รู้จัก "ซูฮาร์โต" ผู้นำโคตรโกงของโลก
จาก ไทยรัฐออนไลน์http://www.thairath.co.th/column/oversea/around/67393 ต่อให้ประเทศพัฒนาไปอย่างรวดเร็วขนาดไหน แต่ถ้ามีผู้นำชอบสวาปามโกงกินชาติบ้านเมืองแล้วยังลอยนวลอยู่ได้ นับวันก็มีแต่จะถอยหลังเข้าคลอง กลายเป็นประเทศกลวงๆ ที่ดูสวยงามแต่เปลือก พอกะเทาะดูเนื้อในกลับเน่าเฟะเละเทะเกินเยียวยา
เรื่องผู้นำขี้โกงมีให้เห็นอยู่ทั่วทุกมุมโลก แต่รายที่โคตรโกงซิกแซ็กเก่งจนได้รับตำแหน่งผู้นำโคตรโกงอันดับหนึ่งของโลก เห็นจะเป็น อดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต แห่งอินโดนีเซีย ตามการจัดอันดับ 10 ผู้นำทุจริตคอรัปชันที่สุดของโลกในรอบ 20 ปี โดยองค์การเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศสำรวจไว้เมื่อหลายปีก่อน ตีแผ่ว่า "ซูฮาร์โต" ทำสถิติคอรัปชันสูงสุดถึง 15,000-35,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา 32 ปี ของการปกครองประเทศ ตั้งแต่ปี 1967 ถึง 1998
จากลูกชาวนาจนๆที่เกิดบนเกาะชวา เขาสามารถสร้างเนื้อสร้างตัว จนขึ้นชั้นเป็นอภิมหาเศรษฐี รวยที่สุดติดอันดับท็อปเทนโลก ด้วยสินทรัพย์ ส่วนตัวถึง 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เพราะใช้อำนาจมิชอบเพื่อเอื้อประโยชน์สูงสุดแก่พวกพ้องน้องพี่ และเปิดทางให้บริษัทที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตนเองได้รับสิทธิ์ผูกขาดธุรกิจแบบไร้คู่แข่ง
นอกจากจะคอรัปชันเก่งจนเป็นที่เลื่องลือแล้ว "ซูฮาร์โต" ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ อย่างหนักเรื่องการละเมิด สิทธิมนุษยชน จากการใช้กำลังทหารเข้าปราบ ปรามกองกำลังแบ่งแยกดินแดนติมอร์ตะวันออก โดยไม่ฟังเสียงคัดค้านของนานาประเทศ ส่งผลให้มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก
อย่างไรก็ดี เมื่อ อินโดนีเซียเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจ ในปี 1997 จนต้องร้องขอความช่วยเหลือ จากไอเอ็มเอฟ กลายเป็นชนวนปลุกเร้าให้ประชาชนลุกฮือขึ้นประท้วงเพื่อขับไล่ผู้นำจอมเผด็จการ โดยเหตุการณ์ประท้วงได้บานปลายกลายเป็นจลาจลใหญ่ หลังจาก "ซูฮาร์โต" สั่งทหารและตำรวจใช้กำลังปราบปรามนักศึกษาอย่างรุนแรง ในที่สุด ผู้นำจอมเผด็จการแห่งอินโดนีเซียทนรับแรงกดดันไม่ไหว ตัดสินใจสละเก้าอี้ในปี 1998 และประกาศเลิกยุ่งเกี่ยวกับการเมืองเด็ดขาด
หลังถูกโค่นอำนาจลง มีความพยายามจากหลายฝ่ายที่จะฟ้องร้องดำเนินคดีประธานาธิบดีซูฮาร์โต ในข้อหาคอรัปชันและสั่งอุ้มฆ่านักการเมืองฝ่ายตรงข้าม กระนั้นด้วยข้ออ้างเรื่องปัญหาสุขภาพ ทำให้เขารอดพ้นการถูกดำเนินคดีมาได้ทุกหน โดยตลอดบั้นปลายชีวิต เขาเก็บตัวอย่างเงียบเชียบ อยู่ในคฤหาสน์ส่วนตัว ย่านชานกรุงจาการ์ตา และไม่เคยย่างกรายไปไหน จนกระทั่งมีรายงานข่าวครึกโครมทั่วโลกว่า "ซูฮาร์โต" ได้เสียชีวิตลงแล้ว เมื่อต้นปี 2008 ขณะอายุ 86 ปี เนื่องจากระบบการทำงานของอวัยวะภายใน ล้มเหลว
เมื่อพูดถึงอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โตแล้ว ทำให้นึกถึงผู้นำโคตรโกงมหาโกงอีกหนึ่งท่านซึ่งล่วงลับไปแล้วเช่นกัน เขาคือ อดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ผู้นำคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ ระหว่างที่เรืองอำนาจปกครองประเทศอยู่นาน 20 ปี ในปี 1965-1986 ได้ทำสถิติคอรัปชันเงินแผ่นดินไว้เป็นอันดับสองของโลก คิดเป็นตัวเลข 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เขาอาศัยชื่อเสียงจากการเป็นวีรบุรุษสงครามโลกครั้งที่ 2 และบิดาที่เคยเป็นนักการเมืองท้องถิ่น กวาดชัยชนะอย่างท่วมท้นจนได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 10 ของฟิลิปปินส์ เมื่อปี 1965 ขณะอายุเพียง 48 ปี
ในสมัยแรกของการดำรงตำแหน่ง "ประธานาธิบดีมาร์กอส" สร้างความเจริญและความมั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจให้แก่ประเทศเป็นอย่างมาก โดยมุ่งเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจ และพัฒนาภาคอุตสาหกรรมควบคู่ไปกับภาคการเกษตร เขายังแสดงบทบาทโดดเด่นบนเวทีระหว่างประเทศ จนเรียกได้ว่า ในยุคนั้นฟิลิปปินส์มีความเจริญก้าวหน้ากว่าชาติอื่นๆในเอเชียทุกประเทศ ตามหลังก็แต่ประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ผลจากการผูกขาดอำนาจด้วยเสียงข้างมากเป็นเวลานาน ทำให้ "มาร์กอส" หลงระเริงกับอำนาจและเงินทองจนกู่ไม่กลับ จ้องใช้ประชาธิปไตยบังหน้า เพื่อกอบโกยผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองกับพวกพ้อง ในที่สุดก็ต้องลงเอยด้วยการโดนขับไล่ออกนอกประเทศ และถูกประทับตราทรราชไปชั่วชีวิต.