ตัวอย่างที่เคยเล่าสู่ให้กันฟังไปแล้วคือ
การลุกฮือของชาวมุสลิมเชื้อสายมลายูขึ้นสังหารคนจีนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ.2512 ตามท้องถนนมีกลุ่มคนถือมีดพร้าและปืนเข้าค้นบ้านคนจีนเพื่อลากคนในบ้านออกมาทำร้าย ในขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งหนีเอาชีวิตรอดหัวซุกหัวซุน อันเป็นเหตุให้คนจำนวนมากเสียชีวิต บ้านเรือนถูกเผายับเยินย้อนเวลาใกล้เข้ามาอีกนิด เมื่อสิบปีที่แล้ว ในเดือนพฤษภาคมปี 2541 เมื่อพิษวิกฤตต้มยำกุ้งกำลังเขย่าบัลลังก์ของนายพลซูฮาร์โต้แห่งอินโดนีเซีย มีการจราจลตามจุดต่างๆกลางกรุงจาการ์ต้านครหลวงโดยมีประชาชนชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนตกเป็นเป้าอีกตามเคย
การจลาจลดำเนินไปเป็นเวลากว่าสองวัน
กลุ่มชายติดอาวุธออกตระเวณไปตามท้องถนน ทำร้ายและสังหารชาวจีนที่พบเห็น บ้านเรือนกว่า 4,000 หลังถูกเผา มีรายงานผู้เสียชีวิตสูงถึง 1,500 คนในเวลาเพียงไม่กี่วัน เป็นบาดแผลทางใจให้แก่คนจำนวนมากมาจนทุกวันนี้ เพื่อนชาวอินโดนีเซียเชื้อสายจีนคนหนึ่งเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า ในช่วงที่เความรุนแรงก่อตัวถึงขั้นเสีเลือดเสียเนื้อ เธอได้รุดไปยังสนามบินแห่งชาติซึ่งเป็นที่หมายของชาวจีนในจาการ์ต้าจำนวนมากที่ต้องการจะเดินทางออกนอกประเทศ
เธอบอกว่า ในวันนั้นคนเป็นพันๆรวมทั้งลูกเล็กเด็กแดงและคนแก่ พากันยึดพื้นที่สนามบินเป็นที่หลับนอน ด้วยความหวังว่าจะได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวต่อไปให้ได้เร็วที่สุด เป็นภาพที่เธอจะไม่ลืมเลือนเลยตลอดชีวิต แม้ว่าดูเผินๆแล้ว ที่มาของความรุนแรงที่เกิดขึ้นในมาเลเซียและอินโดนีเซีย เป็นเรื่องของความขัดแย้งทางเชื้อชาติที่ไม่มีอะไรคล้ายคลึงกับบ้านเรา แต่การศึกษาหลายชิ้นชี้ว่า
เหตุการณ์ทั้งสองเป็นเรื่องของการช่วงชิงและรักษาอำนาจทางการเมืองของผู้นำกลุ่มหนึ่งที่ใช้การปลุกปั่นให้เกิดสถานการณ์สุดโต่ง โดยผู้ถูกปลุกปั่นมีความเต็มใจและกระหายที่จะเอาชีวิตผู้อื่น และเปลี่ยนบ้านเมืองของตัวเองให้กลายเป็นนรกบนดินได้อย่างไม่ยั้งคิด เมื่อมองกลับเข้ามาในประเทศไทย แล้วแลเห็นคนกลุ่มเสื้อคนละสีเออกตระเวณด่าทอ ขว้างปาสิ่งของจนถึงขั้นเริ่มคร่าชีวิตของกันและกันแล้วในนามของความถูกต้องทางการเมือง ก็อดคิดไม่ได้ว่า หากทั้งสองฝ่ายยืนยันที่จะเดินหน้าใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน กรุงเทพฯอาจกลายเป็นนรกไม่ต่างอะไรกับประเทศเพื่อนบ้านในอดีต
เมื่อความขัดแย้งทางการเมืองยุติลง จะมีแต่คนตัวเล็กตัวน้อยผู้สูญเสียเท่านั้น ที่อาจต้องแบกความเสียใจไปชั่วชีวิตจากความเถื่อนเสองสามวันในหน้าประวัติศาสตร์
...โดย มุสตาฟา อาลี /มติชนออนไลน์
ที่มา
http://www.muslimthai.com/main/1428/printable.php?category=18&id=1842