1.ม้วนกระดาษในห่อผ้า************************************************
ท่ามกลางคลื่นลมที่โหมกระหน่ำของคืนหฤโหดกลางทะเล ฟองคลื่นกลืนตามเกลียวที่บิดหมุนราวกับใบหน้าอันโขดขึ้งของเทพเจ้าเเห่งท้องทะเล สายฟ้าแลบเเปรบปราบส่งเสียงเปรี้ยงปร้าง สายฝนกระหน่ำด้วยมหาพายุที่บ้าคลั่ง เรือขนส่งลำใหญ่สีขาวลอยผลุบๆโผล่ๆ ตามจังหวะของคลื่นลมที่กรรโชก หลายครั้งที่มันทะยานขึ้นสู่อากาศในสภาพไร้น้ำหนักด้วยเเรงเหวี่ยงอันมหาศาลของคลื่นที่ประทะกันลูกเเล้วลูกเล่า
เรือลำนั้นตอกป้ายชื่อเหล็กกล้าตรงด้านหน้าของเรือว่า
'มังกรทะเล 178' มีเสากระโดงเรือสีดำสนิทที่มีเส้นวงกลมสีทองอยู่รอบๆเสาเป็นจำนวนสิบเจ็ดวงเเต่ละวงห่างกันสิบเจ็ดนิ้วอย่างพอดิบพอดี เรือลอยบนท้องทะเลที่บ้าคลั่งอย่างสมดุลเพราะถูกสร้างมาอย่างดี ซึ่งผู้ออกเเบบเชื่อมั่นว่าสามารถลอยลำท้ามฤตยูเเห่งธรรมชาติได้อย่างไม่สะทกสะท้าน พายุยิ่งทวีความรุนเเรงก่อเกลียวคลื่นให้สูงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าราวกับจะรู้ว่าไม่อาจทำอันตรายกับเจ้าเรือลำมหึมานี้ได้ ท้องฟ้าคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
เพียงเสี้ยววินาทีสายฟ้าสีขาวฟาดลงบนกราบเรือด้านซ้ายอย่างจัง เเผ่นไม้ขนาดใหญ่ถูกฉีกออกเป็นร้อยเป็นพันเสี้ยวลอยละลิ่วปลิวหายด้วยเเรงลม เปลวเพลิงลุกลามกัดกินเนื้อไม้สีขาวเป็นเถ้าถ่าน ตามมาด้วยสายฟ้าพิโรธอีกหลายเปรี้ยงที่บรรจงฟาดลงตัวเรืออย่างเเม่นยำ เปลวไฟโหมลุกลามเผาไหม้ด้านในเรืออย่างรวดเร็ว ควันดำโขมงพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทางที่อากาศสามารถเล็ดลอดออกจากในเรือได้ คลื่นยักษ์ถาโถมสู่เรืออย่างไม่ปราณี
คลื่นสองลูกกระทบกันอย่างรุนเเรงส่งให้เรือมังกรทะเล 178 ลอยลิ่วอยู่ครู่หนึ่ง ฉับพลันอัสนีบาตวินาศผ่าลงเสากระโดงเรือด้วยพลังที่มากกว่าสายฟ้าใดๆหลายสิบเท่า เศษไม้ปลิวว่อนกลางอากาศ ซากเรือตกกลับลงสู่ทะเลดำดิ่งสู่ก้นสมุทรอันมืดมิด เสียงท้องฟ้าคำรามอย่างน่ากลัวราวหัวเราะเย้ยในผลงานอันป่าเถื่อนของตน
ศึกครั้งนี้ธรรมชาติเป็นฝ่ายชนะ
เสียงคำรามกู้ก้อง ท้องฟ้ามืดมัวหม่น....
---------------------------------------------
คลื่นลมเมฆดำเมื่อค่ำคืนจางหายไป ลมทะเลโบกเบิกฟ้ายามอรุณรุ่ง คลื่นซัดสาดหาดทรายขาวเป็นจังหวะ นกทะเลโบยบินบนท้องฟ้าเป็นกลุ่ม คลื่นสีเงินยวงระยิบระยับดั่งคีตะขับขาน ท่าเรือเรดคลิฟดาษดื่นด้วยชาวเมืองเมืองเเละนักเดินทางจากทุกสารทิศสร้างสีสันแห่งชีวิตในเมืองเล็กๆ อีกครั้ง
อัลเฟรดหยิบเศษไม้ที่ถูกคลื่นซัดขึ้นมาบนหาดมาพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ไม่ผิดแน่นี่คือเรือมังกรทะเล 178 ที่ถูกพายุกลืนหายไปเมื่อคืน เศษไม้ที่เป็นสีขาวสะอาดบ่องบอกถึงวัสดุที่ใช้สร้างเป็นวัสดุชั้นดี อัลเฟรดเดินเลียบตามชายหาดที่เต็มไปด้วยเศษไม้สีขาวๆ ต่อคล้ายจะมองหาอะไรบางอย่าง
“เจอมันหรือยังอัลเฟรด” เสียงแหบแห้งของโซลอนดังขึ้นจากอีกด้านของชายหาด รู้ได้ทันทีว่าเขาและอัลเฟรดมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน
"ยัง" อัลเฟรดตอบ "เเต่คิดว่ามันต้องอยู่ที่ใดที่หนึ่งในชายหาดนี้เเน่ๆ"
"ก็ขอให้เป็นอย่างนั้น" โซลอนรำพึง
"เครื่องชี้ตำเเหน่งไม่น่าจะผิดพลาดนะ เเต่นี่เราก็เสียเวลามานานโขเลยทีเดียว" อัลเฟรดมองดูเข็มสีเเดงในผลึกใสทรงเเปดเหลี่ยมอย่างพินิจพิเคราะห์ "หวังว่ามันคงไม่เสียนะ"
"ก็หวังว่าจะไม่เป็นอย่างหลังนะ" โซลอนเปรย
ทั้งสองเดินตามชายหาดอยู่พักหนึ่ง อัลเฟรดเเลเห็นสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายเสาสีดำสนิทลอยปริ่มอยู่เเถวโขดหินสีขาวนวลห่างจากจุดที่เขายืนอยู่ลงไปในทะเลราวห้าสิบเมตร
"เจอเเล้ว!! โซลอน ฉันเจอมันเเล้ว มานี่เร็วเข้า" อัลเฟรดร้องลั่นด้วยความดีใจ
"เอามันขึ้นมาเร็ว"
อัลเฟรดเเละโซลอนพากันเดินลุยน้ำทะเลเพื่อลากเสาลึกลับต้นขั้นขึ้นมาบนฝั่ง เสาต้นนี้มีขนาดใหญ่เท่ากับสองคนโอบ โซลอนมัดเสาด้วยเชือกชั้นเยี่ยมที่ถักมาจากเส้นผมของภูติพฤกษาที่จะพบเห็นได้เฉพาะในป่าโบราณทางตะวันตกเฉียงเหนือของเรดคลิฟเท่านั้น ทั้งสองช่วยกันอยู่นานอย่างทุลักทุเล เเม้ว่าน้ำทะเลจะลึกเพียงอกของทั้งคู่เเต่ขนาดมหึมาของมันทำให้ทั้งสองต้องทุ่มเทพละกำลังทั้งหมดเลยทีเดียว
ตะวันลอยสูงตั้งฉากกับพื้นดิน บอกว่านี่คือเวลาเที่ยงวันเเล้ว เเต่อัลเฟรดกับโซลอนยังคงช่วยกันลากเจ้าท่อนไม้ยักษ์ขึ้นมาบนชายหาด ในที่สุดมันก็ขึ้นมาอยู่บนบกในสภาพมีเชือกมัดโดยรอบเเละมีชายวัยกลางคนสองคนนอนหอบอยู่ข้างๆ
"ไอ้เสาต้นนี้มันหนักกว่าที่คิดไว้แฮะ" อัลเฟรดบ่น "รู้อย่างนี้พาเจ้าพวกนั้นมาด้วยก็ดีหรอก"
"ก็นายอยากดื้อมากันเองทำไมล่ะ ชอบนักไม่ใช่เหรอศักดิ์ศรีน่ะ" ถึงคราวโซลอนบ่นบ้าง
อัลเฟรดนอนเเผ่บนผืนทรายทำท่าคล้ายจะเหยียดมือเเละเเขนให้พันรอบโลก นั่นสินะถ้าเขาไม่ห่วงศักดิ์ศรีมากเกินไปคงไม่ต้องเหนื่อยอย่างนี้
"เเต่ยังไงมันก็ขึ้นมาเเล้วนี่นา"
"รีบๆ เเจ้งไปที่ศูนย์เถอะ เรายังมีงานอีกอย่างต้องทำ" อัลเฟรดพูด
โซลอนล้วงกระเป๋าเป้ตราพิกม่าของเขาเเล้วหยิบเเบตตี้สื่อสารขึ้นมา อันที่จริงเขาอยากจะใช้ป๊อกกี้สื่อสารมากกว่าเพราะมันสามารถจดจำคำพูดได้มากกว่าเเบตตี้หลายเท่าถึงเเม้ว่ามันจะเดินทางช้ากว่า ที่สำคัญที่สุดคือเขาเกลียดค้างคาว
โซลอนวางมันบนตักเเล้วกดปุ่มสีเหลืองตรงหัวของเเบตตี้เเล้วทดสอบสัญญาณ มันส่งเสียงดังปี๊บๆ สามรอบ อันเป็นสัญญาณว่าพร้อมบันทึกข้อมูลเเล้ว
"คัมปาย คัมปาย จากหน่วยวิจัยที่สิบสี่ถึงกองวิจัยส่วนกลาง ขณะนี้พบวัตถุเป้าหมายที่หนึ่งเเล้วที่พิกัดสองร้อยสี่สิบห้าจุดหนึ่งร้อยยี่สิบสอง เเละกำลังเดินทางหาวัตถุเป้าหมายที่สอง คัมปาย คัมปาย" โซลอนกดปุ่มสีเหลืองอีกครั้งเพื่อสิ้นสุดการบันทึกเสียง ไฟสีเเดงบนหน้าผากเเบตตี้ตัวน้อยสว่างขึ้นเป็นสัญญาณว่าข้อมูลเสียงได้ถูกบันทึกไว้ในหน่วยความจำเรียบร้อยเเล้ว จากนั้นจึงปล่อยให้เเบตตี้สื่อสารบินกลับกองวิจัย
อัลเฟรดกดปุ่มเล็กๆ ด้านข้างของผลึกแปดเหลี่ยม เข็มสีเเดงค่อยเปลี่ยนทิศไปทีละน้อยจนหยุดนิ่ง บอกถึงตำเเหน่งของวัตถุที่สอง
"เรารีบไปกันเถอะ ตามที่เข็มชี้ไปคงจะอยู่ห่างจากนี่ไม่ไกลเท่าไหร่" อัลเฟรดบอกกับคู่หู "ถ้าเราไปช้า เดี่ญวเจ้านั่นจะตายไปซะก่อน"
"ตายงั้นเรอะ" โซลอนหัวเราะชอบใจ "เจ้านั่นน่ะไม่ตายหรอก ถึงยมทูตจะมาคร่าวิญญาณของมันไป ท่านผู้นั้นคงไม่ยอมเเน่"
"อย่าทำเป็นหัวเราะไป" อัลเฟรดปราม "ถ้ามันตายขึ้นมาจริงๆ เราต้องเเย่เเน่"
"ไปกันเถอะ จากที่คำนวนคงห่างจากจุดนี้ไม่ถึงสองกิโลเมตรหรอก"
ทั้งสองพยุงตัวขึ้นเเล้วเดินไปตามทิศทางที่เข็มสีเเดงในเครื่องชี้ตำเเหน่ง
*****************************
โยฮานนั่งหอบอยู่ภายในลูกบอลโปร่งใสมานานหลายชั่วโมงเเล้ว มันลอยเท้งเต้งกลางทะเลตั้งเเต่เมื่อคืน เขาครุ่นคิดออกเเนววิตก หากเขาออกไปจากที่นี่ไม่ได้เขาต้องโดนดุ๊กกี้ยักษ์เเห่งท้องทะเลเขมือบเเน่
"บ้าเอ๊ย !!!!" โยฮานตะโกนลั่น "ในคู่มือบอกว่าหน่วยเก็บกู้จะมาภายในสองชั่วโมงนี่หว่า เเล้วนี่ฉันอยู่ที่ไหนล่ะเนี่ย !!!!"
โยฮานลุกขึ้นกระโดดถีบผนัง มันยุบลงตามเเรงถีบเเล้วดีดกลับ ส่งให้โยฮานล้มกลิ้งไม่เป็นท่า
"เจ้าพวกบ้า รีบมาเร็วๆสิเฟ้ย !!!"
*****************************