนรก

                ค่ายนรกจึงเปรียบเสมือนเสาสำคัญของการรักษาอำนาจไว้ เพราะมันสร้างอาณาจักรแห่งความกลัว ที่ทุกคนไม่กล้าหือ

                ค่ายนรกแห่งนั้นพูดง่ายๆคือเป็นมรดกสืบทอดมาจากพ่อของคิม จอง อิล นอกเหนือจากถูกสร้างขึ้นมา เพื่อทรมาน และทำลายนักโทษ มันยังเป็นที่  "คั้น" แรงงานออกมา โดยให้ทำงานหนักแบบแคมป์ของนาซี และโซเวียต(แต่ของเกาหลีเหนือโหดกว่า) โดยการแต่ละอย่างล้วนหนักทั้งสิ้น เนื่องจากสินค้าส่งออกที่สำคัญคือเกาหลีเหนือคือเหมืองแร่ ถ่านหิน นักโ?ษต้องทำงานในสภาพอาการเลวร้ายสุดๆ บางคนทำงานจนตายไปเลยก็มี

                สิ่งที่เป็นจุดเด่นของคุกนรกแห่งนี้คือ อาหาร ไม่ใช้อาหารห่วยแต่อย่างใด แต่ไม่มีอาหารเลยต่างหาก เพราะอาหารที่ใหน้อยมากๆ เพราะประเทศเกาหลีเหนืออาหารขาดแคลนอย่างรุนแรงทั้งประเทศ มาตั้งแต่ทศวรรษ 1990 แล้ว ดังนั้นนักโทษส่วนมากมักตายเพราะขาดอาหาร บางคนต้องกินเศษอาหารหมูเพื่อเอาชีวิตรอด(ถ้าจับได้จะโดนยิง) หนูเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ

               

                ถามว่ารู้ทั้งรู้ว่ามีการทรมาน มีการละเมิดสิทธิมนุษยชนทำไมต่างประเทศถึงอยู่เฉย

                ก็ตอบว่าเพราะประเทศเหล่านี้ไม่กล้ามีเรื่อง โดยเฉพาะเกาหลีใต้แต่ดั้งเดิมนั้นก็ไม่อยาก "เหยียบเท้า" ของทั้งพ่อ และลูกเผด็จการ กลัวจะเกิดปัญหาวุ่นวายตามมา จึงไม่ค่อยกล้ารับพวกที่หนีมาอย่างเปิดเผย ทำได้แต่แกล้งมองไปอีกทาง หรือทำไม่รู้ไม่เห็น ปัจจัยสำคัญอันหนึ่งที่ทำให้มันไม่เป็นเรื่องขึ้นมา ก็คือผู้นำเกาหลีใต้กี่คนที่ผ่านมาก็ไม่พูดเรื่องนี้ หรือทำให้เรื่องนี้สำคัญขึ้นมาก็ด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว นอกจากนั้นก็ยังมีจีนที่เป็นมิตรแนบแน่นกับเกาหลีเหนือ ถ้ามีเรื่องก็ต้องพูดกับจีน

                สำหรับประเทศไทย คุณคิดว่าไทยนั้นมีความสัมพันธ์กับดีกับเกาหลีใต้เหรอ ขอตอบว่าผิด ถ้าเราดูวีพีมีเดียจะพบว่าเกาหลีเหนือนี้แหละที่ใกล้ชิดกับเรามากที่สุด โดยดูยอดการค้าระหว่างประเทศพบว่ายอดการค้ากับไทยของเกาหลีเหนือนั้นเป็นอันดับ 3 ของเกาหลีเหนือ โดยดูจากปี 2007 ถึง 229 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้ยังมีโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม

                แต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ส่งผลต่อการเมืองระหว่างไทยกับเกาหลีเหนือจนได้ ในกรณี การ ลักพาตัว “อโนชา ปันจ้อย” หญิงสาวลูกชาวนา ชาวอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่โดยรัฐบาลเกาหลีเหนือ เมื่อปี พ.ศ. 2521 ระหว่างที่ไปทำงานในร้านเสริมสวยยังเกาะมาเก๊า ซึ่งเราคงทราบกันดีว่าเกาหลีเหนือนั้นชอบลักพาตัวชาวต่างชาติ และบังคับมาเป็นประชาชนในเกาหลีเหนือ ถ้าไม่ยอมก็ถูกส่งไปค่ายกักกังนรก

                สำหรับชาวเกาหลีเหนือที่อพยพมาไทยนั้น ปัจจุบันมียอดประมาณ 1000 คน ซึ่งส่วนมากไทยมักทำจับกุม แต่ไม่ส่งไปเกาหลีเหนือแต่อย่างใด เพราะรัฐบาลไทยรู้ดีถ้าส่งประเทศนี้ละก็ซะตากรรมของผู้อพยพนั้นต้องรับคืออะไร....

 

                และนี้คือ 5 เรื่องจริงสุดโหดของเกาหลีเหนือ ถ้าคุณอ่านครบ 5ตอน แล้วไม่เชื่อหรือเวอร์เกินไปก็ลองไปดูกูเกิลดูนะครับ (ภาพการ์ตูนมาจากการวาดของผู้อพยพชาวเกาหลีเหนือ)

 

                อันดับ5 ชีวิตนักโทษในค่ายกักกันที่ทุกคนต้องเจอ (ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)

                รายงานคร่าวๆ ที่ออกมาเราสามารถแบ่งประเภทของค่ายกักกัง 2 แบบคือ

                KWAN-LI-SO

               

                KWAN-LI-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมืองที่ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต (บางครั้งโดนจับคุมขังทั้ง 3 ชั่วคน คือ ปู่ พ่อ ลูกเลย) โดยไม่มีการไต่สวนคดี สถานที่ลักษณะนี้มี 6 หรือ 7 แห่งซึ่งใหญ่โต ทุกคนต้องทำงานหนัก และได้รับอาหารต่ำกว่าที่จะพอยังชีพ ขอบอกว่า อยู่วันเดียวก็ไม่ไหวแล้ว ตายซะดีกว่าที่จะอยู่ตลอดชีวิต

                 KYO-HWA-SO

                 

                KYO-HWA-SO ซึ่งหมายถึงสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง และนักโทษคดีอาญาปกติ โดยมีโทษจำคุกไม่ตลอดชีวิต ฟังดูอาจดีกว่าประเภทแรก แต่อัตราการตายสูงมาก จนถือกันว่าเป็นคุกแรงงานมรณะ เพราะมักตายก่อนครบโทษ

                นอกจากนี้ก็มีศูนย์กักกันพิเศษและคุกประเภทแยกย่อยต่างๆ  ที่โหดร้ายทารุณอีกมากมาย มีทั้งคุกเฉพาะสำหรับผู้ที่พยายามหนีไปจีนและถูกส่งกลับมา

                คุกแต่ละแห่งนั้นมีจุดเหมือนกันคือ ทั้งหมดตั้งอยู่พื้นที่ทุรกันดาน ห่างไกลจากความเจริญ ระบบการรักษาความปลอดภัยสุดยอดมาก คือมีการรักษาความปลอดภัยประตูเข้าออกอย่างแน่นหนา และมีรั้วไฟฟ้าสูงประมาณ 2.5 เมตร ล้อมรอบ นอกรั้วมีหลุมพรางที่ตกลงไปจะเจอกับดักขนเม่น หมอนหนาม  ส่วนประกอบของค่ายกักกันก็เหมือนกันคือมีโรงงาน ห้องคุมขัง(นรก) หอคอย คอกหมู เรือนพัก ฯลฯ

                นอกจากนี้จุดที่เหมือนกันคือ สภาพความเป็นอยู่แสนสกปรก กลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจ อาหารที่ให้ ค่อนข้างน้อยมาก(ประกอบด้วยซุปเกลือ ข้าวโพดหักๆ สำหรับเลี้ยงสัตว์มากกว่าเลี้ยงคน ส่งผลให้นักโทษต้องหาอาหารเองไม่ว่าจะต้องกิน หนู หนอน กินโคลน เพื่อประทังชีวิต ซึ่งเชื่อกันว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือมีนโยบาลควบคุมนักโทษโดยการอดอาหาร

                โดยทั่วไปนักโทษจะอยู่ในกระต๊อบที่สร้างอย่างหยาบๆ ทำจากดินเหนียวและมีหลังคามุงหญ้าคา ทำให้มันไม่มั่นคงจนมองดูเหมือนว่ามันจะถล่มมาได้ทุกเมื่อ ต้องใช้ไม้ค้ำยันไว้ตลอดเวลาและต่ำมากจนมองจากระยะไกลหรือมุมสูงไม่ค่อยเห็น ถ้าจะเปรียบเทียบละก็เหมือนหมู่บ้านขอทาน มันห่วยกว่าโรงวัวหรือคอกหมู  สภาพน่าอนาถจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือทางเข้าอันไหนคือหน้าต่าง มีรูเต็มไปหมด ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกเรียกว่าห ีบปากเพลง(Harmonica)

               
               ห้องครัวก็ทำแบบหยาบๆ สำหรับทำอาหาร(ที่จริงอาหารที่ทำมีไม่กี่อย่าง) เตาผิงสมัยโบราณกาล บนเพดานมีหลอดไฟหนึ่งดวง ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีชิ้นเดียวในเรือนแห่งนี้แล้ว

                กระต๊อบบางหลังใช้เป็นเป็นที่อยู่ของครอบครัว บางกระต๊อบใช้สำหรับกลุ่มนักโทษหญิง ส่วนของนักโทษชายโสดจะอยู่อย่างแออัดเต็มไปด้วยแมลง ทำให้ที่นั้นเต็มไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ นักโทษชายต้องนอนแออัดในห้อง 6x5 เมตรถึง 80-90 คน ที่นั้นเต็มไปด้วยตัวหมัด นอนบนพื้น เบียดเสียดกัน หัวไปทาง เท้าไปทาง ทำให้นักโทษบางคนต้องดมกลิ่นเท้าของคนอื่นที่เหม็นอย่างร้ายกาจ ยิ่งเป็นฤดูหนาวยิ่งทรมาน นักโทษต้องอาศัยไออุ่นจากเพื่อนนักโทษเพื่อสู้ไอหนาวที่เข้ามาพื้นห้อง แม้แต่ฤดูร้อนห้องเหล่านี้ยิ่งอบอวลไปด้วยกลิ่นเหงื่อและกลิ่นตัวของนักโทษ

                  อีกกระต๊อบหนึ่งก็มีไว้สำหรับนักโทษที่ทรมานจากโรคต่างๆ เช่นโรคตับอักเสบ โรคเรื้อน โรคทางจิตประสาท อันเป็นผลจากการขาดอาหารและถูกซ้อม มันเป็นกระท่อมเล็กๆ บนภูเขาที่ล้อมรวบด้วยรั่วหนามเหล็กสูง เหมือนเล้าไก่มากกว่า ไม่มีการรักษาการแพทย์ใดๆ พวกเขาถูกทิ้งไว้ที่นั้นเพื่อรอความตายเท่านั้น และไม่เคยได้ยินข่าวว่ามีผู้รอดชีวิตจากที่นั้นเลยสักราย

               
                  แต่สิ่งที่น่ากลัวที่สุดนอกเหนือจากที่นอนแล้วก็คือสุขา ถ้าคุณบอกว่าสุขาห้องส้วมในจีนน่ากลัวละก็ ที่ค่ายกักกันเกาหลีเหนือนรกกว่านี้อีก เพราะห้องส้วมค่ายกักกันนี้มีห้องใช้จำกัดและใช่ร่วมกัน ในเวลาเช้าเราจะเห็นนักโทษต่อแถวใช้อย่างยาวเหยียด หากรอไม่ไหว พวกเขาจะถ่ายออกมาแบบไม่เลือกที่ต่อหน้านักโทษคนอื่นๆ แม้แต่นักโทษหญิงก็ไม่สนใจต่อนักโทษชายที่มองเธอถ่าย ไม่มีกระดาษชำระ ต้องใช้ใบข้าวโพด ฟักทอง หรือใบอื่นมาใช้แทน โดยนักโทษ 300 คนจะมีห้องส้วมหนึ่งห้อง ห้องกว้าง 1 เมตร ยาว 2 เมตร นักโทษชาย 5-6 คนต้องใช้พร้อมกัน โดยมีบัตรไม้เป็นบัตรผ่าน ซึ่งจากรายงานเหลือเชื่อพบว่า นักโทษจะใช้ห้องน้ำนี้เพียงวันละ 2 ครั้งเท่านั้น และต้องเข้าไปเป็นลำดับกลุ่ม ห้ามเข้าไปใช้เมื่อใดก็ได้ที่จำเป็น ส่วนภายในห้องนั้น นักโทษจะนั่งยองๆ บนพื้นที่ลาดเอียง โดยถ่ายของเสียงไหลลงบนพื้นลาดเอียงนั้นเข้าช่องรูส้วมเดียวที่ปลายสุดของส้วม และสังเกตจากภาพข้างบนตะพบนักโทษที่ทำหน้าที่ดูแลการใช้ส้วมกำลังถือบัตรในมือ ซึ่งเป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของนักโทษ และคุณเชื่อหรือไม่ว่านักโษที่ทำหน้าที่นี้ต้องอยู่ในห้องสุดเหม็นนานถึง 17-18 ชั่วโมง ส่วนมากเป็นผู้สูงอายุและหญิงพิการในสภาพทำงานไม่ได้ พวกเขาอยู่ในสภาพชวนสยองใบหน้าบวมเพราะต้องอยู่กับกลิ่นเหม็นตลอดเวลา แต่นักโทษส่วนใหญ่มักเลือกทำงานนี้ เพราะได้อาหารเต็มส่วน และงานเบา เพียงแต่สิ่งที่ได้คือนักโษเหล่านี้จะเสียชีวิตใน 1 ปี

                ส่วนลักษณะที่พบเห็นโดยทั่วไปของนักโทษที่เข้าค่ายกักกันเมื่อถูกขังในระยะเวลานาน ผลที่ตามมาคืออยู่สถาวะขาดสารอาหารอย่างรุนแรงเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก ถูกใช้ทำงานหนักเกินกำลัง จนรูปร่างเตี้ยประมาณ 140-150 เซนติเมตร ศีรษะล้าน บิดเบี้ยวอย่างอนาถเพราะถูกซ้อม หลายคนเดินขาแปและหลังค่อม บางคนเดินไม่ได้ต้องเคลื่อนตัวไปข้างหน้าโดยการสั่นร่างกาย บางคนมีช้อนคันหนึ่งห้อยไว้ที่คอหรือมีกระป๋องเปล่าๆ ห้อยข้างตัว เด็กแทบทุกคนท้องป่องตาโปน และทุกคนสวมเสื้อผ้าเหมือนผ้าขี้ริ้วที่ทีรอยปะจนดูไม่ออกว่าเสื้อดั้งเดิมเป็นอย่างไร นอกจากนี้ร่างกายยังเต็มไปด้วยแมลงจำพวก เหา หมัด มีผิวดำเกรียมจนเหมือนพวกแอฟริกันมากกว่าคนเอเชีย และมีกลิ่นเหม็นอย่างร้ายกาจเพราะไม่มีการอาบน้ำใดๆ ทั้งสิ้น

                ยิ่งกว่า ของใช้ประจำวันของนักโทษจะขาดแคลนมาก เช่น รองเท้า และเสื้อผ้า ซึ่งหนึ่งคนจะได้เพียงอย่างละชิ้นเท่านั้น ถ้ามันพังหรือหายไม่มีเปลี่ยนให้ ทำให้นักโทษเหล่านี้แก้ปัญหาโดยขโมยเศษกระสอบหรือเศษผ้ามาปะเสื้อผ้าขาดวิ่งของพวกเขา บางครั้งถึงขั้นแย่งเสื้อผ้าจากซากศพคนตาย ซึ่งถ้าเกิดผู้คุมจับตายถึงขั้นประหารชีวิตทันที

                ส่วนอาหาร ไม่มีการเปลี่ยนเมนูแต่อย่างใด เพราะนักโทษต้องรับอาหารเหมือนกันหมดและซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ทุกวัน กินเพื่อกันตายเท่านั้น คือประกอบด้วยซุปเกลือหนึ่งถ้วยขนาดเท่าฝ่ามือ ข้าวโพดหักๆ ที่รูปร่างเหมือนอาหารสัตว์มากกว่าอาหารคนน้ำหนัก 100 กรัม(เรียกว่าอาหารเต็มมื้อ ขอบอกว่าน้อยมากๆ ไม่เชื่อลองเอาข้าวโพดอาหารสัตว์มาชั่งดู) ซึ่งก็มีแค่นี้ แถมอีกว่าถ้านักโทษทำความผิดก็จะมีการลงโทษโดยการลดปริมาณข้าวโพดเพื่อลงโทษ บางคนได้ข้าวโพดหักเพียง 80 กรัม บางคนก็ได้ 60 กรัม ซึ่งแน่นอนมันไม่พออิ่มแน่นอน ทำให้พวกนักโทษต้องหาอาหารกินเอง บางคนถึงยอมกับแอบกินเศษอาหารหมู กินแม้กระทั้งน้ำต้มจากรางอาหารหมู (หมูที่เลี้ยงในค่ายกักกันมีไว้เพื่อนำไปทำอาหารเลี้ยงผู้คุมนำวันเกิดของผู้นำทั้งสอง จะเห็นได้ว่าหมูนั้นได้รับการเลี้ยงดูกว่านักโทษเสียอีก) บางคนถึงขั้นกินหญ้า หนู งู กบ หนอน จิ้นเหลน  แมงวาบเป็นๆ เพื่อบรรเทาความหิวโหย

               
               ส่วนลักษณะของผู้คุม นอกเหนือผู้คุมจะแต่งตัวเป็นเครื่องแบบราชการแล้ว ผู้คุมจะสวมหน้ากากตลอดเวลา และอยู่ห่างๆ จากนักโทษเพื่อหลบกลิ่นเหม็น และที่ค่ายกักกันยังมีธรรมเนียมอย่างคือเวลาผู้คุมเรียกนักโทษ นักโทษต้องรีบวิ่งไปหาและคุกเข่าพร้อมก้นศีรษะ นักโทษทำได้แต่ตอบคำถามเท่านั้น ห้ามพูดนอกเหนืออะไรจากนี้ หากตอบช้าหรือเคลื่อนไหวเจ้า นักโทษจะถูกถีบที่หน้าหรือหน้าอก

                ผู้คุมได้รับคำสั่งให้ปฏิบัตินักโทษอย่างไร้ความปราณี เสมือนผู้คุมเป็นสัตว์เดรัจฉานและผู้พิพากษาที่ลงโทษตามใจชอบ ยิ่งกว่านั้นผู้คุมจะได้รับอำนาจสังหารนักโทษที่ใดก็ได้ เมื่อใดก็ได้ ข้อหาใดก็ได้ โดยไม่จำเป็นต้องเขียนรายงานหรือรับผิดชอบ(โดยมากคนที่ทำหน้าที่เป็นผู้คุมต้องทำหน้าที่ตลอดชีวิต ห้ามลาออกหรือย้ายไปไหน เนื่องจากรัฐบาลกลัวว่าผู้คุมเหล่านั้นจะเอาเรื่องนี้ไปแฉให้คนภายนอกทราบ)

                ทุกๆ วันจะมีตอนขานชื่อเช้าและเย็น ซึ่งตอนเย็นนั้นถือได้ว่าเป็นเป็นช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด นักโทษต่างเหนื่อยล้าจากการทำงานหนัก ไร้เรี่ยวแรงที่จะไปขานชื่อ บางคนต้องคลานไปจุดขานชื่อ นักโทษจะถูกควบคุมไม่ให้สื่อสารกับใคร ไม่ให้เขียนหรือรับจดหมายกันโดยไม่มีข้อยกเว้น 

                นักโทษทุกวัยจะถูกบังคับให้ทำความเคารพเจ้าหน้าที่ที่อยู่ค่ายกักกันทั้งหมด เวลาเจอหน้าต้องทำความเคารพโดยการโค้ง 90 องศา พวกเขาต้องเคารพแม้กระทั้งลูกๆ อายุ 5 ขวบของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พร้อมบอกว่า “คุณหนูของเจ้านาย” ซึ่งถือว่าเป็นการดูหมิ่นอย่างแรงของวัฒนธรรมเกาหลี    นอกจากนี้นักโทษทั้งหมดจะถูกหยามศักดิ์ศรีโดยผู้คุม นักโทษไม่มีสิทธิพูด หัวเราะ ร้องเพลง ห้ามอธิษฐาน หรือมองตนเองในกระจก เวลาทำงาน นักโทษจะต้องก้มหน้าก้มตาทำ ห้ามมีการเคลื่อนไหวใดๆ ที่ไม่เกี่ยวกับงาน ส่วนในโรงงานผู้คุมจะอยู่ตู้กระจกเพื่อสะดวกในการเห็นนักโทษทำงาน นักโทษจะทำงานหนักดั่งทาสเป็นเวลา 18 ชั่วโมงต่อวันถ้าทำงานไม่เสร็จหรือล้มเหลวสองครั้งจะถูกลงโทษโดยการเข้าคุก และถ้านักโทษหญิงมีท้องเมื่อใดจะถูกฆ่าทันทีที่คลอดออกมา

                และเมื่อถึงวันสิ้นปี เมื่อถึงเที่ยงคืนเป็นต้นไป นักโทษทุกคนต้องโค้งคำนับ “ท่านผู้นำผู้ยิ่งใหญ่” และผู้นำอันเป็นที่รัก”(คิมจองฮิวและบุตรชาย) สำหรับนักโทษแล้วช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาแห่งนรก เพราะพวกเขาทำงานหนักทั้งวันจนสายตัวแทบขาด อยากนอนหลับเพื่อเก็บพลังเอาไว้อยู่รอด แต่ต้องตื่นมาเที่ยงคืนเดินทางไปที่สำนักงานเพื่อโค้งคำนับผู้นำในวาระปีใหม่ ซึ่งเป็นสภาพไม่น่าดูมาก เพราะนักโทษต้องต่อแถวท่ามกลางอากาศหนาวเหน็บ อีกทั้งตอนเช้าพวกเขาต้องกลับมาที่นี้อีกครั้งเพื่อฟังบันทึกและต้องจำโอวาทปีใหม่ของผู้นำ ซึ่งถ้าใครจำไม่ได้จะต้องถูกลงโทษอย่างหนัก

                และนี้คือกฎระเบียบในค่าย(นิคม)กักกันในเกาหลีเหนือ(ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันยังมีอยู่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด)

1.             ถ้าหนีจะถูกยิงทิ้งทันที

2.             ห้ามชุมนุมเกิน 3 คน

3.             ห้ามขโมยของจะถูกยิงทิ้ง

4.             ถ้านักโทษแสดงไม่พอใจแก่ผู้คุมจะต้องโดนยิงทิ้ง

5.             นักโทษต่อต้านผู้คุมไม่ได้

6.             ชายและหญิงห้ามสัมผัสกันโดยไม่รับอนุญาต จะถูกยิงทิ้ง

7.             ฯลฯ

 

 (ติดตามตอนต่อไป+ +)

หัดไปอัพบอร์ดบ้างสิย่ะ รู้นะว่าแกอู้!!!!!
psynis/kunra
Full Member
***
กระทู้: 866


Re: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« ตอบ #4 เมื่อ: 28-12-2009, 16:41:28 »

เหมือนอิมแพลดาวน์เลยนะ Evil Evil Evil(สะกดถูกมั้ยเนี่ย) Huh?



ชอบ สึนะH อิซายะ วิศนะ อเลน
เชียร์ 8059 อิซาชิสึ ฯลฯคู่แรร์ทุกประเภท
David Villa
Hero Member
*****
กระทู้: 3,755

<~.Barca.~>


Re: เรื่องจริงสุดโหดของคุกลับเกาหลีเหนือ
« ตอบ #5 เมื่อ: 28-12-2009, 19:49:54 »

  ใช่



ป้าย:
หน้า: [1]