ผู้เขียน หัวข้อ: สูตรยาดี  (อ่าน 510 ครั้ง)

ออฟไลน์ Chirw

  • Captain
  • **
  • กระทู้: 104
  • §▬Godswar▬§
สูตรยาดี
« เมื่อ: กันยายน 04, 2010, 16:12:37 »
>     สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ ‘
>     ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ ‘ เช่น
>     1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
>     น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จ ะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
>
>     2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
>     3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมัน
>     ไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
>
>     4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ
>     สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
>
>     5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
>
>     6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า
>     ( ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )
>     น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
>
>     7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
>     และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
>
>     8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว)
>     กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
>
>     9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย
>     ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
>
>     10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
>     ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
>
>     11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
>     ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
>
>     12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
>     กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
>
>     13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
>
>     14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี
>     โดยเฉพาะรำข้าวกะหล่ำปลี
>     ช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม
>     ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
>
>     15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเอ
>     อยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
>
>     16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี
>     ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
>
>     17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก
>     ช่วยให้อาการปั่นป่วน ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
>
>     18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี ‘ โมโรอันแซตเทอเรต ‘
>     ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ‘ คลอเลสเตอรอล ‘ ได้
>
>     19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี
>     ทำให้ระดับความดันเลือดลดลง
>
>     20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง
>     ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้
>
>     พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วย สร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง
>     คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
>     โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ ลูกหลาน
>     ไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพย ากรธรรมชาติของ
>     เราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้า
>     และคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้
>     ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
>
>     อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
>     1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ
>     ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์
>     หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด
>     เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
>
>     2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์
>     หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
>
>     3. มะเร็งรังไข่ อาการ
>     ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์
> & nbsp;   มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
>
>     4. มะเร็งในเม็ดเลือด ( ลูคีเมีย)
>     อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
>     หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อต่าง
>     ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
>
>     5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ
>     มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ
>     เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
>
>     6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร
>     น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
>
>     7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
>
>     8. มะเร็งสมอง อา การ ปวดศีรษะนาน ๆ
>     และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า
>     และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ
>     การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
>     ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
>
>     9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก
>     < SPAN lang=TH>หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน
>
>
>     10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที
>     มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมใน
>     ลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
>
>     11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร
>     อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย
>     รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
>
>     12. มะเร็งทรวงอก
>     อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้
>     บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10
>     คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น
>     เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์
>     ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
>
>     13. มะเร็งลำไส้ อาการ
>     น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
>     **** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใ
>     ช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคือ
>     อาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
>
>     14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
>     อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้
>     เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
>
>     15. มะเร็งผิวหนัง
>     อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง
>     ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา
>     (Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น
>     กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ด
>     ทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
>     ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
>     ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน       6 วัน วิธีรักษา – ไปที่ร้านย าจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
>     นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
>     สรรพคุณในการรักษา – หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆ
>     นำส่วนที่เหลือมารับประทาน
>     ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ
>     เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
>
>     *** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็น เงินค่ารักษา
>     และขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาด
>     หากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน
>     ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความสมหวังทุกประการ


*............*
สวัดดี ชาว •๐▬GodsWar▬๐• ทุกคน[/color][/size]

ออฟไลน์ jokerzero

  • Sergeant
  • *
  • กระทู้: 1
Re: สูตรยาดี
« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2010, 14:26:00 »
มะเร็งเต้านม โรคที่หญิงไทยควรรู้



ผู้หญิง ไทยทุกวันนี้ มีความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งเต้า นมสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในหลายๆ เมือง อาทิเช่น กรุงเทพฯ, ขอนแก่น, เชียงใหม่ และลำปาง จนทำลายสถิติที่ใครก็ไม่อยากให้เกิดขึ้น แซงหน้ามะเร็งปากมดลูก กลายเป็นอันดับหนึ่งในสตรี และอีกไม่นานเชื่อว่าภาพรวมทั้งประเทศ มะเร็งเต้านมน่าจะเป็นมะเร็งที่พบเป็นอันดับหนึ่งในผู้หญิงไทยแน่นอน จากที่เคยทราบมาว่ามะเร็งเต้านมเป็นโรคของผู้หญิงสูงวัย หรือหญิงวัยทอง แต่จากการศึกษาของกลุ่มศัลยแพทย์ในประเทศไทยกลับพบว่า อายุเฉลี่ยโดยประมาณที่เริ่มเป็นมะเร็งเต้า นมอยู่ที่ 40 ปี น้อยกว่าตัวเลขของต่างชาติถึง 10 ปี ทั้งยังพบมากขึ้นเรื่อยๆ ในผู้หญิงอายุน้อยๆ ซึ่งล่าสุดพบว่า เด็กหญิงอายุเพียง 16 ปีก็เป็นมะเร็งเต้านมแล้ว

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม
จาก สถิติดังกล่าวนั้นคงเป็นเรื่องที่ผู้หญิงหลายๆ คนนิ่งนอนใจไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เราคงต้องหันมาหาสาเหตุกันว่าอะไรกันแน่ที่เป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการทำ ให้เกิดมะเร็งเต้านม และจากการศึกษาของแพทย์ พบว่าเกิดจาก ปัจจัยทางพันธุ์กรรม 5-10%, การรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันสูง, การไม่ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ, การรับฮอร์โมนภายนอกเป็นระยะเวลานานกว่า 5-10 ปี ไม่ว่าจะเป็นยาเม็ดคุมกำเนิด ฮอร์โมนทดแทนในวัยทอง ก็ล้วนแล้วแต่ทำให้เพิ่มความเสี่ยงได้ แต่มีบางคนสงสัยว่า การใส่เสื้อชั้นในที่มีโครงเหล็ก การใช้โรลออลส์ทารักแร้ การผ่าตัดเสริมเต้านม ดื่มนมถั่งเหลือง ล้วนแล้วแต่ให้ให้เกิดความเสี่ยง แต่ในทางการแพทย์ยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่ชี้ชัดว่าเป็นสาเหตุจริงๆ แม้แต่การมีซีสต์ในเต้านม ก็ไม่มีข้อบ่งชี้ว่าเพิ่มความเสี่ยง

การป้องกันโรคมะเร็งเต้านม
เรา ป้องกันมะเร็งเต้า นมได้ ด้วยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ อย่างน้อย 30 นาที ประมาณสัปดาห์ละ 3 ครั้งขึ้นไป ไม่บริโภคอาหารไขมันสูง ระมัดระวังการใช้ฮอร์โมนภายนอก นอกจากนี้ผู้หญิงทุกคน ควรที่จะฝึกคลำเต้านมด้วยตนเองอย่างสม่ำเสมอ และการตรวจอื่นๆ มีแนวทางดังนี้

- ตรวจเต้านมด้วยตนเอง อย่างน้อยเดือนละ 1 ครั้ง เมื่ออายุ 20 ปีขึ้นไป
- ตรวจเต้านมโดยแพทย์ ทุก 3 ปี ตั้งแต่ อายุ 20 ปี เป็นต้นไป หลังจากอายุ 40 ปี ควรได้รับการตรวจทุก 1 ปี
- ควรทำแมมโมแกรม และ/หรือ อัลตราซาวน์ในช่วงอายุ 35-40 ปี 1 ครั้ง หลังจากอายุ 40 ปี เป็นต้นไปควรทำทุก 1-2 ปี
- ในผู้ป่วยที่มีประวัติ ญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ ควรเริ่มทำการตรวจตั้งแต่อายุที่ญาติเป็น ลบออก 5 ปี

สิ่งที่ตรวจพบที่ต้องระวังและมาพบแพทย์
คือ ถ้าเจออาการต่อไปนี้ ก้อน หรือ เนื้อเต้านมหนากว่าปกติ ผิวหนังแดง หรือร้อน รูขุมขนใหญ่ขึ้นเหมือนผิวส้ม ผิวหนังบุ๋ม หรือมีการหดรั้งมีการนูนของผิว ปวดกว่าปกติที่เคย คัน มีผื่น โดยเฉพาะบริเวณหัวนม และฐานรอบหัวนม หัวนมบุ๋ม การชี้ของหัวนมเปลี่ยนทิศทาง เลือดไหลออกจากหัวนม หรือมีแผลที่หายยากของเต้านม หัวนม เมื่อมาพบแพทย์ การวินิจฉัยมะเร็งเต้านมในปัจจุบันก็ไม่ ยุ่งยาก ไม่ต้องเจ็บตัวหรือมีแผลขนาดใหญ่ๆ จากการผ่าตัด หลังจากที่มีการตรวจร่างกายโดยแพทย์ผู้ชำนาญแล้ว แพทย์จะทำการตรวจเพิ่มเติมด้วยเครื่องแมมโมแกรมและอัลตราซาวน์ ในปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิตอล แมมโมแกรมทำให้ภาพที่เห็นมีความชัดมากขึ้นกว่าเดิมที่เป็นระบบอนาล็อค

ใน รายที่มีเนื้อเต้านมแน่นมาก หรือมีความเสี่ยงสูง การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ก็สามารถให้การวินิจฉัยได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพบรอยโรคที่สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งเต้า นม แพทย์ก็จะใช้เข็มที่มีขนาดเล็กเพียง 1.5 มม. มาทำการเจาะตรวจชิ้นเนื้อ แม้ในรายที่คลำก้อนไม่ได้ ก็สามารถใช้แมมโมแกรม อัลตราซาวน์ หรือ MRI มาเป็นตัวนำทางให้เข็มไปเจาะถูกตำแหน่งที่สงสัยได้อย่างแม่นยำ เมื่อได้ชิ้นเนื้อ พยาธิแพทย์ก็จะดูผลว่าเป็นมะเร็งหรือไม่ ถ้าท่านเป็นมะเร็งก็ไม่ต้องตกใจ เพราะปัจจุบัน วิวัฒนาการ ด้านการรักษา ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัด การให้ยาเคมีบำบัด การรักษาด้วยฮอร์โมน การฉายแสง หรือการรักษาแบบพุ่งเป้า (Target therapy) ซึ่งให้ผลการรักษาที่ดี สำหรับการรักษาด้วยการผ่าตัดมีความทันสมัยมากขึ้น ปัญหาแทรกซ้อนน้อยลง เต้านมยังมีความสวยงามใกล้เคียงธรรมชาติมากขึ้นไม่ต้องทุกข์ทรมาน จากแขนที่บวมเนื่องมาจากการเลาะต่อมนำเหลืองรักแร้

 

 
สนับสนุนเนื้อหา
 
คำที่เกี่ยวข้อง : สุขภาพ   มะเร็ง   โรคผู้หญิง   มะเร็งเต้านม   

ออฟไลน์ หลานผู้พันคาร์เตอร์

  • Sergeant
  • *
  • กระทู้: 3
  • บ้าไปแล้วชั้น ..
Re: สูตรยาดี
« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2010, 21:43:13 »
กระทู้ดีมีสาระ แต่ไม่มีคนดัน  ...

ถ้าไม่ถือ ขอยืมไปลงในบอร์ดอสุราได้มั้ยครับ?